เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 100

"คุณย่าทำแบบนี้ไม่ใจดำไปหรอครับ"

"เฉิน นี่แกเป็นอะไรไป?" คุณหญิงมองสำรวจไปที่หลานตัวเองเหมือนเขาเป็นคนที่เพิ่งรู้จักคนแปลกหน้า "ใจดำ? แต่ก่อนแกไม่เคยพูดอย่างนี้เลย แม้แต่ความเมตตาก็ไม่เคยเห็นบนตัวแก นี่แกเป็นอะไรกันแน่?ทำไมช่วงนี้เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน?"

แต่ก่อนท่านจะจัดการเรื่องอะไรหรือจะจัดการใครสักคน เขาไม่เคยถามถึงเลยนอกจากผู้หญิงนามสกุลจูที่เขาไม่เชื่อฟังท่าน เรื่องอื่นท่านสามารถตัดสินใจเองได้เลย

แต่หลังจากที่เขาแต่งงานกับคุณหนูตระกูลไป๋ก็เปลี่ยนเป็นคนละคนไปเลย แถมตอนนี้ยังมีความเมตตาเกิดขึ้นด้วย

ไม่เพียงแต่คุณหญิงที่สับสนสงสัย หนานกงเฉินเองก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงเป็นอย่างนี้ เป็นเพราะผลกระทบจากผู้หญิงตรงหน้าคนนี้หรอ เขาคิดว่าอย่างนั้น

ถ้าไม่ใช่เขาเปลี่ยนไป เขาคงไม่แหกกฎตกลงให้เธอคลอดลูกหรอก แล้วยังมาเป็นห่วงว่าเธอจะเป็นอะไรไปอีก?

"นี่แกจะรับปากหรือเปล่า" คุณหญิงเร่งถามขึ้น

"ได้ ผมรับปาก" หนานกงเฉินพยักหน้า "คุณย่าไว้ใจเถอะครับผมจะตั้งใจไปหาผู้หญิงคนนั้นให้เจอ"

"ขอให้เป็นอย่างงั้น" คุณหญิงพูด "แต่เพื่อความมั่นใจ?ฉันจะช่วยหาอีกแรง"

หนานกงเฉินนิ่งเงียบไปหลายวิ สุดท้ายก็พยักหน้าตกลง

พอหนานกงเฉินกลับมาถึงชั้นสอง ก็เห็นไป๋มู่ชิงกำลังยืนรอเขาอยู่หน้าห้อง

เธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จแล้วใส่ชุดนอนตัวใหญ่อยู่ เส้นผมที่ยังแห้งไม่สนิทพาดไว้ที่บ่าเธอ ดูไปช่างน่าหลงไหลเหลือเกิน

เมื่อกี้เธอเอาแต่แนบหูฟังอยู่ข้างประตู พอได้ยินเสียงฝีก้าวของหนานกงเฉินก็รีบเดินออกมารอ จนลืมใส่ลงเท้า

หนานกงเฉินไม่ต้องถามก็เข้าใจดีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่

"คุณย่าให้คุณรับปากอะไรท่าน?" เธอมองไปที่เขาด้วยสีหน้ากังวลใจ

"ไม่มีอะไร" หนานกงเฉินตอบสั้นๆ เขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกเธอ

ถึงแม้ไป๋มู่ชิงอยากรู้มากแต่เธอก็ดูออกว่าหนานกงเฉินไม่อยากบอกเธอเพื่อที่จะไม่ให้เขาหงุดหงิดเธอเลยยอมแพ้ที่จะถาม

หนานกงเฉินบิดลูกบิดประตูออกแล้วหันไปมองไป๋มู่ชิงที่ยังยืนอยู่ที่เดิมแล้วถามขึ้นว่า "ระหว่างฐานะคุณหญิงน้อยตระกูลหนานกงกับลูกถ้า เลือกได้หนึ่งอย่าง คุณจะเลือกอะไร?"

ไป๋มู่ชิงประหลาดใจไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า "นี่เป็นเงื่อนไขของคุณย่าเหรอ?"

