เกล้าแก้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แววตาฉายความสงสัยออกมาเล็กน้อย แต่ยังพยักหน้า พลันกล่าวรายงานทันที “จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“อืม ทำได้ดีมาก”
ภูผายื่นมือออกไป พลางโอบรั้งเอวคอดกิ่วของหญิงสาวเอาไว้ทันที จากนั้นก็ก้มศีรษะสูดดมกลิ่นมะลิจางๆ ที่ศีรษะของเธอ บริเวณหัวคิ้วดูอ่อนโยนขึ้นมาก
เกล้าแก้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนอดเอ่ยถามไม่ได้ “คุณภูผาคะ ทำไมคุณถึงให้ฉันทำแบบนั้นล่ะคะ?”
เธอไม่เข้าใจ เมื่อห้าปีก่อนก็แบบนี้ วันนี้ก็ทำแบบนี้อีก ทุกครั้งที่ภูผาให้เธอทำเรื่องเหล่านี้ตอนที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับภวินท์และญาธิดานั้น เธอจับต้นชนปลายไม่ถูกจริงๆ
บางครั้งก็เหมือนเป็นการช่วยเหลือ บ้างก็เหมือนเป็นการสร้างปัญหา ดังนั้นเธอที่ไม่รู้เรื่องตกลงว่าภูผากำลังแสดงละครที่รับบทบาทแบบไหนอยู่ในเกมนี้
จู่ๆ มือชายหนุ่มที่อยู่บริเวณของเอวของหญิงสาวมีอาการเกร็ง พริบตาเดียว เขาก็พูดโดยไร้ความรู้สึกทางสีหน้า “คุณพยาบาลครับ สักวันหนึ่งคุณจะเข้าใจเองครับ”
คำพูดแบบเดิมอีกแล้ว
เกล้าแก้วอึ้งทันที แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซักไซ้ถามต่อ
ตลอดห้าปีนี้ เธออยู่ข้างกายภูผามาโดยตลอด ซึ่งอยู่ในสถานะที่ไม่ปรากฏเป็นที่แน่ชัด ทั้งสองคนสนิทกันมาก เป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งครู เป็นทั้งคนรักเป็นเหมือนญาติมิตร แต่ระหว่างพวกเขานั้นมันมีกระดาษบางๆ ที่คอยขวางกั้นเอาไว้อีกชั้นอยู่เสมอ
ลักษณะคล้ายว่าใครกระเถิบเพิ่มอีกก้าว ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นทุกอย่างจะกลับสภาพแบบเดิมไปโดยปริยาย
ดังนั้น เธอจึงเรียกเขาว่า “คุณภูผา” มาโดยตลอด ซึ่งเขาก็ยังเรียกเธอว่า “คุณพยาบาล” เหมือนเดิมเช่นกัน ซึ่งเฉกเช่นกับเมื่อห้าปีก่อนทุกอย่าง
ทว่า เธอปฏิบัติต่อเขา ซึ่งมีความหวั่นไหวจริงๆ ดังนั้น ทุกครั้งที่เขาให้เธอไปทำเรื่องบางอย่างนั้น เธอก็ไร้วิธีปฏิเสธ ทำได้แต่ก้มหน้าทำให้
ซึ่งในเวลานี้ สิ่งที่เธอทำลงไปทุกอย่าง ตราบใดที่ไม่ได้ไปทำร้ายญาธิดาเพื่อนเก่าด้วยกันของเธอ เธอเต็มใจที่จะทำเพื่อภูผา
หลายวันจากนั้น ญาธิดาใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวน หลังจากผ่านเรื่องการพิสูจน์DNAมาแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นธีทัตก็รีบบึ่งกลับมาจากต่างจังหวัดทันที เมื่อเข้าใจในสถานการณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคอยอยู่ข้างกายเธอและเจ้าเด็กน้อย กินอยู่ด้วยกัน โดยไม่ละไปจากไหนแม้เพียงก้าวเดียว
หลายวันที่ผ่านมา ภวินท์ก็ไม่ได้ติดต่อพวกเขาเลย และไม่ได้มาหาพวกเขา ราวกับทุกอย่างกลับไปยืนอยู่จุดเดิม วันเวลาค่อยๆ กลับคืนสู่ความปกติดังเดิม
“คุณแม่ อาทิตย์หน้าก็ต้องกลับไปทำงานแล้วใช่มั้ยครับ?”
หลังจากทั้งครอบครัวกินข้าวเสร็จแล้ว พวกเขาก็นั่งดูโทรศัพท์อยู่บนโซฟา อีธานหันหน้ามาด้วยความรู้สึกน่าเบื่อมาก โดยที่นิ้วก็ยังเล่นผมของญาธิดาอยู่ และเอ่ยปากสอบถาม
ญาธิดาพยักหน้า และจิ้มลงบนปลายจมูกของเขาอย่างแผ่วเบา พลางพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดู “ใช่จ้ะ ยังมีถ่ายรูปอีกเซทที่ยังถ่ายไม่เสร็จเลยนะ ถึงเวลานั้นก็คงต้องใช้เวลาสองวันติด คงยุ่งมากๆ เลยแหละ”
เซทถ่ายรูปครั้งที่แล้วเป็นรูปสุดท้ายภาพสัตว์ป่ากับงูเหลือมเป็นเพราะเอลล่าโดนงูกัดจนกรีดร้องเลยหยุดถ่ายทำ เธอพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมาสักระยะ กองถ่ายก็ได้เปลี่ยนสัตว์ล็อตสุดท้ายเป็นฟลามิงโกแทน พอเอลล่าออกจากโรงพยาบาล การถ่ายภาพย่อมต้องดำเนินการต่อ
แต่ว่า เป็นเพียงการถ่ายรูปเซทเดียวเท่านั้นเอง อย่างมากที่สุดก็ใช้เวลาสองวันก็จบสิ้นแล้ว ญาธิดาก็คิดว่าพยายามถ่ายให้เสร็จไวๆ จะได้พาพวกเขาไปจากเมืองJสักที
ระยะนี้ เพราะว่าเกิดเรื่องขึ้นอย่างอลหม่าน พวกเขาเสียเวลามากเกินควรแล้ว
ญาธิดาหันศีรษะมา พลันมองเอลล่าทางด้านข้าง ปัดผมของเธออย่างแผ่วเบา พลันเอ่ยปากถาม “เอลล่าคะ อาทิตย์หน้าจะถ่ายต่อแล้วนะ หนูไหวไหมคะ?”
ตอนออกจากโรงพยาบาลเธอตั้งใจพาไปหาหมอเจ้าของคนไข้เพื่อสอบถามการรักษา เพราะว่าเอลล่าอายุยังน้อย การได้ประสบพบเจอกับเรื่องเหล่านี้อาจจะหลงเหลือสภาพจิตใจอันย่ำแย่ ดังนั้นเธอไม่เต็มใจจะบังคับให้เธอไปทำเรื่องที่ตนเองไม่ชื่นชอบ ทุกอย่างก็ต้องให้ลูกเป็นคนยินยอมพร้อมใจถึงจะถูก
ใครจะรู้ว่า เอลล่าทำตัวเฉกเช่นคนที่ไม่เคยเป็นอะไรมาก่อน ที่กำลังนั่งแทะแอปเปิล ตาก็จับจ้องอยู่ที่โทรทัศน์ตาไม่กะพริบ ปากก็พูดไม่ชัด “หนูไหวค่ะ...นอนโรงพยาบาลมันน่าเบื่อจะแย่ หนูอยาก “เสกเงินมาไวๆ” ”
พอได้ยินคำฮิตติดปากมาจากอินเทอร์เน็ตออกจากปากของเธอ ญาธิดาอดหัวเราะไม่ได้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ต้องเป็นเพราะว่าอันอันพาเสียคนอย่างแน่นอน
เธอหัวเราะร่า พลันลูบไล้ศีรษะเจ้าตัวน้อยทันที พลันช้อนตาเหลือบมองธีทัตทางด้านข้าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...