เมื่อญาธิดาได้ยิน จึงดึงสติกลับมาได้ แต่ในใจกลับหยุดคิดถึงท่าทางการแสดงออกของภวินท์เมื่อครู่นี้ไม่ได้
ตกลงว่าเธอไปยั่วโมโหให้เขาโกรธตอนไหนเหรอ?
ตอนนั้นเธอคิดไม่ออก จึงเดินออกจากห้องประชุมพร้อมกับคณิน เพื่อไปส่งเขากลับ
พวกเขาสองคนเดินนำหน้า ทางด้านหลังก็มีผู้ช่วยคอยเดินตาม ตอนที่เดินตัดผ่านทางเดินนั้น ญาธิดาอดใจพูดออกมาไม่ได้ “เรื่องเมื่อกี้ ขอบคุณนะคะ”
ถ้าไม่ใช่คณิน เกรงว่าเธอก็คงถูกขับไล่ออกมาจากSTN Groupเรียบร้อยแล้ว
“ระหว่างเราสองคนจะต้องขอบคุณทำไม?” คณินเลิกคิ้ว จู่ๆก็ยกมือขึ้นโอบหัวไหล่ของเธอ แถมพูดแกมหยอกล้อ “อยากจะขอบคุณผม ก็ยอมตกลงปลงใจกับผมสิ?”
พอญาธิดาได้ยินก็ฟังออกมาว่าเขากำลังพูดล้อเล่นอยู่ จึงช้อนตามองเธอ พร้อมทั้งตอบโต้กลับด้วยน้ำเสียงแบบเขา “เอาจริงเหรอคะ?”
แววตาคณินฉายความหวั่นไหวออกมาเล็กน้อย ยังไม่ทันได้ตอบคำถามเลย ทางด้านข้างก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
ญาธิดาก็ได้ยินเสียง เธอค่อยๆเอียงศีรษะไปมอง จึงมองเห็นภวินท์ที่อยู่ด้านหน้าในตำแหน่งที่ไม่ไกลนัก
หัวใจเธอบีบรัดแน่น เธอรักษาระยะห่างจากคณินตามสัญชาตญาณทันที จนฉายความตื่นตระหนกออกมาทางสีหน้า
แววตาภวินท์ราวกับน้ำแข็ง ที่คอยจับจ้องพวกเขาอยู่ ความรู้สึกที่อยู่ก้นบึ้งแววตานั้นมืดหม่นจนไม่แสดงความหมาย รอจนจังหวะที่ญาธิดาแหงนหน้ามองเขาอีกครั้ง เขาก็เบนสายตาหนีไปทางอื่น และเดินลิ่วไปแล้ว
หัวใจของญาธิดาเต้นโครมครามหนักว่าเดิมจนไร้การควบคุม ซึ่งทางแผ่นหลังกลับผุดเม็ดเหงื่อเย็นออกมาเป็นชั้นโดยที่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่
หลังจากโดยสารลิฟต์เรียบร้อยแล้ว เธอถึงค่อยได้สติกลับมา
คณินย่อมเห็นกับตาจนเก็บอาการของเธอทุกเม็ด จากนั้นก็หุบรอยยิ้มที่อยู่ใบหน้า แสร้งพูดอย่างสบายๆ “ถ้าจะขอบคุณผมจริงๆ เอาไว้วันหน้าค่อยมาเลี้ยงข้าวผมนะ!”
ญาธิดาตอบรับอย่างสติเลื่อนลอย “ได้สิ”
ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อครู่ภวินท์เหล่ตามองอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับสร้างความกดดันให้เธออย่างไร้ร่องรอย หลังจากที่เธอมาส่งคณินตรงประตูบริษัทแล้ว ถึงค่อยกลับไปยังห้องธุรการ
ชมพู่คอยชะเง้อมองประตูอยู่ตลอด เมื่อเห็นเธอ ดวงตาเปล่งประกาย พร้อมทั้งเดินมาดักหน้าเพื่อถามเธอทันที “ธิดา เป็นไงบ้าง?”