"คุณตอบผมมาก็พอฉัน"

"ฉัน……เลือกลูก" ไป๋มู่ชิงตอบอย่างไม่ต้องคิดเลย

ที่หนานกงเฉินถามอย่างนี้ก็เพราะมีตัวเลือกแบบนี้วางอยู่ต่อหน้าเขา เขาคาดเดาได้ว่าคุณหญิงก็อาจจะให้เธอเลือกเหมือนกัน ถ้าจะคลอดลูกก็ต้องออกไปจากตระกูลหนานกงซะ!

ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอคงจะเลือกที่ไสหัวออกจากบ้านหนานกงนี้ไป

ยังไม่พูดถึงความแค้นระหว่างเธอกับหนานกงเฉิน ถึงจะทำเพื่อลูก เธอก็ไม่มีทางเสียสละลูกตัวเองเพื่อความรู้หรูหราในชีวิตของเธอหรอก ไม่งั้นเธอคงเสียใจไปตลอดชีวิตแน่

แต่คำตอบของเธอทำให้สีหน้าของหนานกงเฉินเปลี่ยนไป รู้สึกเหมือนโดนดูถูก

เขาเดินก้าวไปข้างหน้าแล้วใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับคางเธอขึ้น "ในใจคุณ ลูกสำคัญกว่าผมงั้นหรอ?"

คำตอบนี้ชัดเจนอยู่แล้ว เธอให้ความสำคัญลูกมากกว่า ถึงแม้วันนี้เขาจะช่วยเธอไว้แล้วให้โอกาสชีวิตเด็กคนนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถลบล้างความจริงที่เขาฆ่าคุณย่าของเธอได้

เธอดิ้นรนพักหนึ่ง แต่ก็ดิ้นไม่หลุดนิ้วมือเขายังเงยหน้ามองเขาอยู่อย่างนั้น เธอเลยเอ่ยขึ้นว่าถ้าฉันเลือกคุณลูกฉันก็จะต้องตาย แต่ถ้าฉันเลือกลูกคุณก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้"

เธอคิดว่าเหตุผลนี้สมเหตุสมผลมากจนเขาหาที่ติไม่ได้

"นี่เป็นสิ่งที่คุณเลือก ถ้าถึงเวลาคุณอย่าเสียใจแล้วกัน" หนานกงเฉินปล่อยตัวเธอสักทีแล้วหันหลังเดินเข้าห้องตัวเองไป

'ปัง' ปิดประตูเสียงดังใส่เธอ

ไป๋มู่ชิงยืนนิ่งมองประตูไม้อยู่อย่างนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งค่อยดึงสติกลับมาแล้วสูดหายใจเข้าจากนั้นก็หันหลังเดินกลับเข้าห้องตัวเอง

ไปดูเหมือนว่าคุณหญิงไม่อยากได้ลูกคนนี้จริงๆเลยให้ทางเลือกที่เลือกยากขนาดนี้ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอควรจะทำยังไงต่อ จะบอกเรื่องนี้กับแม่ลูกตระกูลไป๋ยังไง

ถ้าพวกเธอรู้ถึงความคิดของคุณหญิง คงจะบังคับให้เธอทำแท้งแน่นอน

หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ชีวิตก็กลับสู่โหมดปกติ

แต่พอต้องเผชิญหน้ากับคุณหญิงก็รู้สึกได้ว่าท่าทางของท่านเปลี่ยนไป ไม่ถึงขั้นทารุณเธอแต่คำทักทายก็ดูเย็นชาไปกว่าเดิมมาก

แต่ท่าทางของคุณหญิงแบบนี้กลับทำให้ไป๋มู่ชิงรู้สึกสบายใจเพราะว่านี่เป็นนิสัยที่แท้จริงของท่านที่เข้มงวดแถมเย็นชาด้วย

เธอเองก็สงสัย.ท่าทางเย่อหยิ่งแถมเยือกเย็นของเขาคงมาจากคุณหญิงแน่ เพราะเขาโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้น

ขณะที่กำลังทานข้าวเช้าคุณหญิงพูดกับไป๋มู่ชิงด้วยสีหน้านิ่งเฉยว่า "ในเมื่อเธอดื้อดึงจะคลอดเด็กคนนี้ออกมา ไม่ว่าเขาจะปกติหรือไม่เธอก็ต้องดูแลเขาให้ดี ฉันเหนื่อยกับเฉินมาแล้วครึ่งชีวิต ฉันก็แก่แล้วคงไม่มีกำลังที่จะไปดูแลเขาอีก"

"คุณย่าคะ หนูจะใช้ชีวิตของหนูในการดูแลเขา" ไป๋มู่ชิงพูดตอบ

"ใช้ชีวิตของตัวเอง" คุณหญิงยิ้มอย่างข่มขืนไม่ ไม่มีอะไรที่แน่นอน เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะสามารถอยู่กับเด็กคนนี้ได้นานแค่ไหน

ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจว่าท่านหมายความว่ายังไงเลยไม่รู้ว่าจะพูดตอบยังไงต่อ

ไป๋มู่ชิงหันไปมองหนานกงเฉินก็เห็นว่าสีหน้าเขานิ่งเฉยเหมือนกัน

เธอนึกถึงภาพเหตุการณ์คืนก่อนที่หนานกงเฉินให้เธอตัดสินใจ ที่คุณหญิงแสดงสีหน้าแบบนี้อาจจะเพราะว่าไม่แน่ใจว่าเธอจะสามารถอยู่ในบ้านตระกูลหนานกงนี้ได้อีกนานแค่ไหน?

ด้วยสถานการณ์ตอนนี้เธอก็คิดอะไรไกลไม่ได้คงต้องก้าวไปดูไปก่อน

หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จ ก่อนหนานกงเฉินออกไปก็หันมาบอกกับไป๋มู่ชิงว่า "คืนนี้จะทานข้าวข้างนอก เดี๋ยวฉันให้คนขับรถกลับมารับเธอ"

"กับใครคะ?" เธอถามอย่างสงสัย

หนานกงเฉินมองไปที่เธอ "นอกจากผมแล้วคุณอยากทานกับใคร"

ไป๋มู่ชิงมองตาขวางใส่เขา ในใจกำลังคิดว่าจะปฏิเสธยังไงดี

"พี่สะใภ้โดนพี่ชายรังแกขนาดนี้" ผู่เหลียนเหยามองไปที่มั้งสองแล้วหลุดยิ้มออกมา

"ใช่เหรอ เดี๋ยวผมจะลองรังแกคุณบ้าง ดูซี้ว่าจะทำตัวน่ารักเหมือนพี่สะใภ้หรือเปล่า" เซิ่งเคอโอบไหล่ของผู่เหลียนเหยาไว้ ขณะพูดก็เอนตัวไปจูบแก้มเธอด้วย

ผู่เหลียนเหยาจ้องเขาไป "นายกล้าเหรอ? ฉันไม่ได้รังแกง่ายเหมือนพี่สะใภ้หรอก"

"รู้ว่าเธอไม่ยอมง่ายๆหรอก" เซิ่งเคอดันตัวเธอเดินไปที่รถ "ไปกันเถอะ เดี๋ยวผมไปส่งที่โรงพยาบาล คืนนี้เราก็กินข้าวนอกบ้านกันเถอะ"

"ได้ ฉันอยากกินชาบู"

"ได้ครับ เอาเผ็ดๆหอมๆเลย"

ทั้งสองคุยเล่นกันแล้วขึ้นรถไปแล้วโบกมือให้หนานกงเฉินกับไป๋มู่ชิงก่อนจะขับรถออกไปประตูใหญ่บ้านหนานกง

มองพวกเขาออกไปไกลแล้ว หนานกงเฉินก็มองสำรวจไป๋มู่ชิงแล้วถามว่า "ทำไม? ไม่อยากไป?"

