เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 106

พอกลับถึงโรงแรม ไป๋มู่ชิงก็ไปอาบน้ำแล้วนอนลงบนเตียง

หนานกงเฉินทอดมองไปที่เธอที่นอนอยู่บนเตียง "คุณแน่ใจเหรอว่าไม่ต้องเรียกหมอมา?"

"ฉันแน่ใจ" ไป๋มู่ชิงหันหลังใส่เขา

เมื่อเห็นท่าทางเธอที่ไม่อยากพูดอะไรมาก หนานกงเฉินก็ไม่ได้รบกวนเธออีก แล้วเดินไปนั่งลงที่โต๊ะทำงานแล้วเปิดโน๊ตบุ๊คขึ้นมาทำธุระต่อ

อาจจะเป็นเพราะตอนบ่ายนอนเยอะเกินไป ไป๋มู่ชิงนอนอยู่บนเตียงแต่ไม่รู้สึกง่วงเลย ฟังเสียงที่เขาเคาะแป้นพิมพ์ไปสลับกับเสียงคุยโทรศัพท์ไป เสียงนี้ก็เพราะดี

เธอใช้มือดึงผมตัวเองไว้ ในใจคิดว่าตัวเองคงบ้าไปแล้ว เวลานี้ยังรู้สึกว่าเสียงที่เขาทำงานมันน่าฟัง

เธอหลับตาลงแน่น บังคับให้ตัวเองนอนให้หลับ ขอแค่นอนหลับก็จะไม่คิดมากแล้ว

เวลาผ่านไปสักครู่ เธอนอนหลับแล้วจริงๆ ไม่ได้ยินเสียงของหนานกงเฉินที่ดังมาจากโต๊ะทำงานอีก

ไม่รู้ว่านอนไปนานแค่ไหน เธอที่หลับลึกอยู่รู้สึกว่าหนานกงเฉินนอนใกล้เข้ามาแล้วกอดเธอเข้าไปในอ้อมกอดอย่างทุกวัน แล้วฝ่ามือเขาก็วางลงเบามือที่หน้าท้องที่นูนขึ้นของเธอแล้วค่อยๆขยับขึ้นมา

เธอรู้สึกได้ว่าเขาต้องการ แต่ไป๋มู่ชิงกลับขยับตัวหนีเล็กน้อยแล้วแกล้งทำเป็นเหนื่อยแล้วลูบมือเขาออกจากตัวเธอ

หนานกงเฉินหยุดนิ่งไปแล้วเป่าลมที่ข้างหูเธอ "คุณเป็นภรรยาที่ไม่เอาอกเอาใจเลย"

ตาของไป๋มู่ชิงกระตุกไปแล้วแสร้งทำเป็นหลับต่อ

เธอไม่รู้ว่าคนท้องคนอื่นปรนนิบัติสามีตัวเองเมื่อเขาต้องการอย่างไร แล้วตอนนี้เธอก็ไม่มีอารมณ์คิดเรื่องนี้ด้วย ก่อนนอนเธอก็เอาแต่คิดว่าจะหาครอบครัวคุณลุงเจอได้ยังไงหลังจากที่จากกันมาหลายปี

ถึงหนานกงเฉินจะไม่พอใจกับการกระทำของเธอ แต่ก็คิดได้ว่ากับเรื่องแบบนี้เธอเป็นแค่หญิงสาวที่ถนัดมากก็เลยไม่ฝืนใจเธอ สุดท้ายก็แค่ถอนใจออกยาวๆแล้วนอนกอดเธอหลับไป

ไป๋มู่ชิงนอนหลับเร็วก็ต้องตื่นเช้าก่อน เธอหันมองที่หนานกงเฉินนอนอยู่ข้างกายแล้วลุกขึ้นอย่างระมัดระวังเดินไปทางห้องอาบน้ำ

ถึงในใจจะเคืองแค้นเขา แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นสามีของเธอ การดูแลเขาก็เป็นหน้าที่ของเธอ หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เธอก็ลงไปเตรียมอาหารเช้าข้างล่าง

