เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 102

หนานกงเฉินล้างมือพร้อมใช้ทิชชูเช็ดหยดน้ำในมือไปด้วยแล้วกลับมายืนต่อหน้าไป๋มู่ชิง เขารู้สึกได้ว่าไป๋มู่ชิงอึดอัดเลยเลิกคิ้วถาม "ไม่ชอบอาหารตะวันตกหรอ?"

"แค่ไม่ชอบทานแบบเว่อวังแบบนี้" ไป๋มู่ชิงพูด

"คุณชายรองตระกูลหลินไม่เคยพาเธอมาหรอ?"

ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆเขาถึงเอ่ยถึงหลินอันหลาน เธอสายหัวไปมา

ความจริงหลินอันหนานเคยพาเธอมาแล้ว ครั้งนั้นเธอก็ขายหน้ามากยังสาดไวน์เลอะเต็มโต๊ะ แต่ถึงแม้ครั้งนั้นจะขายหน้าแต่ก็มีความสุขเพราะว่าหลินอันหนานไม่รู้สึกว่าเธอทำตัวน่าอายแถมยังพูดยิ้มๆอธิบายแทนเธอด้วย

ถ้าไม่ใช่เพราะความผิดพลาดของครั้งก่อนเธอก็คงไม่รู้สึกเกร็งเมื่อต้องมาสถานที่แบบนี้อีก

ที่เธอส่ายหน้าก็เพราะว่าไม่อยากทำให้หนานกงเฉินรู้สึกไม่สบอารมณ์กับเรื่องนี้

"ในเมื่อไม่ชอบงั้น เราก็เปลี่ยนร้านกัน" หนานกงเฉินลุกขึ้นแล้วลากเธอขึ้นด้วย จากนั้นก็เอาเสื้อคุมตัวเธอ

ไป๋มู่ชิงไว้ถูกบังคับให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมมองไปที่เขา "ที่นี่จองไว้แล้วไม่ใช่เหรอ?"

"จองแล้วก็ยกเลิกได้"

"แล้วเราไปกินกันที่ไหน" ไป๋มู่ชิงรีบเดินตามเขาออกจากห้องไป

"ไป……" หนานกงเฉินคิดไปคิดมาแล้วหันมามองเธอ "ไปกินชาบูเป็นยังไง?"

"ห๋า?" ไป๋มู่ชิงคิดว่าตัวเองหูฝาด

เขาอยากกินชาบูงั้นหรอ? ไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาทำได้เลย

เธอจำได้พี่เหอเคยบอกเกี่ยวกับโรคของเขา นอกจากจะดื่มมากไม่ได้จะสูบมากไม่ได้แล้วก็ไม่ควรทานอาหารที่แคลอรี่เยอะด้วย แต่ชาบูนี่ทั้งทำให้ร้อนในแล้วแคลอรี่ก็เยอะด้วย

ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยแตะชาบูเลย เหตุผลหลักๆก็เพราะด้วยฐานะตำแหน่งของเขาด้วย

"ไม่อยากไป?" หนานกงเฉินคิดลังเล "ก็จริง เมื่อวานคุณเพิ่งกินไป"

"ไม่ ฉันกำลังคิดว่าคุณไม่ควรกินอาหารที่ทำให้ร้อนในแบบนั้น" ไป๋มู่ชิงพูด

เธอไม่กลัวหรอกเพราะว่าร่างกายเธอดีตั้งแต่เด็กไม่ว่าจะของเย็นของร้อนของเผ็ดเปรี้ยวหวานแค่ไหนก็ทำอะไรเธอไม่ได้ แถมชาบูนี้ยังเป็นของชอบของทุกคนด้วย ให้เธอกินติดต่อกันสามวันยังได้เลย

"คนท้องอย่างเธอยังกินได้ ทำไมผมจะกินไม่ได้?" หนานกงเฉินเอ่ยอย่างไม่พอใจ

"ร่างกายฉันแข็งแรงกว่าคุณ อีกอย่าง……คุณไม่กลัวคุณย่ารู้แล้วจะตีคุณเหรอ?"

