ทุกอย่างเป็นอย่างที่คุณย่าพูดจริง ๆ หลายวันมานี้ธีทัตไม่ได้โทรหาเธออีกเลย แม้แต่ส่งข้อความก็ไม่มี
ญาธิดารู้อยู่แก่ใจว่าครั้งนี้เขาต้องโกรธแล้วแน่ ๆ
เพราะว่าโกรธ ก็เลยไม่ได้ติดต่อไปหาเขาเลย
ญาธิดาสูดหายใจเข้าแล้วพูดเบา ๆ ว่า “บางทีเขาอาจจะยุ่ง...”
“เด็กโง่! ใครที่ไหนที่จะยุ่งถึงขนาดไม่มีเวลาแม้แต่จะโทรศัพท์หรือส่งข้อความเลยแบบนี้?”
คุณย่าอยากจะพูดต่ออีกสองสามประโยค แต่ใครจะรู้ว่าจู่ ๆ ภวินท์ก็เข็นรถเข็นเข้ามาใกล้แล้วถามว่า “ใครไม่มีเวลา?”
ทันใดนั้น ญาธิดาถึงกับตัวแข็งทื่อพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ
เมื่อคุณย่าเห็นแบบนั้นก็พ่นลมหายใจออกมาพลางกลอกตาใส่เขา “โบราณว่าอยู่ใกล้น้ำจะได้ดวงจันทร์ก่อน สองวันมานี้โอกาสมีออกมากมาย แต่กลับไม่เห็นแกทะนุถนอมคนตรงหน้าบ้างเลย”
พูดจบเธอก็พ่นลมใส่ภวินท์อย่างไม่พอใจ พลางตบมือปัดเศษฝุ่นเศษดินออก ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างไม่พอใจ
ภวินท์ถึงกับมึนงงไปเลยทันที เขาไม่เข้าใจคำพูดของคุณย่าเลยสักนิด เขาหันไปมองญาธิดาอย่างแปลกใจ ยิ่งพอเห็นว่าเธอทำเป็นยุ่ง ไม่ยอมมองเขาแบบนี้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดเบา ๆ ว่า “เมื่อกี้เธอกับคุณย่ากำลังคุยเรื่องอะไรกัน?”
“ไม่มีอะไร แค่คุยไปเรื่อย”
ญาธิดายังคงไม่ยอมเงยหน้า ยังคงจัดแจงกระถางดอกไม้พวกนั้นต่อไป
สำหรับคำตอบนี้ของเธอ ภวินท์ไม่พอใจมากอย่างเห็นได้ชัด เขาขับรถเข็นไปข้างหน้าตามขั้นบันได พอเข้าใกล้เธอแล้วก็หยุด ก่อนจะถามด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่มว่า “คุณย่าพูดเกี่ยวกับให้พวกเรากลับมาคืนดีกันทำนองนั้นอีกแล้วใช่ไหม?”
สองวันมานี้ คุณย่าก็เอาแต่ร่ายคำพูดพวกนี้กรอกหูเขาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เขาเดาสิ่งที่อยู่ในใจของเธอได้ตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อกี้ตอนฟังคำพูดของคุณย่าทีแรกเขาไม่ค่อยเข้าใจ แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สามารถเดาได้ว่าเธอกำลังหมายถึงอะไร
มือของญาธิดาชะงักนิ่งไปเล็กน้อย พลางมองเขาด้วยสีหน้าตกใจ ก่อนจะปรับเป็นปกติ แล้วพูดนิ่ง ๆ ว่า “คุณคิดว่าเรื่องอะไรก็เรื่องนั้นแหละ”
ภวินท์สีหน้ายิ้มแย้ม ดูเหมือนจะอารมณ์ดีไม่น้อย เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดถามขึ้นว่า “แล้วเธอคิดยังไงกับเรื่องนี้?”
ญาธิดาอึ้งไปอีกครั้ง พอเหลือบตาขึ้นก็บังเอิญสบสายตาเข้ากับนัยน์ตาสีดำสนิทของชายหนุ่ม มันงดงามราวกับดวงดาวเจิดจ้า มองไปมองมาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะจมดิ่งเข้าไปอย่างควบคุมไม่ได้ ทั้งสองคนมองหน้ากัน บรรยากาศโดยรอบทุกอย่างกำลังดี พร้อมกับเสียงหัวใจของเธอที่เริ่มจะเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้
ใบหน้าของเธอร้อนผ่าว ก่อนจะเรียกสติกลับมาได้อย่างกะทันหันและรีบเบือนสายตามองไปทางอื่น พลางลงมือทำสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ต่อไปแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ฉันไม่มีความคิดอะไรทั้งนั้น”
ภวินท์ไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่ได้ยินแบบนั้น เขายื่นมือออกไปคว้าข้อมือของเธอที่กำลังเล่นดอกไม้อยู่เอาไว้
หลังมือรู้สึกร้อนผ่าว ญาธิดายิ่งใจเต้นแรง และรีบเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตื่นตระหนก เธอนึกว่าเขาจะทำอะไรที่เกินกว่านี้ แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะแค่หรี่ตาลงมองเศษดินบนมือของเธอและพูดเบา ๆ ว่า “ไปล้างมือแล้วเตรียมตัวให้พร้อม ถึงเวลาทำเรื่องจริงจังแล้ว”
เขาดูจริงจังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ท่าทีสบาย ๆ พูดติดตลกอย่างเมื่อกี้ได้หายไปแล้ว เธอเองก็ต้องจริงจังขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้เหมือนกัน ได้แต่ถอนหายใจแล้วถามว่า “จะไปแลกเปลี่ยนการค้ากันแล้วเหรอ?”
ภวินท์ปล่อยมือแล้วหมุนรถเข็นอย่างช้า ๆ และพูดเบา ๆ ว่า “อืม ไปแลกเปลี่ยนการค้ากัน”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อนึกถึงเกล้าแก้วที่ถูกขังอยู่ในห้องมืด ความรู้สึกอันสับสนซับซ้อนก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ
สิบนาทีต่อมา ภายในห้องทำงานที่กว้างขวางโอ่อ่าและสว่างไสว ภูผานั่งอยู่บนเก้าอี้และกำลังดูโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ และทันใดนั้นก็มีข้อความหนึ่งปรากฏขึ้นมาต่อสายตาของเขา เขาหรี่ตาลงพร้อมด้วยสีหน้าที่เย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย
ในข้อความมีข้อความเขียนว่า “เจอกันที่อ่าวมะพร้าวตอนหนึ่งทุ่ม”
ข้อความไม่มีชื่อ ส่งมาจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก แต่แค่เห็นประโยคเหล่านี้ ภูผาก็สามารถเดาได้แล้วว่าเจ้าของข้อความนี้เป็นใคร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...