เมื่อญาธิดาได้ยิน ตื่นเต้นจนเกือบจะลุกกระโดดโลดเต้นจากจุดเดิม “จริงเหรอคะ?”
เมื่อชวิศหันหน้ามา จึงเห็นดวงตาทั้งสองข้างของหญิงสาวที่กำลังระยิบระยับมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยม ริมฝีปากก็อดยกขึ้นอย่างอดเสียไม่ได้ “จริงแท้แน่นอนครับ”
“ดีจังเลยค่ะ!” เมื่อญาธิดาเกิดความรู้สึกตื่นเต้น จึงคว้าแขนของเขาเอาไว้ตามสัญชาตญาณ “ขอบคุณนะคะ!”
วินาทีที่สายตาของชายหนุ่มเอาแต่จดจ้องอยู่บนใบหน้าของเธอนั้น จากนั้นก็ลดระดับมาที่มือของเธอ
เธอเหมือนรับรู้ได้ทันทีว่าตนเองวางตัวไม่เหมาะสม จึงก้มหน้าลง เลยเห็นมือของตนเอง พลันดึงมือของตนเองกลับมา และยิ้มให้ชวิศเป็นการขอโทษ
ชวิศยิ้มกรุ้มกริ่ม “ถ้าอยากจะขอบคุณผมจริงๆ แล้วล่ะก็ สู้ช่วยผมสักเรื่องสิครับ”
“ช่วยเรื่องอะไรคะ?”
“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก คุณติดหนี้ผมไว้ก่อนแล้วกัน รอวันที่ผมคิดได้แล้วค่อยบอกคุณ”
เขาพูด พร้อมทั้งขยิบตาให้เธอ จากนั้นก็เดินออกไปทางนั้นเพื่อสอบถามความคืบหน้ากับสถานการณ์ใหม่ล่าสุดกับเพื่อนร่วมงาน
ญาธิดานั่งอยู่ตรงนั้น พลันจ้องมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มอย่างจริงจัง พลันยกมุมปากขึ้น
ชวิศคนนี้ ช่างทำให้เธอแปลกใจจริงๆ เลย
หลังจากผ่านยุ่งวุ่นวายมาตลอดทั้งวัน พวกเขาก็ได้แจ้งข่าวคราวที่ช่วยเหลือเด็กทั้งเจ็ดคนจนตามหาครอบครัวจนเจอแล้ว หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดต่อญาติพี่น้องให้แล้ว พวกเขาก็สามารถกลับเข้าสู่อ้อมอกของครอบครัวอีกครั้ง
เด็กที่เหลืออยู่ 10 กว่าคนก็ถูกส่งตัวไปยังสถานสงเคราะห์เด็กที่ดีที่สุดในเมืองทั้งหมด J อยู่ชั่วคราว ทางสถานสงเคราะห์ได้สัญญาว่าจะดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด อีกทั้งเมื่อมีครอบครัวไหนรับเลี้ยงแล้ว ทางพวกเขาก็จะจัดทำเอกสารคู่มือให้ทันที
ยามท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงนั้น เด็กยี่สิบกว่าคนต่างมีที่พักอาศัยชั่วคราว หลังจากญาธิดาได้พูดคุยกับทางผู้อำนวยการของทางสถานสงเคราะห์เด็กแล้ว จึงเตรียมตัวกลับออกมา
เธอเดินตามหลังชวิศ ยังไม่ทันจะเดินออกจากตัวอาคาร พลันหันหน้าไปมองเด็กๆ ที่ยืนเป็นแถวด้านหน้าประตูตึก พวกเขายืนรวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน พร้อมทั้งชะเง้อมองเธอ และโบกมือให้เธออย่างน่าสงสาร
ญาธิดารู้สึกอบอุ่นหัวใจ พลันโบกมือให้พวกเขา หางตาเปียกชุ่มอย่างไม่รู้ตัว
เธอคาดไม่ถึงเลยว่า ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักมักจี่กับเด็กเหล่านี้แค่หนึ่งวันสั้นๆ เอง พวกเขาถึงได้แสดงความรู้สึกรักมากมาย จนทำให้รู้สึกไม่เต็มใจอยู่ในใจลึกๆ
เดิมที่เธออยากจะตะโกนอะไรออกไปให้เด็กๆ ฟัง แต่จู่ๆ ก็มีความรู้สึกอบอุ่นพาดแขน มีคนคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ และลากเธอให้เธอตรงไปทางด้านหน้า
ญาธิดาหันหน้ากลับมาอย่างประหลาดใจ และมองชวิศ พลันพูดด้วยความแปลกใจ “ทำอะไรหรือคะ?”