เมื่อคืนกว่าเขาจะนอนก็เที่ยงคืนกว่าแล้ววันนี้เก้าโมงเช้าก็ต้องไปประชุมในเมืองด้วย ตอนนี้ให้เขาหลับให้เต็มอิ่มอีกหน่อยก็ได้

ในโรงแรมมีวัตถุดิบที่ค่อนข้างครบถ้วน ไป๋มู่ชิงตัดสินใจที่จะทำโจ๊กหมูสับปวยเล้ง มีทั้งสารอาหารทั้งอร่อยด้วย

โจ๊กปวยเล้งเป็นอาหารที่เสี่ยวยี่ชอบที่สุด หนานกงเฉินก็คงจะชอบด้วยเหมือนกัน เธอคิดว่าอย่างงั้น

หลังจากที่ทำโจ๊กเสร็จ เธอก็เดินขึ้นไปปลุกหนานกงเฉิน แต่หนานกงเฉินกลับเดินลงมาอย่างเชื่องช้าแล้ว เขาผูกเน็คไทไปด้วยพร้อมมองเธอไปด้วย "ตื่นเช้าขนาดนี้ ผมนึกว่าคุณออกไปแล้ว"

"ฉันทำโจ๊กปวยเล้ง คุณกินรองท้องก่อน" ไป๋มู่ชิงตักใส่ถ้วยแล้ววางไว้บนโต๊ะ

หนานกงเฉินมองไปที่โจ๊กแล้วมองทอดทิ้งไปที่เธอ "ก็ดูดีอยู่ คงน่าจะอร่อย"

"ลองชิมดูสิแล้วก็จะได้รู้"

"ขอบใจ" หนานกงเฉินนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเธอแล้วใช้ช้อนตักขึ้นมาเข้าปากคำนึงแล้วเงยหน้ามองไปที่เธอ "เมื่อคืนผมเข้าใจคุณผิด ความจริงในฐานะภรรยาบางเรื่องคุณก็ทำได้ดี"

เป็นการหยอกล้อระหว่างสามีภรรยาปกติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไป๋มู่ชิงคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นมาโดยตลอด แต่เธอในตอนนี้กลับรู้สึกแค่หงุดหงุด "รีบกินแล้วรีบไปประชุมเถอะ ระวังสาย"

หนานกงเฉินรู้สึกถึงความหงุดหงิดของเธอพร้อมมองสำรวจไปที่เธอ "นี่ก็เป็นอาการหงุดหงิดง่ายของคนท้องหรอ?"

ไป๋มู่ชิงไม่พูดอะไรต่อ แค่นั่งลงตรงข้ามเขาแล้วรับประทานอาหารเช้า

หนานกงเฉินกินไปกี่คำก็ ก็เงยหน้าขึ้นมามองเธออีกครั้ง "ผมประชุมตอนเช้า แล้วตอนบ่ายก็ไปร่วมงานที่ว่าการ คุณอยากไปกับผมหรือเปล่า?"

"จำเป็นต้องไปใช่ไหม?" ไป๋มู่ชิงถามขึ้นเสียงเบา

"ทางผู้จัดงานไม่ได้กำหนดว่าต้องมีคู่ไปด้วย"

"ถ้าเป็นอย่างนั้น งั้นฉันไม่ไปแล้วกัน"

"แล้ววันนี้คุณคิดว่าจะไปไหนล่ะ?"

"ฉัน……แค่เดินเที่ยวเล่น"

"ก็ดี งั้นให้คนขับรถพาคุณไป"

"ไม่ต้อง ฉันแค่เดินเล่นใกล้ๆนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้รถ"

หนานกงเฉินคิดไปคิดมาแล้วพยักหน้าให้ "ก็ได้ มีอะไรก็โทรหาผมนะ"

ไป๋มู่ชิงรับปากไปอย่างนั้นแล้วกินโจ๊กในถ้วยต่อ

หลังจากที่หนานกงเฉินกินโจ๊กเสร็จก็ดึงทิชชู่มาเช็ดปากจนสะอาด "ผมไปก่อนนะ" พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องอาหารแล้วเดินตรงออกประตูโรงแรมไป

ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นแล้วเดินตามเขาออกจากประตูโรงแรม ยืนส่งเขาขึ้นรถที่บันได หนานกงเฉินรู้สึกได้ว่าเธอตามมา ก่อนขึ้นรถก็หยุดลงแล้วหันหลังกลับไปที่เธอจากนั้นก็เดินตรงกลับไปหาเธอ

"นี่คุณกำลังรอจูบลาของผมอยู่หรอ?" หนานกงเฉินถามขึ้นยิ้มๆ

ไม่รอให้ไป๋มู่ชิงปฏิเสธเธอ เขาก็จับหน้าเธอไว้แล้วจุมพิตลงที่ริมฝีปากเธอ

ไป๋มู่ชิงหลับตาลง แล้วปล่อยริมฝีปากเขา เอาแต่รู้สึกว่าจูบนี้เป็นจูบลาขาด ทำไมถึงมีความรู้สึกแบบนี้เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

อาจจะเป็นเพราะเรื่องที่เธอต้องไปทำเกี่ยวกับการตายของคุณย่ามั้ง เธอคิดแบบนี้

ในเมื่อเป็นการลาขาดก็ปล่อยให้เธอเอาแต่ใจอีกสักครั้ง ให้ความไม่ถูกต้องนี้จบลงสักที

หลังจากที่รถของหนานกงเฉินแล่นออกจากประตูโรงแรมไป ไป๋มู่ชิงก็กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากโรงแรมไปคนเดียว เธอไม่ได้ใช้รถของคนขับรถเฉิน แต่เธอเช่ารถคันใหม่แล้วขับเข้าไปในตัวเมือง

เธอรู้แค่ว่าคุณลุงย้ายมาอยู่ในเมือง แต่ก็ได้ยินคุณแม่พูดว่าครอบครัวคุณุลงได้ย้ายไปต่างประเทศแล้ว แต่เธอก็อยากลองไปเสี่ยงดู อาจจะเจอบ้านของคุณลุงก็ได้

แต่เสียดายบ้านหลังนั้นได้ขายต่อให้คนอีกครอบครัวหนึ่งแล้ว เจ้าของบ้านก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่าไม่รู้ว่าพวกเขาย้ายไปที่ไหน

ไป๋มู่ชิงก็ไปถามเพื่อนบ้านอีกหลายบ้าน แต่ไม่มีใครรู้เลยเกี่ยวกับครอบครัวคุณลุง แค่บอกว่าตอนนั้นทั้งครอบครัวย้ายออกไปอย่างเร่งรีบไม่มีแม้แต่คำบอกลากันเลย

ไป๋มู่ชิงทำอะไรไม่ได้ก็เลยไปที่สุสานแทน

เวลาครั้งนี้กับครั้งก่อนไม่ได้ห่างกันมาก แต่กลับเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันสิ้นเชิง ครั้งนี้มาถึงหน้าศาลคุณย่า ไป๋มู่ชิงก็คุกเข่าลงแล้วก้มกราบลงไปพร้อมน้ำตาแล้วพูดสะอึกสะอื้น "ขอโทษ……"

"คุณย่าให้อภัยกับการกระทำที่ไม่รู้กับจำเป็นของหนูด้วย หนูไม่ได้ตั้งใจที่จะแต่งงานกับหนานกงเฉิน ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะเป็นฆาตกรที่ทำให้คุณย่าตาย ถ้ารู้อย่างนี้ไม่ว่ายังไงก็จะไม่แต่งงานกับเขาเด็ดขาด คุณย่าอาจจะโทษหนู เกลียดหนู โทษที่ว่าทำไมจนตอนนี้หนูยังไม่ไปจากเขา ขอให้คุณย่าให้อภัยหนูด้วย หนูมาถึงขั้นนี้แล้ว แถมยังท้องลูกของเขาอีกเลยจำเป็นต้องอยู่ต่อ แต่ว่าหนูขอสัญญากับคุณย่า ถ้าเด็กคนนี้ได้คลอดออกมาอย่างราบรื่น หนูจะไปจากเขาแน่นอน ไปจากเขาให้ไกล ชาตินี้จะไม่เจอกันอีก"