"ผมโตขนาดนี้แล้วยังกลัวคุณย่าตีอีกเหรอ? แถม……" หนานกงเฉินทอดมองไปที่เธอ "เมื่อคืนคุณยังแอบไปกินเลย งั้นวันนี้ผมก็จะแอบไปกิน"

ไป๋มู่ชิงจ้องมองไปที่เขาแล้วก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่เขาจูบเธอ เขาบอกว่าเขาอยากจะลิ้มลองรสชาติของชาบูว่าเป็นยังไง โตจนอายุจะสามสิบละ เขาไม่รู้งั้นเหรอว่าชาบูรสชาติยังไง น่าเศร้าจริงๆ

ถ้าเขาอยากลองขนาดนั้นก็ไปกับเขาสักครั้งก็ได้

ลิฟต์มาถึงแล้ว ทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟต์

ร้านอาหารนี้อยู่ชั้นแปดเมื่อลิฟท์ผ่านชั้นเจ็ดอยู่อยู่ก็มีคนเดินเข้ามาไม่น้อย ไป๋มู่ชิงกลัวว่าตัวเองจะโดนผลักเหมือนครั้งก่อนร่างกายเลยขยับถอยไปเลยหลบอยู่มุมทันที

จากนั้น ร่างกายก็ถูกโอบกอดเข้าไปในอ้อมแขน เธออึ้งไปพร้อมหันไปมองหนานกงเฉิน แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรท่าทางยังดูปกติเหมือนทำทุกวัน

เมื่อลิฟต์จอดที่ชั้นหนึ่ง หนานกงเฉินใช้แขนอีกข้างมาบังตัวเธอไว้แล้วเดินออกไป อย่างที่เห็น เขากลัวเรื่องครั้งก่อนจะซ้ำรอยมากกว่าเธออีก

เมื่อทั้งสองเข้าไปนั่งในรถของหนานกงเฉินแล้ว หนานกงเฉินก็หันมาถาม "เรื่องชาบูคุณชำนาญกว่า คุณว่าไปกินที่ไหนดี"

ไป๋มู่ชิงครุ่นคิด "งั้นเราไปกินร้านเมื่อวานดีกว่า ร้านนั้นมีเมนูน้ำใสแล้วรสชาติก็อร่อยด้วย"

ใบหน้าเธอมีรอยยิ้มสดใสที่ยากจะแสดงออกมา

หนานกงเฉินมองไปที่เธอ เขาจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองไม่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้บนหน้าเธอนานแค่ไหนแล้ว ดินเนอร์ใต้แสงเทียนในร้านอาหารหรูหราก็ยังเทียบชาบูธรรมดาไม่ได้หรอ?

เมื่อวานไปมู่ชิงกินกับเหยาเหม่ยแล้วก็หยวนกวย ร้านอยู่ใกล้ใกล้ศูนย์วัฒนธรรม ถึงแม้จะไม่ใช่ร้านหรูหราอะไรแต่ก็ตกแต่งดูสวยแถมยังสะอาดด้วย

หนานกงเฉินจอดรถตรงลานจอดรถหน้าร้านแล้วเดินเข้าไปในร้านกับไป๋มู่ชิง ไม่นานเซิ่งเคอกับผู่เหลียนเหยาก็ตามมาด้วย

เซิ่งเคอบังคับรถให้เข้าที่จอดรถ ผู่เหลียนเหยาที่สายตาแหลมก็รีบตบสะกิดที่แขนเขา "รอก่อน"

"ทำไม?" เซิ่งเคอเหยียบเบรกให้รถจอดนิ่ง

ผู่เหลียนเหยาใช้คางชี้ไปทางรถหรูสีดำหน้าที่จอดอยู่หน้าร้านชาบู "นั่นเป็นรถของพี่ชายไม่ใช่หรอ?"

"ใช่ ทำไมพี่ชายถึงอยู่ที่นี่ได้?" เซิ่งเคอก็มองสำรวจรถสีดำคันนั้นตามไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ "นี่เป็นร้านชาบูนะ พี่ชายไม่เคยกินอะไรแบบนี้หรอก แปลกจัง"

"ทำไมเขาไม่กินชาบูล่ะ?"

"หมอบอกว่าเขาทานอาหารที่แคลอรี่เยอะแบบนี้ไม่ได้" เซิ่งเคอยื่นคอมองเข้าไปในร้านแล้วหัวเราะออกมา "ก็ดี จะได้ให้พี่ชายเลี้ยงด้วย"

"ฉันเดาเลยว่าพี่ชายมาที่แบบนี้ต้องมากับพี่สะใภ้แน่ๆ นายยังจะไปเป็นกอขอคออีกหรอ?"

"ทำไมล่ะพวกเขาก็เป็นกอขอคอของเราเหมือนกันไม่ใช่หรอ?"

"ไม่ได้ แค่พี่ชายไอเสียงเดียวฉันยังกลัวเลย มีกอขอคออย่างเขาฉันกินไม่ลงหรอก" ผู่เหลียนเหยาคล้องแขนเขาไว้ "เราไปกินร้านอื่นได้ไหม? เราไปกินกันเองเถอะ"

"ได้สิ แล้วแต่เธอเลย" เซิ่งเคอยิ้มพร้อมยื่นมือไปยีหัวเธอ "เธอยังตามใจฉันเลื่อนมากินวันนี้ได้ ฉันจะไม่กล้าตามใจเธอเปลี่ยนร้านได้ยังไง?"

"ชอบที่นายเข้าใจฉันแบบนี้ที่สุด" ผู่เหลียนเหยาเอนตัวไปซบที่ไหล่เขาด้วยใบหน้ายิ้มมีความสุข

เซิ่งเคอก็ก้มลงไปจูบเธอด้วยความหลงรัก จากนั้นก็กลับรถไปจากที่นี่

หนานกงเฉินมองกวาดไปที่เมนูสุดท้ายก็ให้ไป๋มู่ชิงเป็นคนสั่ง ไป๋มู่ชิงไม่ได้คิดอะไรมากเลยสั่งชุดเซตสำหรับสองคนมา

"ไม่ทราบว่าจะรับเครื่องดื่มหรือว่าเบียร์ดีคะ?" พนักงานถามขึ้นอย่างมีมารยาท

"น้ำผลไม้สองแก้วก็พอ" หนานกงเฉินพูดขึ้น

"เป็นน้ำผลไม้หนึ่งแก้วกับหวังเหล่าจี๋หนึ่งกระป๋องดีกว่า" ไป๋มู่ชิงพูดเสริมอีกว่า "ขอเพิ่มพายเนื้อแกะด้วยค่ะ"

"ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ" พนักงานรับออเดอร์ไป

พนักงานรีบเสิร์ฟผลไม้แก้วกับหวังเหล่าจี๋มา ไป๋มู่ชิงก็ดันหวังเหล่าจี๋ไปที่หนานกงเฉิน แต่หนานกงเฉินปฏิเสธทันที "ผมไม่ชอบดื่มอะไรแบบนี้"

"อันนี้เป็นชาทานคู่กับชาบูอร่อยมาก" ไป๋มู่ชิงยัดเยียดชานี้ให้เขา "ชานี้ดับร้อนในได้ดี"

"แล้วทำไมคุณไม่ดื่ม?" ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะตอบยังไง เธอยอมรับได้หรือเปล่าว่าเธอไม่ชอบรสชาติของชานี้เลย?

หลังจากนั้นของที่ไป๋มู่ชิงสั่งไว้ก็เสิร์ฟต่อๆกันมา เธอนำจานที่มีพายเนื้อแกะยื่นไปตรงหน้าของหนานกงเฉิน "พายเนื้อแกะที่นี่อร่อยมากคุณลองกินสิ"

หนานกงเฉินมองไปที่รูปลักภายนอกที่ดูปกติของพายนี้แล้วคีบคำเล็กๆคำนึงกิน รสชาติอร่อยไม่แพ้ภัตตาคารหรูในโรงแรมเลย

"อร่อยไหม?" ไป๋มู่ชิงถามขึ้นด้วยสีหน้าคาดหวัง

"ก็ไม่เลว คุณก็กินสิ" หนานกงเฉินพยักหน้าแล้วคีบไปให้เธอชิ้นหนึ่ง

หลังจากรู้ว่าไป๋มู่ชิงท้อง ทั้งสองก็ไม่เคยกินข้าวด้วยกันแบบนี้เลย วันนี้เป็นมื้อแรกก็ยังถือว่าผ่านไปได้อย่างราบรื่น

หนานกงเฉินที่ทำตามเธอไปอย่างไม่รู้กับของใหม่ๆอย่างนี้ ไป๋มู่ชิงก็ลืมความแค้นไปชั่วขณะ ลืมทั้งอดีตแล้วก็อนาคต พร้อมทุ่มเททั้งกายใจแล้วรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยไปพร้อมกับเขา

เมื่อใกล้ทานเสร็จเธอก็ถามเขาด้วยสีหน้าสงสัย "ลิ้มลองออกมาหรือยัง? ว่าชาบูรสชาติยังไง?"

หนานกงเฉินกำลังใช้ทิชชูเช็ดปากอยู่ก็หยุดลง "ก็ดีกว่าที่ผมคิด" พูดจบเขาก็เบี่ยงตัวมามองเธอ "ทำยังไงดี? ถ้าเกิดผมติดขึ้นมาแล้วอีกหน่อยมากินทุกวันทำยังไงดี?"

"คุณว่าล่ะ?" ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะพูดยังไง

"ผมคิดว่าคุณย่าคงตีคุณตาย"

ไป๋มู่ชิงขนลุกซู่ขึ้นมา เธอคิดว่าเป็นไปได้ แต่โดนตีตายดีกว่า อย่าใช้กฎตระกูลกับเธออีกก็พอ!

เมื่อทั้งสองเช็คบิลเสร็จก็เดินออกจากร้านชาบู ไป๋มู่ชิงก็เห็นโพสตอร์นิทรรศการภาพวาดที่ติดอยู่ที่ประตูศูนย์วัฒนธรรมข้างบนนั้นบอกว่ามีนิทรรศการใหม่กำลังจัดแสดงอยู่

เธอหันไปมองหนานกงเฉิน พอดีกับหนานกงเฉินก็หันมาทางเธอ

หนานกงเฉินคิดลังเลก่อนจะเอ่ยว่า "ไปเถอะ เข้าไปดูกัน"

ไป๋มู่ชิงประหลาดใจแล้วหันไปมองเขาอีกรอบ เขาพูดว่าอะไรนะ? เขาจะไปดูนิทรรศการรูปกับเธองั้นหรอ?

เหมือนเขาจะรู้สึกได้ถึงความประหลาดใจของเธอก็เลยพูดเสริมว่า "กินจนอิ่มแล้ว ก็ต้องเดินย่อยสักหน่อย"

ถึงแม้ฟังดูแล้วเขาจะทำเพื่อตัวเองแต่ยังไงไป๋มู่ชิงก็ยังตื้นตันพร้อมกับพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในศูนย์วัฒนธรรมพร้อมกับเขา

ความจริงเธอมาชมเองพรุ่งนี้ก็ได้แต่เมื่อกี้กินอิ่มจนจุกเล็กน้อยถ้าขึ้นรถไปตอนนี้คงไม่สบายตัวแน่ๆแล้วนิทรรศการก็อยู่ตรงหน้า เข้าไปเดินเล่นสักหน่อยก็ยังดี

ในนิทรรศการก็เปลี่ยนรูปใหม่แล้วตามที่บอก หนานกงเฉินไม่รู้สึกสนใจกับรูปพวกนี้เลยแค่มองผ่านแว๊บเดียว ซึ่งตรงกันข้ามกับไป๋มู่ชิงที่ตั้งใจดูภาพ เมื่อหนานกงเฉินกวาดมองทั้งหมดแล้วออกมา แต่กลับเห็นว่าเธอยังหยุดอยู่โซนแรกอยู่

"ผู้ชายวัยกลางคนที่ทั้งเตี้ยทั้งอ้วนแล้วก็เหมือนลูกบอล ดึงดูดคุณขนาดนี้เลยเหรอ?" หนานกงเฉินเอ่ยขึ้นมา เขาที่เดินออกมาแล้วก็ยังเห็นไป๋มู่ชิงจ้องมองผู้ชายในภาพอย่างไม่ละสายตา ในใจเขาก็รู้สึกแปลกๆ แล้วมองตามเธอไปสักพักก็ไม่เห็นว่าภาพนี้มีตรงไหนที่น่าดึงดูดเลย

"คุณจะเข้าใจอะไร นี่เป็นภาพวาดของจิตรกรหญิงลอเอลล่าที่เธอชอบวาดที่สุดก็คือสามีเธอ วาดตั้งแต่หนุ่มๆจนถึงตอนนี้ คุณดูภาพนี้สิ" ไป๋มู่ชิงเดินเข้าไปไม่กี่ก้าวพร้อมชี้หนึ่งในภาพเหล่านั้น "คุณดูสิ นี่เป็นภาพที่พวกเขาเพิ่งแต่งงานจนตอนนี้ก็เกือบ 20 ปีแล้ว"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด