หลังจากฟังเสียงเร่งเร้ามาหลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดรถของนิธิศก็เคลื่อนตัวมาหยุดที่หน้าประตูRambler Clubhouse อย่างช้า ๆ ฝ่ามือของญาธิดาเต็มไปด้วยเหงื่อ เธอรีบกระโดดลงจากรถอย่างรวดเร็ว
การ์ดเฝ้าประตูจำได้ว่าเธอเป็นคุณนายของตระกูลสถิรานนท์ และเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคุณชายน้อยตระกูลตระกูลสถิรานนท์ก็อยู่ด้านในเช่นกันจึงไม่ได้ขวางทางเธอ
แต่ทว่านิธิศกลับถูกขวางไว้นอกประตู เพราะRambler Clubhouseนับเป็นหนึ่งในสถานที่ระดับไฮเอนด์ไม่กี่แห่งในเมืองนี้ ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าไปข้างในได้ง่าย ๆ ตามอำเภอใจ
นิธิศก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เขาได้แต่ยืนกอดอกรออยู่ด้านนอกประตู เพราะสุดท้ายไม่ว่าจะตามหาเด็กพวกนั้นเจอหรือไม่ ผลสุดท้ายก็เหมือนเดิม ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจ
ญาธิดาเดินเข้าประตูแล้วตรงไปยังห้องส่วนตัวของอลิสาและภวินท์ เมื่อผลักประตูเข้าไปก็เห็นต้นกล้าถูกอลิสาโอบไว้ในอ้อมแขน คนสองคนที่อายุห่างกันมากพอสมควรดูเหมือนกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุข
ส่วนอีธานกับเอลล่าก็นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างรู้ความ เมื่อเห็นเธอผลักประตูเข้ามาด้วยสีหน้าโกรธ ๆ ทั้งสองก็พากันคอหด บรรยากาศแสนอบอุ่นเมื่อครู่ลดลงเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น
สุดท้ายเอลล่าก็ทนต่อไอสังหารอันแรงกล้าของผู้เป็นแม่ไม่ไหว เอียงคอหันไปพูดกับต้นกล้าเบา ๆ ว่า “เห็นไหมบอกแล้วว่าแม่ต้องมารับพวกเราแน่นอน ฉันไม่ได้โกหกใช่ไหมล่ะ”
ต้นกล้าพยักหน้าอย่างพอใจ
“อีธาน เอลล่า!” น้ำเสียงเคือง ๆ ของเธอดังขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปหาเด็กน้อยทั้งสองคนอย่างรวดเร็วและพูดด้วยเสียงดุดันว่า “พวกหนูจะกล้ามากเกินไปแล้วนะ ทำไมถึงกล้าแอบพาต้นกล้ามาสถานที่แบบนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง?!”
อีธานแอบขยิบตาให้น้องสาว ก่อนจะก้มหน้าก้มตาสำนึกผิดกับเธออย่างว่าง่าย
“ขอโทษครับแม่” เขาพูดอย่างรู้สึกผิด “ผมแค่เห็นว่าแม่ทำงานหนักเลยอยากจะช่วยแม่แบ่งเบาบ้าง ผมไม่คิดว่าความตั้งใจจะกลายเป็นเรื่องไม่ดี”
น้ำเสียงและท่าทางสำนึกผิดของเขาประกอบกับคำพูดเข้าอกเข้าใจเหล่านี้ทำให้ความโกรธของญาธิดาสลายหายไปในทันที
ยิ่งเห็นเด็กน้อยทั้งสองคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าแบบนี้เธอยิ่งทนไม่ไหวจนต้องผ่อนน้ำเสียงของตัวเองลงโดยไม่รู้ตัว “แม่แค่เป็นห่วงกลัวว่าพวกลูกจะเกิดปัญหา โดยเฉพาะอาการของต้นกล้าก็ยังไม่ค่อยดี...”
หลังจากอลิสาปลอบต้นกล้าเสร็จแล้วก็ตั้งใจลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเธอพลางกลอกตาขาวใส่หนึ่งที “นี่ธิดา จากไอคิวของอีธานกับเอลล่าฉันว่าพวกเขาร่วมมือกันเอาเธอไปขายยังได้เลยด้วยซ้ำ เธอยังมีอะไรต้องเป็นห่วงอีก”
“…”
ญาธิดาได้แต่ทำหน้าอับอาย
เธอยอมรับว่าอีธานกับเอลล่าไอคิวค่อนข้างสูง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรังแกเธอว่าไอคิวต่ำอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ก็ได้นี่นา
อีกอย่างไม่ว่าพวกเขาจะฉลาดแค่ไหน พวกเขาก็เป็นแค่เด็กในสายตาของเธออยู่ดี
ภายในหัวของเธอพยายามใช้ความคิด ราวกับว่าเธอกำลังคิดว่าจะโต้กลับอลิสายังไงดี แต่อลิสาแค่มองก็รู้แล้วว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่จึงรีบพูดขึ้นทันทีว่า “ไอ้ความคิดจะต่อต้านคนอื่นของเธอมันเขียนเอาไว้บนหน้าหมดแล้ว”
นัยน์ตาสดใสของญาธิดาพลันสว่างขึ้นทันที ก่อนจะพูดติดตลกว่า “ฉันว่าตอนนี้เธอชักจะเหมือนหลุยส์มากขึ้นทุกวัน ๆ แล้วนะ โดยเฉพาะวีการพูดแบบสุนัขไม่รับประทานแบบนั้นน่ะ”
ประโยคเดียวแต่โดนถึงสองคน คราวนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองสามารถพลิกเกมคืนมาได้แล้ว อลิสาโกรธจนแทบอยากจะลงมือกับเธอสักที
ทั้งสองคนทะเลาะกันไปกันมาสองสามประโยค หลังจากใช้วิธีการล้อเล่นทักทายกันไปพอสมควรแล้ว ญาธิดาจึงถามเธอขึ้นว่า “ฉันเห็นเธอสื่อสารกับต้นกล้าได้ไม่เลว เธอคิดว่าความเป็นไปได้ที่จะรักษาเขาให้หายดีมีมากไหม?”
“มาก” อลิสาตอบอย่างมั่นใจ “วันนี้ฉันลองทำการทดสอบอย่างง่าย ๆ ไปบ้างแล้ว พบว่าวิธีการที่เธอทำไปก่อนหน้านี้มันไม่ได้ผิดไปซะทั้งหมด อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองที่จะสื่อสารกับคนอื่น”
ญาธิดาได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “งั้นก็ดี เอาไว้วันหลังฉันจะพาต้นกล้ามาหาก็แล้วกัน พ่อของเขายังรออยู่ข้างนอกอยู่เลย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...