“นี่ครับ คุณแม่ให้ผมเอามาให้คุณพ่อครับ” อีธานวางนมลงบนโต๊ะ
สีหน้าภวินท์ดำทะมึน ดูไม่ออกถึงความมึนเมา สายตาของเขาเหลือบมองนมที่อยู่บนโต๊ะ แล้วทำเสียงฮัมเบาๆ เป็นคำตอบรับ
อีธานเห็นดังนั้นก็แกล้งทำเป็นเศร้าแล้วถอนหายใจ นั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ เขา จากนั้นเอ่ยปากกล่าวอย่างเงียบๆ “คุณพ่อ รู้สึกไหมว่าคุณแม่ทำให้คนรู้สึกเป็นห่วง”
สายตาของภวินท์ค่อยๆ มองมาทางเจ้าตัวเล็กคนนี้ ดูเหมือนว่าไม่ค่อยอยากสนใจเขา แต่ก็รู้สึกมีความสงสัยเล็กน้อยว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป
“หากว่าหนูมีภรรยาแบบนี้ หนูก็จะต้องปวดหัวเช่นกัน” คู่สองมือของเขาเท้าที่อยู่ที่คาง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาประสาเด็กๆ
ภวินท์จึงได้เอ่ยปากกล่าวอย่างเย็นชาขึ้น “มีอะไรก็พูดตรงๆ ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม”
อีธานย่อมต้องรู้ดีแก่ใจว่าตัวเองไม่สามารถสู้คุณพ่อที่อยู่ตรงหน้านี้ได้ แต่สิ่งที่ควรทำก็ยังคงต้องทำ การพูดตรงประเด็นโดยไม่มีการปูเกริ่นใดๆ เกรงว่าการโน้มน้าวจะไร้ผล
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มที่ไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ที่ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูมาก “คุณแม่เป็นคนที่เข้มแข็งมาก ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็อยากที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง โดยไม่ยอมรบกวนคุณพ่อ ท่านจึงไม่มีช่องว่างให้คุณพ่อได้แสดงความสามารถ คุณพ่อควรรู้สึกล้มเหลวถึงจะถูก” ท่าทางพูดเป็นตุเป็นตะของเขา น้ำเสียงที่พึมพำด้วยเสียงต่ำ
น้ำเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาเกินไป ราวกับจงใจให้ภวินท์ได้ยินก็ไม่ปาน
และก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อเสียงอ่อนโยนของเขาดังขึ้น สีหน้าของภวินท์ก็ยิ่งมืดมนแปรเปลี่ยนไปตามเสียงของเขา
ความรู้สึกล้มเหลวนั้นเป็นของปลอม นิสัยความดื้อรั้นของญาธิดานั้นเป็นของจริง เธอไม่เคยเพิ่มปัญหาให้กับคนอื่น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตัวเองก็จะกัดฟันสู้คนเดียว
เห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ดวงตาของอีธานก็ประกายแสงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และกล่าวเตือนด้วยเสียงเบาๆ “วันนี้คุณแม่ฝืนทนเพื่อจะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงก็เป็นเรื่องที่ลำบากอยู่แล้ว น้องสาวยังงอแงเธอไม่ปล่อยอีก……”
ไม่รอให้เขากล่าวจบ นัยน์ตาของภวินท์ประกายแสงความเย็นวาบ “หนูรู้เรื่องที่คุณแม่ไปร่วมงานเลี้ยงภาครัฐได้ไง”
อีธานพยักหน้า ทำท่าทางที่งุนงงออกมา แล้วถามกลับด้วยความสงสัย “ไม่ได้ทำเรื่องผิดสักหน่อย ทำไมจะให้หนูรู้ไม่ได้” กล่าวจบ เขามุ่ยปากกล่าวตำหนิ “หากว่าคุณพ่อไม่รู้ งั้นก็ช่างไม่สนใจคุณแม่เสียเลย”
“ต่อ” ถึงแม้จะรู้ว่าในคำพูดของเขามีความหมายแอบแฝง แต่ภวินท์ก็เลือกที่จะเพิกเฉยต่อแสงประกายในดวงตาของเขา
เขาจึงได้เปล่งเสียงอธิบาย “ได้ยินว่าคุณแม่เพื่อเอกสารของศุลกากรถึงได้รีบไป เธอเห็นความสำคัญของงานเลี้ยงภาครัฐนี้อย่างมาก เกรงว่าจะเกิดความผิดพลาดแล้วทำให้เรื่องของบริษัทล่าช้า”
ภวินท์ได้ยินดังนั้นจึงหรี่ตาลง สีหน้าเฉยเมยมองไม่ออกถึงความรู้สึกใดๆ คำพูดของอีธานกล่าวหยุดถึงตรงนี้ และกล่าวราตรีสวัสดิ์กับเขาจากนั้นก็วิ่งออกจากห้องหนังสือไป
เสียงจุดไฟแช็กดังขึ้นในห้องที่ว่างเปล่า และควันก็ม้วนตัวลอยขึ้นตามข้อนิ้วมือที่เห็นอย่างชัดเจน แล้วก็ค่อยๆ หายไปในอากาศ
ในหัวของเขาดังกึกก้องวนเวียนด้วยคำพูดของอีธานที่พูดเมื่อสักครู่ ในใจก็ค่อยๆ รู้สึกอึดอัดมากขึ้น อารมณ์ก็ค่อยๆ หงุดหงิดขึ้นเล็กน้อย
ในที่สุดเขาขมวดคิ้วแล้วดับบุหรี่ที่จุดมอดไปแล้วครึ่งมวน จากนั้นสาวฝีเท้าก้าวหนักเดินออกจากห้องหนังสือไป แล้วก็ผลักประตูห้องนอนเบาๆ
เสียงลมหายใจดังก้องอยู่ในห้องที่เงียบสงบ บนเตียงมีร่างของหญิงสาวที่นอนขดเป็นก้อนกลมๆ ราวกับว่านอนหลับสนิทไปแล้ว
ภวินท์เดินก้าวเบาๆ มาถึงข้างเตียง แล้วเลิกมุมผ้าห่มออกจากนั้นนอนลงข้างๆ ตัวเธอ ราวกับกลัวจะทำให้เธอตื่นก็ไม่ปาน
ญาธิดาอดไม่ได้ที่จะกำมุมผ้าห่มแน่น คู่ดวงตาปิดสนิทควบคุมลมหายใจอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งรู้สึกถึงคนที่อยู่ข้างๆ หมอนไม่มีเคลื่อนไหวใดๆ แล้ว เธอถึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น จ้องมองแสงจันทร์นอกหน้าต่างอย่างว่างเปล่า
วินาทีต่อไป มือที่เย็นๆ ขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ โอบรอบเอวของเธอ
ร่างของเธอจึงแข็งทื่อในทันใด ในใจเกิดความรู้สึกน้อยใจอย่างอธิบายไม่ถูก เธออดไม่ได้จมูกซี้ดขึ้น กลั้นความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้ไว้ พลิกตัวแล้วซุกเข้าไปในอ้อมกอดอันแน่นหนาของภวินท์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...