“ไม่มีอะไรหรอก” ญาธิดายกมุมปากอย่างไร้เรี่ยวแรง และมุ่งหน้าเดินเข้าห้องทำงานทันที
ตอนเดินผ่านออฟฟิศนั้น ก็เจอกับพิชญ์สินีที่กำลังตรวจสอบตารางอยู่พอดี เมื่อเห็นเธอเดินมา สีหน้าก็เย็นชาลง พร้อมทั้งพูดกระแนะกระแหนอย่างเย็นชา “ใครทำอะไรไว้ ยังไงก็ต้องถูกเปิดเผยอยู่ดี”
“ใช่สิ กระดาษมันหุ้มกองไฟไว้ไม่ได้หรอก”
“……”
พอญาธิดาได้ยินคำกระแทกแดกดันเหล่านี้ ก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ซึ่งในเวลานี้เป็นเพราะภวินท์แท้ๆที่เป็นตัวการทำให้หัวสมองยุ่งเหยิงไปหมด จึงไม่ได้มีเรี่ยวแรงจะไปสนใจพวกเขา
แต่ชมพู่ที่เดินอยู่ด้านข้างกลับทนต่อไปไม่ไหว เธอย่นคิ้วหากัน พร้อมทั้งพูดแทนญาธิดา “จะพูดซี้ซั้วไม่ได้! พวกแกไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็อย่าทำปากยื่นปากยาวอยู่ตรงนี้!”
พอเพื่อนร่วมงานผู้หญิงที่โดนต่อว่าได้ยิน จึงเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจ “ใครพูดซี้ซั้ว? ไม่ได้เอ่ยชื่อว่าใครนี่ แกโมโหห่าอะไร? ก็เพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งไม่ใช่เหรอ? ทั้งๆที่แกแย่งตำแหน่งของคนอื่นไป ยังจะมาเสแสร้งว่าเป็นเพื่อนสนิทกันอีก ตอแหลไปป่ะ?”
เพื่อนร่วมงานผู้หญิงพูดจีบปากจีบคออยู่หลายประโยค พูดจนชมพู่หน้าแดง จนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป
พอญาธิดาได้ยิน ก็ย่นคิ้วหากัน พร้อมทั้งเหลือบมองมาทางชมพู่ “ชมพู่ เรากลับห้องทำงานกันเถอะนะ”
ชมพู่พยักหน้าอย่างไม่พอใจ จังหวะที่กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานนั้น จู่ๆก็มีเสียงเพื่อนร่วมงานผู้หญิงคนนั้นเริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครคาดเดา “ทำไมเหรอ? พูดจี้ใจดำแล้วสิ เมื่อกี้ยังเก่งกล้าสามารถอยู่เลยนี่?”
ชมพู่โกรธจนหันศีรษะกลับไป “แกพูดมั่วอะไรของแก!”
บรรยากาศเย็นเฉียบจนถึงจุดเยือกแข็ง เพื่อนร่วมงานคนนั้นลุกยืนขึ้นอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้ แสร้งทำท่าทางต้องการทะเลาะกับชมพู่
เวลานั้นเอง จู่ๆประตูห้องทำงานหัวหน้าแผนกก็เปิดออก พี่แนนปรากฏตัวขึ้นตรงประตูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พร้อมทั้งกวาดตามองและพูดกับทุกคนอย่างเย็นชา “ทำไมเหรอ? งานที่ฉันให้พวกคุณทำมันน้อยเกินไปใช่มั้ย?”
คำพูดประโยคเดียวของเธอ ทำให้กองเพลิงของพวกเขาที่เพิ่งลุกโชนมอดไหม้ลงทันที บรรดาเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่มาดูความครึกครื้นต่างถอนสายตากลับ พร้อมทั้งยุ่งกับงานของตนเอง
พอเห็นว่าไม่มีคนพูดอะไรต่อ พี่แนนถึงได้หันมาพูดกับญาธิดา “ธิดา เธอเข้ามานี่หน่อย”
ญาธิดากัดฟัน พร้อมทั้งพยักหน้าให้ และเดินมุ่งหน้าไปทางนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...