ใครจะไปรู้ว่าเณรศีลที่เพิ่งจะปล่อยมือออก จู่ๆ กลับเบิกตาโตอย่างทันทีทันใด พลันเงยหน้ามองเธอด้วยความหวาดกลัว เหมือนว่าน้ำตาสามารถหยดลงในชั่วขณะนั้น แถมยังพูดอย่างน่าสงสาร “ผมกลัวครับ...”
ชั่วขณะนั้น หัวใจญาธิดาอ่อนระทวยลงทันควัน จนพูดคำพูดปฏิเสธต่างๆ นานาไม่ออกอีกแล้ว
พลันมีเสียงภวินท์ที่อยู่ทางด้านข้างดังขึ้น “อย่างน้อยก็กล่อมเขาให้นอนหลับแล้วค่อยกลับไป”
ญาธิดากัดริมฝีปากล่าง พลันสูดหายใจเข้าลึกๆ โดยไร้วิธีอื่นอีกแล้ว จึงทำได้แค่ก้มหน้ามองเณรศีลพลางกระซิบพูด “ตกลง งั้นไปกัน ฉันจะพาหนูไปนอนที่ห้องนอนนะ”
เณรศีลถึงยอมพยักหน้ารับ ดวงตาทั้งสองข้างมีน้ำตาคลอเบ้า เมื่อมองก็น่าสงสารจับใจ
เมื่อเห็นหญิงสาวเดินจูงเด็กน้อยเดินเข้าห้องไปแล้ว รอยยิ้มที่อยู่ในดวงตาของภวินท์ก็เพิ่มมากขึ้น
“โธ่! คุณภวินท์ ช่วงนี้นายชอบพาคนมาที่นี่ นายทำท่าเหมือนบ้านฉันเป็นโรงแรมหรือไงวะ?”
ทันใดนั้น พลันมีเสียงแดกดันของหลุยส์ดังขึ้นมา รอยยิ้มตรงมุมปากภวินท์หุบทันที พลันชะเง้อมองตามต้นตอเสียง
พลันมองเห็นหลุยส์ยืนพิงกำแพงและจ้องมองเขาอย่างเพลิดเพลิน แถมยังมีรอยยิ้มที่ดูผิดแปลกและไม่ชัดเจนปรากฏอยู่บนใบหน้า
ภวินท์เหล่ตามองเขาอย่างเย็นชา ไม่ยอมพูดอะไรมาก พลันเข็นล้อรถเข็นเตรียมหนีทันที ใครจะรู้ว่าอยู่ดีๆ หลุยส์ก็ก้าวเดินฉับๆมาทางด้านนี้ แถมพูดพร้อมกับตอนที่เดินด้วย “นี่ๆๆ ไอ้วิน กูตกต่ำถึงขั้นขนาดโดนคนเชิดใส่แล้วเหรอวะ? แถมไม่มองหน้ากูดีๆ ด้วยซ้ำ!”
ภวินท์พูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค “ไม่ว่างพอที่จะมาสนใจมึง”
หลุยส์หัวเราะร่า พลันเดินไล่ตามอย่างไม่ลดละ “เฮ้ยไอ่วิน เรื่องญาธิดามันเป็นไงมาไง วันนี้พักที่นี่เหรอวะ?”
“เกี่ยวอะไรกับแกด้วยวะ?”
“ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว” หลุยส์ตอบหัวเราะร่า “แต่มันเกี่ยวข้องกับแกนะสิ!”
เขาพูด พร้อมทั้งตบบ่าของภวินท์อย่างออมชอม จากนั้นก็โน้มตัวลงและเขยิบมาพูดใกล้ๆ เขา “ความคิดเล็กๆ ที่อยู่ในใจของแก ฉันชัดเจนดี เอางี้มั้ยวะ เดี๋ยวเพื่อนจะเสกเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่องง่ายเอง?”
นัยน์ตาภวินท์ฉายแววตาหม่นหมองออกมาเล็กน้อย พลันจ้องมองเขาอย่างระแวดระวังกลับทันที “แกคิดจะทำอะไร?”
ก่อนหน้านี้หลุยส์ไม่ค่อยอยากจะชอบหน้าญาธิดา แถมยังใช้กลวิธีบางอย่างต่อเธออยู่หลายครั้ง ตอนนี้เขาพูดออกมาเช่นนี้ เขาย่อมไม่วางใจแน่
จำต้องรู้ว่า ที่นี่เป็นบ้านของหลุยส์ มีแต่คนของเขาอยู่เต็มบ้าน เขาคิดอยากจะทำอะไรขึ้นมา ซึ่งมันง่ายกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก
“ทำไมต้องเคร่งเครียดขนาดนี้ด้วยวะ?”
เมื่อเห็นภวินท์แสดงท่วงท่าเช่นนั้นออกมา หลุยส์ถึงกลับกล้ำกลืนฝืนทน พลันตบบ่าของเขาแผ่วเบา น้ำเสียงจริงจังขึ้นมาทันที “วางใจเถอะไอ้วิน กูมองออก มึงจริงใจกับเธอจริงๆ ตอนนี้กูยังจะกล้าไปแตะต้องเธออยู่มั้ยล่ะ?”
เขาพูด พร้อมทั้งเดินอ้อมมาทางด้านหน้ารถเข็น พลางพูดอย่างจริงจัง “ตราบใดที่แกจริงใจ เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนแน่นอน”
เขาชะงักเล็กน้อย พลันมองเห็นบานประตูทางนั้นปิดสนิท จู่ๆ พลันกดเสียงพูด “แกอยากให้เธอนอนที่นี่ไม่ใช่เหรอ ฉันมีวิธี...”
หลังจากกล่อมเณรศีลให้นอนหลับไปแล้ว ซึ่งเป็นเวลาถัดหลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ร่างกายญาธิดาเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งตัว บวกกับได้รับบาดเจ็บและสูญเสียเลือดไปจำนวนไม่น้อย และหมดเรี่ยวแรงไปตั้งนานแล้ว จนไม่อยากขยับเขยื้อน
เธอเหลือบมองเวลา พลันสูดหายใจเข้าลึกๆ พลันผลักบานประตูเดินออกไป เพื่อเตรียมจะออกไป จะได้รีบกลับแกรนด์ บูเลอวาร์ดเร็วๆ
เมื่อเดินลงมาถึงชั้นหนึ่ง เธอจึงค้นพบว่าบานประตูใหญ่ปิดสนิท แถมยังล็อกจากด้านใน ผลักยังไงก็ผลักไม่มีการขยับเขยื้อน
เธอหันกลับมาเพื่อสำรวจบริเวณโดยรอบ ไม่มีคนรับใช้อยู่เลย
ก็ใช่นะ ดึกดื่นค่อนคืนป่านนี้แล้วด้วย เวลานี้คนรับใช้ก็พักผ่อนกันหมดแล้ว
ญาธิดามองบานประตูที่ล็อกสนิท พลันลองอยู่หลายครั้ง ก็ยังเปิดไม่ได้ ทันใดนั้น มีเสียงผู้ชายดังขึ้นมาทางระเบียงตรงชั้นหนึ่ง “ล็อกแล้วแหละ ใช้มือเปิดไม่ได้หรอก”
ญาธิดาหันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นภวินท์นั่งอยู่บนรถเข็น เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองสีเทาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมเปียก เหมือนว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
เธอย่นคิ้วเข้าหากัน “ทำไมต้องล็อกไว้ด้วย? งั้นฉันจะกลับออกไปยังไงคะ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...