ชวิศหันหน้ามาหา บริเวณดวงตาอันเฉยเมยมีความเชือดเฉือนเล็กน้อย และพูดตรงไปตรงมา “ถ้าขืนคุณยังไม่เดินออกไปก็ต้องร้องไห้ออกมาแล้วเนี่ย?”
“คุณ...”
คำพูดประโยคเดียวกลับทำให้เธอพูดไม่ออก
เธอสูดจมูก รู้สึกลำบากใจอย่างบอกไม่ถูก พลันเกิดความรู้สึกลังเลทรมานอยู่ในใจแวบหนึ่ง จึงยอมรับทันที พลันพูดอย่างหนักแน่น “ถ้าฉันอดใจไม่ไหวแล้วจะยังไงหรือคะ? การร้องไห้ขี้แยกับเรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายนี่คะ”
เมื่อชวิศได้ยินดังนั้น จึงหัวเราะในลำคอทันที และมองแววตาที่สื่อความหมายที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ของเธอ “คิดไม่ถึงเลยว่า คุณจะใจดีมาก...”
“แน่นอนค่ะ”
ญาธิดาพึงพำอยู่ในลำคอ กระทั่งเดินมาถึงหน้าประตูของสถานสงเคราะห์เด็ก จึงเห็นพยัคฆ์ที่แสดงสีหน้าแปลกใจตอนมองมาที่พวกเขา เธอถึงรู้ตัวทันทีว่ามือของตนเองนั้นชวิศยังจับมือไว้อยู่ ทันใดนั้น เธอจึงดึงมือของตนเองกลับทันที
เธอเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาหาหลายก้าว เพื่อรักษาระยะห่างจากเขา เหมือนว่าตั้งใจเดินเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างคนสองคน แต่ไม่นานนัก เธอก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ ฝีเท้าชะงักทันที จึงหันหน้ากลับไปมองเขา “ใช่สิคะ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ต้องขอบคุณคุณมากค่ะ เอางี้มั้ยคะ ให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณนะคะ....”
ถ้าหากไม่ได้ความช่วยเหลือจากเขา เกรงว่าการจัดการที่พักอาศัยของเด็กทั้งยี่สิบกว่าคนเป็นอย่างดี เธอทำคนเดียวก็ต้องใช้เวลาหลายวัน
ต้องขอบคุณเขามากๆ ถึงได้ทำทุกอย่างได้อย่างราบรื่น แม้ว่าเขาไม่ได้พูดออกมา แต่เธอก็ชัดเจนเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการฝากฝังให้ทางสถานีตำรวจคอยเข้ามาช่วยเหลือ หรือว่าจะไปสถานสงเคราะห์เด็กก็ตาม ต่างเป็นเพราะว่าเขาคอยฝากฝังให้คนรู้จักคอยช่วย โดยจัดการแบบลับๆ ถือว่าใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และช้อนตามองชวิศด้วยความรู้สึกเขินอาย “ฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะแสดงคำขอบคุณยังไงดีค่ะ ดังนั้นก็ทำได้แค่เลี้ยงข้าวคุณนี่แหละ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...