ถึงแม้เขาจะยอมตกลงให้เธอคลอดลูกออกมาแต่เขาก็รู้สึกได้นอกจากตอนนั้นที่เธอแสดงความตื้นตันขอบคุณเขา นอกจากนั้นก็มีแต่ความห่างเหินกับหลบหน้าเขา

เขาไม่เข้าใจทำไมเธอถึงเป็นอย่างนี้ แต่ทางเดียวที่เป็นไปได้คงเพราะว่าเธอกลัวว่าเขาจะบังคับให้เธอทำแท้งอีก ผู่เหลียนเหยาพูดถูก เขาขู่จนเธอเกือบจะเป็นเอ๋ออยู่แล้ว

ถึงแม้แต่ก่อนเขาจะไม่ค่อยดีกับเธอ แต่เธอก็ไม่เคยทำตัวห่างเหินแบบนี้กับเขา แถมยังโต้เถียงเขา สร้างความรำคาญให้เขาแล้วยังงี่เง่าใส่เขาอีก

อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเองเลือดเย็นเกินไปจนเธอตกใจเป็นเอ๋อไปแล้ว

ความห่างเหินแบบนี้ทำให้เขาไม่พอใจมาก เขาคิดว่าในเมื่อตกลงให้เธอคลอดลูกคนนี้แล้ว ความแค้นระหว่างกันก็จะลดลงไปได้ ก็ไม่ต้องทำสงครามเย็นแบบนี้อีก เพราะแบบนี้เขาเลยพูดขึ้นว่าคืนนี้จะรับเธอไปทานข้าวด้วยกัน

แต่ว่า การถอยยอมของเขา ความหวังดีของเขากลับถูกเหยียบย่ำ

"ขอโทษนะคะ วันนี้ฉันนัดกินข้าวกับเสียวเหม่ยไว้แล้ว"เธอพูด

สุดท้ายก็ปฏิเสธเขา! ดีมาก!

หนานกงเฉินกัดฟันพูดแล้วพยักหน้า "ทานให้อร่อยครับ"

พูดจบเขาก็เดินตรงไปที่รถจากนั้นก็หายออกจากสายตาเธอ

ไป๋มู่ชิงก็ไม่ได้ยืนอยู่ที่ประตูนานมากก็หันหลังเดินกลับห้องไปแล้วเปลี่ยนชุดตัวใหญ่โคร่งๆมาใส่

แต่ก่อนเอาแต่หลบๆซ่อนๆเธอเลยไม่กล้าซื้อชุดคนท้องมาใส่เลยไม่มีสักชุดที่ใส่แล้วรู้สึกสบายตัว แต่ตอนนี้สามารถใส่ได้แล้ว แถมยังมีชุดเด็กที่ครั้งก่อนที่หนานกงเฉินบังคับให้เธอซื้ออีก

ถึงแม้จะไม่อยากออกไป แต่ยังไงก็ต้องไปพูดคุยกับคนตระกูลไป๋ให้เคลียร์ แล้วกี่วันนี้ซูวยาหยงก็เร่งเธอแล้วหลายครั้งแล้ว

หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ ไป๋มู่ชิงก็ออกบ้านไป

ก็ยังคงเป็นร้านกาแฟ แล้วเธอจองห้องส่วนตัวไว้เพราะเธอไม่เชื่อใจสองแม่ลูกนั้น

ไป๋มู่ชิงเปิดประตูกระจกของร้านกาแฟเพิ่งก้าวเข้าไปก็มีเงาที่คุ้นเคยเดินออกมา เธอพยายามขยับตัวหันข้างไปคิดว่าจะหลบสายตาของคนคนนั้นได้

"คุณหนูไป๋ บังเอิญจังเลยนะคะ" ถึงแม้เธอพยายามจะหลบหลีกแต่ก็หลบไม่ทันสายตาของเลขาเหยียน เมื่อเธอทักทายอย่างมีมารยาทขนาดนี้ไป๋มู่ชิงเลยหันกลับไปยิ้มกับเธอ "บังเอิญจังเลยค่ะ"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด