ญาธิดาตกใจจนพูดไม่ออก เธอไม่เคยได้ยินคนอื่นเอ่ยถึงมาก่อนเลย ว่าภวินท์มีน้องชายอยู่อีกคน
แต่ว่า เหมือนเห็นสภาพเช่นนี้ของเขาแล้ว ก็เหมือนคนที่พูดโกหก อีกทั้ง ครั้งที่แล้วที่เธอเจอเขาที่ร้านขายของเก่า จึงรู้สึกว่าบริเวณดวงตาของเขานั้นละม้ายคล้ายคลึงภวินท์อยู่บ้าง
ภูผาเห็นว่าเธอยังคงไม่หายจากอาการตกใจ แต่ก็ไม่ได้รีบร้อน แค่ยื่นมือออกมาให้เธอ และยิ้มให้เล็กน้อย “ทำความรู้จักกันเป็นทางการสักหน่อยไหมครับ?”
ญาธิดาตั้งสติกลับมาได้ จึงยิ้มให้เขา “ได้ค่ะ ฉันชื่อญาธิดาค่ะ”
ทั้งสองคนจับมือกัน และยิ้มพร้อมทั้งสบตาให้
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ญาธิดามองเขา แค่รู้สึกเหมือนเจอเพื่อนเก่าเช่นนั้น ไม่ได้รู้สึกห่างเหินหรือเขินอายขนาดนั้น
จู่ ๆ เธอก็นึกได้ว่าเมื่อครู่ที่คนรับใช้คนนั้นพูดก่อนเวลาที่จะกินข้าวกัน จึงเข้าใจได้ทันที “ใช่สิ เมื่อครู่ตอนพวกเรากินข้าวกันอยู่ ทำไมคุณถึงไม่ลงมากินข้าวพร้อมกับพวกเราด้วยล่ะ?”
“ผมชอบความสงบ” ภูผาหัวเราะ พลางแสดงความขมขื่นออกทางสีหน้า “อีกทั้ง พี่ใหญ่เขาไม่ค่อยชอบขี้หน้าผม...”
ญาธิดาชะงักทันที กลับไม่คิดเลยว่าจะได้คำตอบเช่นนี้ เธออ้าปากอยู่ และยังจะถามถึงสาเหตุต้นตอ ทว่ากลับคิดว่าไม่เหมาะ จึงกลืนคำนั้นลงคอไป
ภูผาชะงักเล็กน้อย พลางช้อนตามองเธอ และถามด้วยรอยยิ้มขมขื่นและสงสัยเล็กน้อย “คุณล่ะ คงไม่ได้รู้สึกไม่ชอบขี้หน้าผมใช่ไหม?”
“เปล่านี่คะ!” ญาธิดาไม่ได้ลังเล และพยักหน้าตามจิตใต้สำนึก “ฉันรู้สึกว่าคุณเป็นคนที่ดีมากค่ะ! ไม่งั้นทำไมถึงได้เอาปากกาด้ามนั้นที่คุณถูกใจให้ฉันล่ะคะ? ปากกาด้ามนั้นฉันซื้อให้กับคุณพ่อ เขาชอบมากเลยค่ะ จะพูดยังไงก็ต้องขอบคุณคุณมากเลยค่ะ!”
เมื่อได้ยินเธอพูดออกมาเช่นนี้ สีหน้าอึมครึมและท่าทางเศร้าโศกของภูผาถูกกวาดไปหมดทันที พลันกระตุกมุมปากยิ้มให้ ตามแบบฉบับเด็กหนุ่มอันสดใส
“ถ้าขอบคุณผมจากใจจริง สู้ช่วยเข็นผมลงไปชั้นล่างที ผมอยากไปตากแดดในสนามหน่อยครับ”
ญาธิดาตอบตกลงอย่างไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ “ได้เลยค่ะ!”
เธอเดินอ้อมมายังด้านหลังของภูผา และกุมที่วางมือของรถเข็นไว้แน่น จากนั้นก็ดันเขาลงทางลาดด้านข้างของบันได ทางลาดนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนได้มีการสร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อรถเข็นโดยเฉพาะ ล้อรถยึดติดพอดี ไม่ต้องให้เธอเป็นคนออกแรงดันเลยสักนิด ภูผาก็สามารถลงไปด้านล่างด้วยตัวเองอย่างนิ่มสบาย
เธอกลับไม่ได้คิดมากอะไร ทั้งค่อยๆ ดันเขาลงไป และคุยสัพเพเหระกับเขาไปเรื่อย
ภูผาหัวเราะดังลั่น มักจะพูดคุยกับเรื่องที่เธอคุยได้ ทั้งสองคนคุยกันถูกคอ
เมื่อลงบันไดมาแล้ว ญาธิดาเห็นคนรับใช้คนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก และจ้องมองพวกเขาอย่างประหลาดใจ แถมสีหน้ายังแสดงอาการหวาดหวั่นออกมาเล็กน้อย
ไม่รอให้เธอได้คิดอย่างละเอียดมากนัก เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ก็มองเห็นภวินท์กำลังยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าของระเบียงเล็ก และคอยจ้องมองพวกเขาอยู่ไกลๆ
แววตาเปล่งประกายที่อยู่ในดวงตานั่น มันทำให้คนหวาดกลัว
เวลานี้เอง ภูผาถึงค่อยๆ หันหน้ามา พลางยิ้มพูด “ธิดาขอบใจนะ คุณส่งผมแค่นี้ก็พอแล้ว”
ญาธิดาเริ่มหวั่นใจอยู่บ้าง หลังจากตอบรับไปแล้ว ก็เดินมาทางภวินท์
พลันฉุกคิดสิ่งที่ภูผาพูดออกมาเมื่อครู่แล้ว ว่าภวินท์ไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขาสักเท่าไหร่ วันนี้ก็ได้เห็นสายตาของภวินท์เป็นแบบนี้ เธอยิ่งใจห่อเหี่ยวมากกว่าเดิม
เมื่อเดินมาหยุดตรงด้านหน้าของชายหนุ่มแล้ว เธอกระซิบถามเบาๆ “เรื่อง....งานที่บริษัทของคุณจัดการเสร็จแล้วหรือคะ?”
“อืม”
ภวินท์ตอบกลับอย่างเย็นชา พร้อมทั้งหันหลังเดินมุ่งหน้าไปทางประตูทันทีโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด
ญาธิดาตะลึงเล็กน้อย พลางใช้สายตามองเขาที่ต้องการเดินออกประตูไป เธอถึงตั้งสติได้ทันที และรีบตามไป
เธอวิ่งเหยาะๆ ตลอดทาง และวางมาตรงทางเล็กๆ ในสนาม พลันเอื้อมมือออกไปคว้าชายหนุ่มเอาไว้ “พวกเรายังไม่ทันบอกลาคุณย่าเลยนะคะ กลับบ้านไม่บอกไม่กล่าวสักคำ แบบนั้นมันไม่ค่อยดีมั้งคะ…”
ภวินท์พูดออกมาอย่างหนาวเหน็บคำหนึ่ง “ไม่ต้อง” และเดิมมุ่งหน้าต่อ
ญาธิดาไม่มีวิธีอื่น แค่เดินตามเขาออกไปจากสนามเท่านั้นเอง จากนั้นจึงรีบขึ้นรถตามไป
เธอมองออก ภวินท์โกรธขึ้นมาแล้ว อีกทั้งถึงขั้นหนักเอาการมาก
พายุที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านข้างด้วยความน่าเบื่อมากอยู่นั้นเมื่อเห็นสถานการณ์แล้ว จึงรีบเปิดประตูและขึ้นรถทันที และเอ่ยปากสอบถาม “คุณภวินท์พวกเราจะไปไหนกันครับ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...