ในใจต่างผุดความคิดความเป็นน่าจะเป็นต่างๆ นานา ญาธิดาครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่กลับไม่เลือกสักวิธี เมื่อเห็นเต็มตาว่าเด็กไร้บ้านพวกนี้จะต้องมุ่งหน้าไปยังสถานที่อีกที่หนึ่งที่ไม่รู้ว่าดีหรือร้ายกันแน่ จนเธอรู้สึกแย่ขึ้นมา
สุดท้าย เธอก็ตัดสินใจ พลันช้อนสายตามองพยัคฆ์ และพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉันจะไปลองคุยกับภวินท์อีกครั้งดูนะ”
เมื่อเดินออกมาจากโรงงานปูนซีเมนต์แล้ว เธอมาอยู่ทางด้านหน้ารถเก๋ง พลันเคาะกระจกรถทางด้านหลังบานหนึ่ง กระจกรถจึงลดระดับลง
ภวินท์จ้องมองเธออย่างเฉยเมย โดยการจ้องมองเธอ ด้วยความรู้สึกเก็บอาการที่ไม่แสดงความหวั่นไหวออกมาสักนิด เพื่อรอให้เธอเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน
ญาธิดากำหมัดไว้แน่น จากนั้นก็พูดออกมาประโยคหนึ่ง “ช่วยคิดหาวิธีในการช่วยเหลือเด็กพวกนั้นได้มั้ยคะ?”
เมื่อภวินท์ได้ยิน แววตาก็ฉายความหม่นหมองออกมาเล็กน้อย พริบตาเดียว เขาก็ขยับริมฝีปาก เพื่อเอ่ยถาม “คุณว่า ควรจะช่วยยังไงดีครับ?”
ญาธิดาพูดอย่างเป็นทางการ “อันดับแรกคือพยายามช่วยหาพ่อแม่ของพวกกันก่อนอย่างสุดความสามารถ หากเป็นเด็กกำพร้าไร้ญาติจริงๆ ถึงเวลานั้นก็ค่อยมาคิดถึงเรื่องจะส่งไปยังสถานสงเคราะห์เด็กก็ไม่สายนี่คะ”
ภวินท์ยกมุมปาก เพื่อเอ่ยถาม “ตอนนี้มีประมาณกี่คน?”
ญาธิดากัดริมฝีปาก “20กว่าคนค่ะ”
ภวินท์ถามด้วยสีหน้าไร้ความหวั่นไหว “คุณคิดหรือยัง การหาคนให้20คนนี้ ต้องใช้เงินจำนวนเท่าไหร่?”
เขาพูดออกมาหนึ่งประโยคอย่างเรียบง่าย จนทำให้ญาธิดาสำลักจนพูดไม่ออกทันที
ภวินท์เพ่งมองใบหน้าที่ค่อยๆ ซีดลง พลันพูดด้วยเสียงเรียบเฉย “ผมไม่ได้ทำการกุศล การช่วยเหลือพวกเขาให้หลุดมาจากเงื้อมมือของคนเหล่านั้นแล้วแจ้งสถานการณ์นี้ให้กับสถานสงเคราะห์รับทราบ ก็ถือว่าพยายามอย่างเต็มที่มากแล้วครับ”
คำพูดของเขาพลันกระแทกหัวใจของญาธิดาทันที เธอราวกับปลาที่ใกล้จะตาย จึงอ้าปากพะงาบๆ ลำคอแห้งผากแต่กลับไร้เสียงเปล่งออกมา
เธอเองก็หมดคำพูด และก็ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องมีศีลธรรมจำต้องช่วยเหลือเด็กเหล่านี้จากการถูกลักพาตัวอยู่ตลอด แต่ว่า ในใจเธอ รู้สึกผิดหวังต่อภวินท์อยู่มากก็เท่านั้นเอง
จังหวะนี้เอง โทรศัพท์ของภวินท์ก็ดังขึ้น เขาสงบนิ่ง พลันถอนสายตากลับเอง เพื่อกวาดตามองหน้าจอโทรศัพท์ และกดรับสาย “ฮัลโหล”
จากนั้นไม่รู้ว่าใครพูดว่าอะไรบ้าง เขาย่นคิ้วแน่น พลันค่อยๆ คลายลงเล็กน้อย จากนั้นก็พูดอย่างเรียบเฉย “ตกลง พวกคุณพาเขากลับมาเถอะครับ”
เขาพูดจบ จากนั้นก็ตัดสายทิ้ง พลันหันมามองญาธิดา พร้อมทั้งพูดเสียงกระซิบ “หาตัวเณรศีลเจอแล้วนะ ปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน อีกเดี๋ยวพี่เข้มก็จะพาตัวเขามา”
ญาธิดาฉายอาการยินดีปรีดาออกมาจากแววตาอย่างเต็มเปี่ยม ความรู้สึกก้อนหินขนาดมหึมาก้อนนั้นที่หนักอกที่มีอยู่เดิมมันหายวับไปกลับตา เธอพยักหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ พลันบ่นพึมพำออกมาจากปาก “ดีแล้วค่ะ...”
อย่างน้อย ก็ไม่ได้เกิดผลลัพธ์ในทางที่แย่ที่สุด
แต่ว่า...
เธอย่นคิ้วเข้าหากัน เมื่อฉุกคิดถึงเด็กๆ ในโรงงานปูนซีเมนต์ที่อยู่ด้านในอีก 20 กว่าคน เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างดี
เธอหันหน้าไปชะเง้อมองทางนั้น ซึ่งประจวบเหมาะกับเวลาที่เด็กหลายๆ คนหลบอยู่หลังประตูชะโงกศีรษะออกมา และคอยจ้องมองเธออยู่ไกลๆ ยังมีอีกสองคนที่ยิ้มให้เธอ พร้อมทั้งโบกมือให้เธออีกด้วย
หัวใจของญาธิดาอบอุ่นขึ้นมาทันที ไม่นานนักความคิดที่ต้องการจะช่วยเหลือพวกเขาก็ยิ่งหนักแน่นเพิ่มมากขึ้น เธอกำหมัดไว้แน่น พลันชำเลืองมองพยัคฆ์ที่อยู่ด้านข้าง พร้อมทั้งพูดกระซิบกระซาบ “พยัคฆ์มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากจะฝากฝังนายหน่อยค่ะ คืนนี้รบกวนนายด้วยนะ....”
หลังจากออกคำสั่งทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เธอถึงได้กลับขึ้นรถอีกครั้ง
ภวินท์ค่อยเพ่งมองเธออยู่ตั้งแต่แรกจนจบ แววตาเผยความสุขุมและไม่เข้าใจออกมา เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อยากจะช่วยเหลือพวกเขาจริงๆ เหรอครับ?”
ญาธิดาเก็บของในกระเป๋าของตนเอง โดยที่ไม่หันศีรษะไปมองพลางพูดขึ้นมา “ไม่รู้ว่าคุณเคยได้ยินประโยคนี้มั้ยนะ จะช่วยคนก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด จะทำเรื่องดีๆ ก็ต้องทำให้สุดความสามารถค่ะ”
เมื่อพูดประโยคนี้จบแล้ว เธอจึงไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรมากอีกเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...