"ขอโทษนะคะ ที่หนูแก้แค้นแทนคุณย่าไม่ได้ หนูใช้มีดแทงเขาเหมือนในฝันแบบนั้นไม่ได้ เพราะว่ายังไงเขาก็เป็นพ่อของลูก คุณย่าจำตอนเด็กได้ไหมคะ คุณย่าชอบกอดหนูแล้วน้ำตาตก ว่าเด็กขนาดนี้ก็ไม่มีความรักจากพ่อแล้ว เด็กที่มีความรักจากพ่อช่างน่าสงสารเหลือเกิน เพราะฉะนั้นหนูจะทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไม่ได้ แล้วทำใจให้เขาเป็นแบบนั้นไม่ได้ด้วย"

"คุณย่าคะ จะให้อภัยหนูใช่ไหมคะ? ถ้าคุณย่าให้อภัย ขอให้คืนนี้เข้าฝันมาบอกหนูด้วย หนูจะได้สบายใจ……"

หยดน้ำที่เย็นหยดลงที่หน้าผากไป๋มู่ชิง เลยทำให้คำพูดหยุดลง

ฝนตกเหรอ? เธอเงยหน้าขึ้นมองเพิ่งรู้ว่าท้องฟ้าที่ยังสว่างจ้าเปลี่ยนเป็นสีครึ้ม เหมือนฝนกำลังจะตก

เธอรีบปรับอารมณ์ตัวเอง แล้ววางดอกลิลลี่ไว้ที่หน้าศาลคุณย่า แต่ก็ทำใจหันหลังให้กับสุสานนี้ไปไม่ได้

เมื่อเธอเดินมาถึงหน้าสุสานกำลังเตรียมตัวจะขึ้นรถก็ได้ยินเสียงเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังว่า "เสี่ยวเสว?"

ไป๋มู่ชิงอึ้งไปครู่หนึ่ง ถึงแม้จะไม่ได้ยินชื่อนี้มาสิบกว่าปีแล้ว แต่เมื่อได้ยินอีกก็รู้สึกใจสั่นไป

เธอหันกลับไปมองด้วยความปลาดใจก็เห็นผู้หญิงมีอายุท่านหนึ่งกำลังเดินมาหาเธอ ผู้หญิงคนนี้ใส่หมวกกันแดดไว้แล้วเสื้อผ้าการแต่งตัวก็ดูดีหรูหรา

ความรู้สึกที่คุ้นเคยเอ่อล้นออกมา ในใจรู้สึกตื่นเต้นเซอร์ไพรส์มาก แล้วเรียกตอบกลับไปว่า "คุณป้า?"

ถึงแม้เธอจะไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งกับคุณป้ามาก แต่ตามหามาทั้งวันก็ยังไม่เจอแต่กลับมาเจอที่นี่ ก็รู้สึกดีใจ

เมื่อเทียบกับคุณป้าเมื่อหลายปีก่อน คุณป้าตรงหน้านี้ไม่ว่าจะภาพลักษณ์หรือการแต่งตัวก็ดูดีขึ้นมาก ให้ความรู้สึกเหมือนคุณหญิง

"ไม่ได้เจอกันตั้งสิบกว่าปีแล้ว ไม่คิดเลยว่าเธอยังจะจำป้าได้" โจวซู่เดินเข้ามาแล้วดึงมือเธอไว้ "เมื่อกี้ป้ายังคิดเลยว่าอาจจะทักผิดคนแล้ว มาคิดดูอีกทีคนที่จะมาที่นี่ได้ไม่ใช่เธอก็คงเป็นพี่สาว ก็เลยลองทักไป"

ตอนนั้นที่ไป๋มู่ชิงศัลยกรรมใบหน้าให้เหมือนกับไป๋ยิ่งอัน โจวซู่ก็รู้ดี แต่ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปีก็เลยไม่แน่ใจ

"คุณป้ามาเยี่ยมคุณย่าหรอคะ?" ไป๋มู่ชิงถามขึ้น

"ใช่" โจวซู่เงยหน้ามองท้องฟ้า "แต่ดูเหมือนว่าฝนจะตก คงไปไม่ได้แล้ว"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด