ทว่าเธอยิ่งแสดงอาการเช่นนี้ออกมา มันยิ่งเป็นการเปิดเผยเรื่องที่ต้องการปกปิดเอาไว้ ป้าจันทร์มองเธอ และหันมามองการแสดงออกของภวินท์ ก็พอจะเดาอะไรได้อยู่ในใจ พลางยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินหลีกมาทางด้านข้าง เพื่อเป็นการไม่รบกวนทั้งสองคนอีก
ภวินท์มองหญิงสาวที่ก้มหน้าก้มตา และคอยกินอาหารจานนั้นที่อยู่ด้านหน้า ใบหน้าแดงแจ๋จนไม่ยอมเงยหน้า รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขายิ่งลึกขึ้นเรื่อย
ท่าทางเช่นนี้ของเธอถือว่าน่ารักมาก จนทำให้เขาอดใจไม่ไหวจนอยากจะหยอกล้อเธอ
เขาจงใจกระแอมเสียง พลางพูดเตือนเล็กน้อย “อย่ากินแต่ผักสิ กินเนื้อสัตว์ด้วย บำรุงสักหน่อย”
แม้ว่าโดยปกติแล้วเธอกินเยอะอยู่แล้ว ทว่าร่างกายกลับไม่มีเนื้อมีหนังสักเท่าไร ครั้งที่แล้วตอนที่พวกเขากลับมาจากคฤหาสน์ตระกูลสถิรานนท์นั้น คุณย่าก็ยังกำชับให้เขาคอยกระตุ้นให้ญาธิดากินเยอะๆ จะได้บำรุงร่างกาย ทางที่ดีที่สุดคือการเพิ่มน้ำหนักให้หนักขึ้นหลายกิโลกรัม
“อื้อ” ญาธิดาตอบรับไปตามน้ำ จากนั้นถึงตอบสนองกลับมา “บำรุงอะไรหรือคะ?”
ราวกับว่าเธอไม่จำเป็นต้องบำรุงอะไร ในทางกลับกันควรเป็นเขา เพราะได้รับบาดเจ็บตรงช่วงเอวมา จำต้องได้รับการบำรุง
พอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ไม่รอให้ภวินท์ตอบ เธอจึงหันศีรษะออกไป พลางเรียกป้าจันทร์ทันที “ป้าจันทร์คะ มีของอะไรบ้างที่จะช่วยบำรุงช่วงเอวหรือบำรุงไตมีไหมคะ?”
“บำรุงไตงั้นเหรอคะ?” ป้าจันทร์หยุดมือที่กำลังยุ่งอยู่กับงานทันที พลางเอ่ยปากพูด “ตะพาบเอย ไตหมูเอย ไข่นกพิราบสามารถเอามาบำรุงช่วงเอวได้หมดค่ะ”
ญาธิดาได้ยินแล้ว พลางพูดอย่างไม่ลังเลสักนิด “งั้นสองสามวันนี้ป้าจันทร์ไปจ่ายตลาดก็ต้องซื้อพวกวัตถุดิบของบำรุงช่วงเอวมาเยอะๆ นะคะ ไม่ว่าจะเป็นการตุ๋นหรือว่าผัดอะไรก็ได้หมดค่ะ บำรุงภวินท์เยอะๆ หน่อยค่ะ”
เมื่อเธอพูดคำพูดนี้ออกไป การแสดงออกทางสีหน้าของป้าจันทร์เริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง พลางมองมาทางภวินท์ จากนั้นก็ตอบรับ “ได้ค่ะ”
ภวินท์จับสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มบนสีหน้าของป้าจันทร์ ราวกับมีบางอย่างผิดปกติไปในชั่ววินาทีนั้น มือที่กำลังจับตะเกียบอยู่นั้นลงแรงเพิ่มเล็กน้อย พลางเอ่ยปากพูดทันควัน “ไม่ต้อง”
สภาพร่างกายของเขาในเช่นนี้ ต้องบำรุงหรือไม่ ญาธิดายังไม่เข้าใจอีกเหรอ?
“ทำไมไม่ต้องล่ะ?” ญาธิดากินซี่โครงหมูไปหนึ่งคำ พลางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ซึ่งไม่ได้คิดถึงความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในหัวข้อเรื่องที่พูดสักนิด “ฉันรู้สึกว่าคุณน่าจะบำรุงสักหน่อยนะคะ”
เมื่อพูดจบ สีหน้าของภวินท์ยิ่งย่ำแย่หนักกว่าเก่า
ผู้หญิงคนนี้ ช่างไม่รู้เรื่องเอาซะเลย...
ภวินท์ทั้งโมโหและเบื่อหน่ายไปพร้อมกัน พลางมองท่าทางที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยของญาธิดา จะโกรธก็โกรธไม่ลงคอ ทำได้เพียงเงียบปากและไม่พูดอะไรต่อ
ป้าจันทร์มองคนสองคนนี้ ยิ้มและส่ายหน้าไปมา และเดินเข้าไปในห้องครัวทันที
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ญาธิดาก็อยากจะกลับไปอาบน้ำที่ห้อง แต่ยังเดินได้ไม่กี่ก้าว ด้านหลังก็มีคนเดินตามมา
ทันใดนั้น ข้อมือถูกกำแน่น เมื่อเธอหันหน้ากลับมา ก็เห็นว่าเป็นภวินท์
ญาธิดาตะลึงพรึงเพริด พลางเอ่ยปากถามกลับ “ทำไมเหรอคะ?”
และไม่รู้ว่าตนเองเข้าใจผิดไปหรือเปล่า เพราะญาธิดารู้สึกว่าเหมือนชายหนุ่มไม่ค่อยดีใจสักเท่าไหร่
หัวคิ้วของภวินท์อดใจไม่ไหวจนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด“คุณรู้สึกว่าเอวผมมันใช้การได้ไม่ดีใช่มั้ย?”
การพูดเช่นนั้นต่อหน้าป้าจันทร์ หรือว่าไม่ไว้หน้าเขาแล้วงั้นเหรอ?
ญาธิดาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คุณ... บาดเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ? สิ่งที่ฉันทำมันดีกับคุณนะ!”
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของหญิงสาวแล้ว ภวินท์เองก็ไม่รู้ว่าจะพูดให้มันชัดเจนได้อย่างไร ทำได้เพียงเลิกคิ้วขึ้นอย่างเบื่อหน่าย
เขาปล่อยมือเธอ และสาวเท้ายาวเดินมุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือทันที
ญาธิดามองแผ่นหลังของชายหนุ่ม ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเรียกรั้งเขาเอาไว้อย่างกะทันหัน “เดี๋ยวค่ะ!”
ภวินท์หยุดฝีเท้าทันที “มีอะไรเหรอ?”
ญาธิดาพลางฉุกคิดถึงภารกิจที่คุณหญิงปภาวีได้ฝากฝังเธอไว้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ฉันมีเรื่องต้องคุยกับคุณค่ะ…”
เรื่องจัดงานแต่งงาน ถ้าเธอไม่ยอมพูดกับภวินท์ เกรงว่าคุณหญิงปภาวีคงร้อนใจจนเต้นเร่า ๆ ถึงขึ้นถ่อมาถามเขาด้วยตัวเองนะสิ
“วันนั้นฉันกลับไปกินข้าวที่บ้านมา...” จู่ ๆ ญาธิดาก็รู้สึกอายขึ้นมาทันที พลางใช้มือขยี้ชายเสื้อ “แม่ฉันถามฉันว่าจะจัดงานแต่งงานได้เมื่อไหร่ค่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...