ดวงชีวันพสุธา นิยาย บท 10

หญิงสาวลุกขึ้น จากนั้นจึงหันไปพูดกับสาวใช้ที่แต่งกายงดงามคนนั้นว่า : “ซวงหวน แต่งหน้าทำผมให้ข้า” เดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้งพลางก็พูดไปพลางว่า : “ชุ่ยหวน เจ้าเปิดกล่องออก แล้วหยิบปิ่นปักผมประดับอัญมณีทั้งแปดที่เจ้าป้าทรงประทานให้มาให้ออกมา”

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม หมิงโร่ก็ดึงเข็มเงินออก แล้วหยิบยาที่เตรียมไว้สำหรับซือห้าวเฉินออกมาจากถุงยา แล้วยื่นให้กับหมอสวี : “วิธีใช้และขนาดของยาข้าเขียนติดเอาไว้บนขวดแล้ว ใช้ยาตามคำอธิบายก็เป็นอันใช้ได้”

“แล้วใบสั่งยาที่แพทย์เซวเขียนเอาไว้ก่อนหน้านี้......” หมอสวีย่อมรู้กฎการรักษาของแพทย์เป็นอย่างดี แต่ก่อนหน้านี้อาการของท่านอ๋อง หมอเทวดาเซวเป็นคนรักษามาโดยตลอด ถึงแม้ทักษะทางการแพทย์ของพระชายาดูแล้วไม่เลวนัก แต่ก็คงไม่อาจเทียบกับหมอเทวดาเซวได้

หมิงโร่นับหนึ่งถึงสิบอยู่ในใจ จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าแล้วพูดว่า : “เอาใบสั่งยามาให้ข้าดูหน่อย” กรี๊ด ๆ ๆ อยากจะวางมือเสียเดี๋ยวนี้

เมื่อเห็นท่านอ๋องใช้สายตาส่งสัญญาณมา หมอสวีก็หยิบใบสั่งยาสองแผ่นออกมาจากกล่องยายื่นให้กับหมิงโร่

หมิงโร่อ่านใบสั่งยา แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย----ดูเหมือนว่าสมญานามหมอเทวดาคงไม่ได้มาโดยเปล่าประโยชน์ ใบสั่งยาสองแผ่นนี้ แผ่นหนึ่งสำหรับรักษาโรคหัวใจเป็นหลัก ส่วนอีกแผ่นสำหรับบำรุงร่างกาย ใบสั่งยาทั้งสองแผ่นมีการใช้ตัวยาที่แม่นยำมาก หมิงโร่รู้สึกว่า ด้วยทักษะด้านการแพทย์แผนจีนของตนเอง ไม่อาจเขียนใบสั่งยาที่ยอดเยี่ยมกว่าหมอเทวดาเซวออกมาได้แน่นอน

แต่ถึงแม้ยาแผนจีนจะแม่นยำเพียงใด ก็ไม่อาจให้ผลที่รวดเร็วกว่ายาแผนปัจจุบันได้ และเทคโนโลยีการสกัดยาแผนจีนสมัยปัจจุบัน ยังพยายามเพิ่มการถนอมการออกฤทธิ์ให้ดีที่สุด หมิงโร่หยิบใบสั่งยาที่เป็นตัวยาบำรุงร่างกายออกมา : “ใบนี้ใช้ต่อได้ ส่วนใบสั่งยาอีกใบให้หยุดใช้ ใช้ของข้าแทน”

“แต่ว่า......” หมอสวีอยากพูดต่อ

แต่หมิงโร่กลับตัดบทพูดของเขา : “ประการแรก ใบสั่งยานี่น่าจะเขียนเอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้อาการของท่านอ๋องเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว อีกอย่าง หลังจากใช้ยาเหล่านี้ ทำให้ท่านอ๋องของท่านต้องลงไปอยู่ในสุสานหลวงใต้ดินมาครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ใช่หรือ ?”

“เอ่อ......” หมอสวีโกรธจนพูดไม่ออก

คำพูดหยุดลงเพียงเท่านี้ หมิงโร่เองก็ขี้เกียจจะพูดโน้มน้าวซือห้าวเฉิน หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยก็ทำความเคารพ : “การรักษาของวันนี้สิ้นสุดลงแล้ว พรุ่งนี้จะทำการรักษาต่อในเวลาเดียวกันนี้ ท่านอ๋องทรงจัดการเวลาเอาไว้ให้ดี”

“อืม” ซือห้าวเฉินขานรับ

หมิงโร่เดินออกไปด้านนอก พลางคิดตำหนิหยุนชินอ๋องผู้นี้อยู่ในใจ......พูดมากสักหน่อย ดอกพิกุลจะร่วงจากปากหรืออย่างไร

หมิงโร่เดินนำจือซูออกจากเรือนเหมยได้ไม่นาน ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินตรงมา

หญิงสาวที่เดินนำอยู่ด้านหน้าสุด สวมใส่ชุดชาววังสีชมพู เกล้ามวยสูง และมีปิ่นปักผมอัญมณีทั้งแปดปักอยู่ตรงกลาง ประดับลูกปัดดอกชบาอยู่ตรงขมับทั้งสองข้าง พร้อมทั้งสวมใส่ต่างหูและสร้อยคอเข้าชุดสีเดียวกัน ดูแล้วช่างหรูหราและงดงามเป็นอย่างยิ่ง ด้านหลังของนางมีสาวใช้คอยติดตามสองคน สาวใช้อีกสองคน และสาวใช้เด็กอีกสองคน ทุกคนล้วนแต่งกายอย่างงดงาม

ในทางทฤษฎีแล้ว ในจวนแห่งนี้ นอกจากซือห้าวเฉินกับองค์ไท่เฟยที่ไม่ยังไม่เคยพบเห็นตัวจริงผู้นั้น ตนเองก็น่าจะอยู่ในลำดับที่สาม ไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้กับใคร แต่เธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่า ตนเองนั้นเพียงแค่สวมหัวโขนของพระชายาเอาไว้เท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจอยู่ในมือจริง ๆ ดังนั้นจึงควรรู้จักเกรงกลัวตามสมควร

เปลือกตาของหมิงโร่กระตุก เธอรับรู้ได้ว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้มาดี : “กลุ่มคนที่ดูเหมือนจะเดินทางไปอวยพรปีใหม่กลุ่มนี้ คือใครกัน ?”

จือซูเกือบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว คำพูดของพระชายาช่างแทงใจดำทุกประโยคจริง ๆ การแต่งกายของเจ้าผู้พี่กับบรรดาสาวใช้ เหมือนการแต่งกายออกจากบ้านในช่วงปีใหม่จริง ๆ : “นี่คือคุณหนูเสิ่น หลานสาวแท้ ๆ ขององค์ไท่เฟยเพคะ นายท่านเสิ่นออกปฏิบัติหน้าที่ต่างเมือง คนในตระกูลทั้งหมดต่างติดตามไปปฏิบัติหน้าที่ด้วย องค์ไท่เฟยทรงเห็นใจเจ้าผู้พี่ จึงรับเจ้าผู้พี่เข้ามาอยู่ในจวนเพคะ”

หากรู้สึกเห็นใจถึงเพียงนี้ ทำไมจึงไม่รับเข้าไปอยู่ด้วยในวังเสียล่ะ ? ให้พักอยู่ในที่ที่หนึ่งปีจะมาอาศัยอยู่เพียงไม่กี่วันทำไม ?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงชีวันพสุธา