เธอยื่นมือไปรับแก้วแล้วดื่มคำนึงพร้อมตอบอย่างไร้ความรู้สึกว่า "ไม่มีอะไรน่าอธิบาย"
เธอตั้งใจที่จะขัดเขาเพราะว่าเธอตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มห่างเหินเขาตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เพื่อเตรียมตัวสำหรับไม่กี่เดือนข้างหน้าเพราะฉะนั้นก็ต้องเดินไปในทางนี้ต่อไป
เธอคิดว่าหนานกงเฉินจะบีบคอเธอเหมือนแต่ก่อนหรือว่าโมโหใส่เธอ แต่ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้เขาไม่ทำอะไรเพียงแค่จ้องมองมาที่เธอ จากนั้นก็เดินไปนั่งลงข้างเตียงของเธอ
"ผมว่าเราต้องคุยกัน" เขาพูด
"ฉันคิดว่าไม่จำเป็น" ไป๋มู่ชิงพูด "สิ่งที่ควรพูดเมื่อคืนผู้ช่วยเหยียนพูดกับฉันหมดแล้ว คุณชายหนานกงคุณมีผู้ช่วยที่ดีมากจริงๆ "พูดจบเธอก็ยิ้มอ่อน
หนานกงเฉินไม่รู้ว่าผู้ช่วยเหยียนคุยอะไรกับเธอเลยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ แต่ไป๋มู่ชิงก็พูดขึ้นมาอีกว่า "คุณชายหนานกงคะ ตอนนี้ฉันมีแค่อย่างเดียวที่จะขอร้องคุณได้ไหมคะ?"
"คุณว่ามาสิ" คิ้วของหนานกงเฉินเริ่มคิ้วขมวด เขาเดาได้ว่าคำขอร้องของเธอนี้มันเป็นไปได้ยากแน่นอน
"ฉันอยากย้ายกลับไปที่บ้านแล้วดูแลครรภ์ดีๆ คลอดเด็กคนนี้ออกมาอย่างราบรื่น คำขอร้องนี้ไม่เกินไปใช่ไหมคะ?"
คำขอร้องนี้ไม่เกิดไปก็จริง แต่ว่า……เขาไม่มีทางตกลงแน่นอน
"ผมก็ยังคงคำเดิม นอกจากจะมีข้ออ้างที่สมเหตุสมผล"
"ข้ออ้าง?" ไป๋มู่ชิงหมุนแก้วน้ำในมือแล้วคิดไปจากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบลื่น "ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องแยกกัน งั้นก็แยกตอนนี้……"
"ใครบอกว่าจะต้องแยกจากกัน?" หนานกงเฉินพูดตัดขึ้นอย่างหงุดหงิด
ไป๋มู่ชิงทอดมองไปที่ใบหน้าที่หงุดหงิดของเขา อยู่ๆก็นึกถึงคำพูดที่ผู้ช่วยเหยียนพูดเมื่อวาน ถ้ายังไม่ถึงวันนั้น เธอจะรู้ได้ไงว่าหนานกงเฉินจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น?
เธอไม่รู้ว่าหนานกงเฉินจะต่อต้านคุณหญิงเพื่อเธอหรือเปล่า แล้วล้มเลิกความคิดที่จะแต่งงานต่อ แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญแล้ว
"ถ้าหลังจากที่เด็กคลอดออกมาแล้วคุณยังอยากแม่ลูกเราอยู่ ค่อยก็มารับฉันกลับจากบ้านตระกูลไป๋" เธอพูดกับเขาทีละคำ
หนานกงเฉินนิ่งไปพักนึง สถานการณ์แบบนี้เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย ทำไมฟังดูแล้วมันช่างน่าเศร้าเหลือเกิน
"คุณชายคะ ฉันพูดความจริงกับคุณก็ได้" ไป๋มู่ชิงลังเลไปครู่หนึ่ง นัยตาก็มีน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา "ฉันไม่ชอบอยู่ในบ้านหนานกง ไม่ชอบทุกคนที่นั่น ชีวิตที่อยู่ที่นั่นฉันรู้สึกถูกกดจนหายใจไม่ออก ซึมเศร้าเหมือนจะเป็นโรคซึมเศร้า ถ้ายังเป็นอย่างนี้อีกฉันคงรอไม่ถึงให้เด็กคลอดก็คงตายเพราะโรคซึมเศร้านี้ไปแล้ว"
หนานกงเฉินมองไปที่ใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยความกดดันกับความกลัว ผ่านไปครู่นึงค่อยหัวเราะออกมา "ที่แท้ในใจคุณบ้านหนานกงน่ารังเกียจขนาดนั้นเลย"
"คุณย่าไม่พอใจในตัวฉัน คนรับใช้ก็ไม่ให้เกียรติ ฉันสามีก็ไม่รักฉัน คุณลองคิดดูสิ ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์นั้นจะชอบที่นั่นหรอ? จะอยู่ที่นั่นต่อไปได้หรอ? เพราะฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยของฉันกับลูก ขอให้คุณตกลงด้วย"
หนานกงเฉินเงียบไปอีกสักพักแล้วค่อยมองเธอ "จะไปจริงๆหรอ?"
เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าอยู่ในบ้านหนานกงต้องกดดันแค่ไหน ถึงแม้เขาจะเป็นคนชายที่สูงส่งก็รู้สึกไม่สบายใจ อย่าว่าแต่เธอเลย?
แต่ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ในใจเขาก็ไม่อยากให้เธอไปอยู่ดี
กี่วันนี้มาเขาชินกับการที่มีเธออยู่ ชินกับโต๊ะอาหารที่มีเธอ ชินกับหลังจากเลิกงานกลับบ้านมาก็เห็นเธอ ชินกับทุกคืนที่รู้สึกเหงาแล้วไปรังควานเธอในห้อง
"ในเมื่อสถานการณ์มันเป็นถึงขั้นนี้แล้ว เราก็ห่างกันสักพักเถอะ ในช่วงเวลาที่ห่างกันฉันก็จะได้ดูแลครรภ์ คุณก็จะได้ตั้งใจทำงาน วางแผนดีๆว่าถ้ารอให้เด็กคลอดแล้วคุณยังต้องการฉัน ฉันจะกลับไปที่บ้านหนานกงเพื่อลูก เพื่อที่ลูกจะพยายามใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหนานกงให้ได้"
"ไป๋ยิ่งอัน คุณเกลียดผมขนาดนั้นเลยหรอ?"
"ฉันยอมรับว่าฉันไม่ได้ชอบคุณ โดยเฉพาะวิธีการที่เด็ดขาดของคุณ" พูดถึงจุดนี้ น้ำเสียงไป๋มู่ชิงก็เปลี่ยนไปแล้วกัดฟันแน่น
"คุณกำลังหมายถึงเรื่องบ้านสวนจูหรอ?"
"ใช่ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนจัดการโดยตรงหรือเปล่า ยังไงเรื่องก็เกิดขึ้นเพราะคุณ"
หนานกงเฉินพยักหน้า "ผมยอมรับว่าเรื่องนี้ผมผิด คนที่โทษผมไม่มีแค่คุณคนเดียวหรอก"
ไป๋มู่ชิงพูดอะไร
หนานกงเฉินยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มน้ำแล้วเสียงก็นิ่งไป "คุณหนูไป๋ ผมขอเตือนคุณไว้เลย ช่วงเวลาสี่เดือนนี้มันเพียงพอที่จะทำให้เกิดเรื่องทุกอย่างขึ้นได้ อาจจะเจอคนมากมาย ผมไม่รับประกันหรอกนะถ้าถึงตอนนั้นความรู้สึกดีๆที่ผมมีต่อคุณอันน้อยนิดจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า จะไปหลงรักผู้หญิงหรือเปล่า คุณแน่ใจหรอว่าจะเอาอนาคตของตัวเองมาพนัน?"
"ถ้ามันไม่ใช่ของฉันแต่แรก ฉันจะรั้งยังไงก็รั้งไม่อยู่ แต่ถ้าเป็นของฉันไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็จะเป็นของฉัน ความรักไม่ใช่สิ่งที่เวลาสามารถมาลบล้างได้ ก็เหมือนกับความรู้สึกที่คุณมีให้คุณหนูจู" ไป๋มู่ชิงจ้องมองไปที่เขา "เพราะฉะนั้นฉันยอมพนัน"
หนานกงเฉินมองไปที่ใบหน้าที่มุ่งมั่นของเธอ ในใจก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เธออยากหนีห่างจากเขาขนาดนั้นเลยหรอ?
"ในเมื่อคุณพูดอย่างนี้ ก็ได้ ผมตกลง" เขาพูด
ไป๋มู่ชิงรู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะตกลงกับคำขอร้องของเธอ เธอคิดว่าเขาจะเหมือนแต่ก่อนที่พูดยังไงก็ไม่มีทางตกลง
"ขอบใจ……" ขอบตาเธอชุ่มฉ่ำขึ้นมาแยกไม่ออกว่าเป็นความเสียใจที่ต้องแยกจากกันหรือเป็นความสุขที่หลุดพ้นสักที
แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าน้ำตานี้มาเพื่ออะไร แต่หนานกงเฉินกลับได้คำตอบจากน้ำตานี้ว่าเป็นน้ำตาแห่งความดีใจ ในใจเขาผิดหวังมากกว่าเดิม แล้วก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา
"ผมหวังว่านี่จะไม่ใช่ข้ออ้างที่จะหลุดพ้นจากผมแล้วเข้าไปในอ้อมกอดของหลินอันหนาน ไม่งั้นผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่"
"วางใจเถอะ ไม่มีค่าอะไรกับฉันแล้ว" เพื่อหลินอันหนานหรอ?ตลกมาก
"ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ" หนานกงเฉินพูดจบก็วางแก้วลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนหันหลังเดินออกจากห้องไป
เวลาครึ่งวันที่ผ่านมาทั้งสองไม่ได้เอ่ยปากพูดคุยกันเลย แม้แต่มื้อเที่ยงก็ยังแยกกันกิน เพื่อที่จะได้รีบไปจากเมืองเหยียนเฉิงเร็วๆ ทีแรกที่หนานกงเฉินไม่อยากเปลี่ยนไฟท์บินกลับเปลี่ยนไฟท์บินให้เป็นตอนบ่ายวันนี้แทน
เวลากลับไปได้เปลี่ยนมาเป็นบ่ายสามของวันนี้ ขณะกำลังรออยู่ที่สนามบิน ไป๋มู่ชิงก็โทรหาซูวยาหยงในห้องน้ำ เมื่อโทรออกปุ๊บ น้ำเสียงเยาะเย้ยของซูวยาหยงก็ลอยออกมา "ได้ข่าวว่าเธอไปที่เมืองเหยียนเฉิงกับหนานกงเฉินอีกแล้วหรอ? สนุกไหม? ลำบากแกสินะที่จำได้ว่าจะต้องโทรหาแม่เลี้ยงอย่างฉัน"
ไป๋มู่ชิงไม่ทันได้เอ่ยปากพูด น้ำเสียงซูวยาหยงก็เปลี่ยนไปทันที "ฉันเตือนแกแล้วกี่ครั้ง อย่าไปที่เมืองเหยียนเฉิงอีก ถ้าทำให้หนานกงเฉินสงสัยว่าแกเกิดที่เมืองนั้นแล้วเกิดสงสัยในตัวแก ถึงเวลานั้นแกจะให้ยิ่งอันทำยังไง?"
"คุณหญิงไป๋วางใจเถอะค่ะ ถึงตอนนี้หนานกงเฉินก็ไม่ได้สงสัยในตัวฉันเลย"
"ถึงแม้จะไม่สงสัย แต่แกเอาแต่ไปที่เมืองนั่น ยังไงเขาก็ต้องมีความสงสัยบ้างแหละ" ซูวยาหยงก็ยังพูดสั่งสอน
"ไว้ใจได้ เขาไม่มีโอกาสนั้นแล้ว"
"หมายความว่ายังไง?"
"ฉันจะบอกข่าวดีกับคุณ หนานกงเฉินตอบตกลงที่จะให้ฉันกลับไปดูแลครรภ์ที่บ้านตระกูลไป๋แล้ว กลับไปคืนนี้เลย"
"จริงหรอ?" เมื่อซูวยาหยงได้ยินข่าวนี้ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
ช่วงเวลานี้เธอเอาแต่เป็นห่วงว่าไป๋มู่ชิงจะเกาะตำแหน่งคุณหญิงน้อยของตระกูลหนานกงไม่ปล่อย แล้วไม่สนใจแผนของเธอ ถึงแม้จะยอมรับแผนของเธอแต่ถ้าคนในตระกูลหนานกงไม่ปล่อยเธอมา แผนก็สำเร็จได้ยากเหมือนกัน
แต่พอวันนี้ได้ยินไป๋มู่ชิงพูดว่าจะเริ่มต้นแผนการ แถมยังทำให้คนในตระกูลหนานกงยอมปล่อยเธอมา เธอจะไม่ดีใจได้ยังไง?
"ก็ต้องจริงสิ" ไป๋มู่ชิงสูดหายใจเข้าเบาๆ "ฉันมีไฟลท์บินตอนบ่ายสามโมง รบกวนคุณมารับฉันที่สนามบินด้วย"
"ได้สิ ฉันก็ต้องไปรับด้วยตัวเองอยู่แล้ว แบบนี้ถึงจะได้สมจริงไง" ซูวยาหยงเอ่ยอย่างได้ใจแล้วพูดต่อว่า "ยังมีเรื่องอะไรที่จะให้ทำอีกหรือเปล่า? ฉันจะทำให้ดีที่สุด"
"ไม่มีแล้ว แค่นี้แหละ" ไป๋มู่ชิงวางโทรศัพท์ไป
ซูวยาหยงรีบร้อนอยากให้ไป๋ยิ่งอันเข้าไปในบ้านตระกูลหนานกง ยังไงก็ต้องคิดให้รอบคอบมากกว่าเธอ เพราะฉะนั้นเธอไม่ต้องเป็นห่วงเลยว่าถ้าลงจากเครื่องบินแล้วว่าจะมีอะไรผิดพลาด
หลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำ ไป๋มู่ชิงก็เห็นหนานกงเฉินเดินวนๆอยู่ที่ลานผู้โดยสาร พอเห็นเธอปุ๊บก็โล่งอกทันที จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตำหนิว่า "อยู่ข้างนอกเธออย่าเดินไปไหนมาไหนได้ไหม คุณคิดว่าความรู้สึกที่ตามหาใครสักคนมันดีมากงั้นหรอ?"
พอฟังคำตำหนิของเขาจบ มองไปที่สีหน้าที่ร้อนรนของเขา ไป๋มู่ชิงก็แสบจมูกขึ้นมา เขาตกใจเพราะว่าเมื่อวานที่เธอหายตัวไปงั้นหรอ? จนตอนนี้ไม่เห็นเธอแค่แป๊บเดียวก็รู้สึกกระวนกระวายแล้วงั้นเหรอ?
เธอหายใจเข้าลึกๆ เตือนตัวเองอย่าให้หลงไหลกับการกระทำที่เขาทำ อย่าให้กระทบกับการตัดสินใจของตัวเองอีก
ใช่ ผู้หญิงที่เขารักที่สุดไม่ใช่เธอ ผู้หญิงที่ข้างกายเขาก็ไม่ได้มีแค่เธอเพียงคนเดียว ไม่มีอะไรน่าตื้นตันใจหรอก
หนานกงเฉินเห็นว่าเธอไม่พูดอะไรก็ยกมือขึ้นดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนแล้วพาไปนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมทอดมองเธอ "คุณนั่งอยู่ที่นี่ อย่าไปไหนเด็ดขาด"
"ฉันรู้แล้ว" ไป๋มู่ชิงนั่งลงบนเก้าอี้ง่ายๆ
ถึงเวลาขึ้นเครื่องตามกำหนด ในมือหนานกงเฉินก็ถือบัตรกับตั๋วเครื่องบินของคนสองคนไว้ ส่วนมืออีกข้างก็คุ้มกันเธอจากผู้คนที่กำลังรอขึ้นเครื่อง ทั้งสองคนก็นั่งอยู่ที่ชั้นวีไอพีเหมือนเดิมแต่สิ่งที่ทำให้ไป๋มู่ชิงเอือมระอา คือเจอกับหลินอันหนานที่นี่อีกแล้ว
ไฟลท์บินจากเมืองเหยียนเฉิงกลับไปที่เมืองซีมีแค่วันละสองรอบ จะบังเอิญเจอหลินอันหนานบนเครื่องบินก็ไม่แปลก แต่แค่เธอรู้สึกไม่สบายตัวแค่เท่านั้น
โดยเฉพาะสายตาที่แหลมคมเหมือนมีดของหลินอันหนานจ้องมองมาที่เธอ เธออดใจคิดไม่ได้ถึงสถานการณ์ตอนที่เขาด่าตัวเองว่าเลว
เธอเบี่ยงหน้าหนีตั้งใจที่จะหลบสายตาเขา
"พี่ชาย พี่สะใภ้บังเอิญจังเลย" สายตาของหลินอันหนานดีขึ้นแล้วยิ้มทักทายกับทั้งสองคน
หลังจากที่หนานกงเฉินพยุงตัวไป๋มู่ชิงเข้าไปนั่งที่นั่งใกล้หน้าต่าง ค่อยหันกลับมายิ้มกับเขา "เมืองเหยียนเฉิงดีขนาดนี้ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักวันสองวันค่อยกลับไปล่ะ?"
"ก็แค่เมืองที่ติดทะเล ไม่มีอะไรน่าสนุกหรอก" หลินอันหนานก็ยังคงรักษารอยยิ้มที่มีมารยาท
"ผมคิดว่าคุณชายหลินคงรีบกลับไปจัดการปัญหาเรื่องบ้านสวนจิงซ่วยที่เกิดขึ้นมั้ง?"
สีหน้าของหลินอันหนานไม่มีรอยยิ้มอีกแล้วพูดเสียดขึ้นว่า "เป็นถึงผู้นำบริษัทในเมืองซี พี่ชายทั้งรวยทั้งเอาแต่ใจ ไม่เพียงแต่เอาแต่ใจเท่านั้นแถมยังใจทรามด้วย ผมอุตส่าห์ช่วยพี่สะใภ้ไว้แต่พี่ชายกลับไม่ขอบคุณแต่ใช้วิธีสกปรกแบบนี้มาสร้างปัญหาให้ผม ผมไม่รู้ว่าพี่ชายไร้ความสามารถแค่ไหนถึงจำเป็นต้องใช้วิธีแบบนี้มารั้งภรรยาของตัวเองไว้"
ไป๋มู่ชิงฟังออกความหมายในคำพูดเขาเพราะว่าเรื่องเมื่อวานหนานกงเฉินถึงลงมือกับบริษัทหลินไป หลินอันหนานเลยจำเป็นต้องรีบกลับไปจัดการ
ผู้ชายคนนี้! ทั้งเอาแต่ใจทั้งเลือดเย็นจริงๆ ไม่เพียงแต่ทำตัวกับเธอแบบนี้ แถมคนอื่นก็ยังไม่เว้น!
แต่คนอย่างหลินอันหนานน่าไม่อายจริงๆ ทั้งๆที่เอาแต่ทำให้เธอกับแตกหักกับหนานกงเฉินลับหลัง ยังขังเธอไว้ในโรงแรมอีก ตอนนี้ยังกล้ามาเรียกร้องบุญคุณจากคนอื่นอีก
พอดียินหลินอันหนานพูดแบบนี้ สีหน้าหนานกงเฉินก็ไม่ได้ดูดีขนาดนั้น แต่หลินอันหนานก็ไม่ลืมที่จะพูดขึ้นอีกว่า "พี่ชาย ถ้าผู้หญิงคนนั้นรักพี่จริงล่ะก็ พี่ไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำเพื่อที่รั้งเธออยู่ข้างกาย"
"เหรอ เมื่อคืนนายก็ทำไม่ได้หนิ" หนานกงเฉินยิ้มเยาะเย้ยกับเขา "นายทำทุกวิธี สุดท้ายได้อะไรล่ะ? ทั้งต้องรีบรนกลับไปจัดการเรื่องที่บริษัท ยังเห็นผู้หญิงที่ตัวเองรักกำลังจูบผู้ชายคนอื่นอีก"
ขณะพูดเขาก็ยกมือขึ้นแล้วดึงเธอเข้าไป ก่อนจากนั้นก็ก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากเธอ
ด้วยความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้นมาทันทีที่ริมฝีปาก ไป๋มู่ชิงก็อึ้งไปจากนั้นก็ผลักเขาออก
ถึงแม้เธอจะไม่สนการดูถูกจากหลินอันหนาน แต่ก็รู้สึกอายที่จูบกันต่อหน้าคนอื่น ระหว่างพวกเขากลับหลินอันหนานมีทางเดินกั้นอยู่แล้วเป็นเวลาที่กำลังขึ้นเครื่องด้วยตรงทางเดินก็มีทั้งผู้โดยสารกับลูกเรือผ่านไปผ่านมา
มองผ่านใบหูของหนานกงเฉินไป เธอก็เห็นผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมากำลังดูอะไรสนุกๆอยู่ น่าอายจริงๆ……
แต่ว่าหน้าของหนานกงเฉินคงไม่ได้บางเหมือนเธอ ไม่ให้โอกาสเธอหลบหลีกเลยแถมยังจูบหนักกว่าเดิมอีก จูบจนเธอสติจะหลุดแล้วหมดแรงที่จะต่อต้านเขาไป
สีหน้าของหลินอันหนานคงแย่จนไม่รู้จะอธิบายยังไง เขาหันหน้าไปแล้วดึงผ้าม่านที่นั่งลง
ไป๋มู่ชิงที่กำลังหลงมัวอยู่ก็รู้สึกได้ว่าหลินอันดึงผ้าม่านลงแล้วจากนั้นก็พูดอย่างยากลำบากว่า "เขาไม่ได้ดูอยู่……"
"ผมไม่สนว่ามันดูหรือไม่ดู ผมจะจูของผม" หนานกงเฉินพูดขึ้นหน้าตาเฉยแล้วจูบเธออย่างลึกซึ้งอีกครั้งพร้อมดึงผ้าม่านข้างตัวลงด้วย
จนกระทั่งเครื่องบินกำลังจะขึ้น เสียงหวานของลูกเรือก็ย้ำเตือนให้ทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัย หนานกงเฉินถึงปล่อยตัวเธอ เธอรู้สึกแค่ริมฝีปากปากแดงจนเจ็บ
จากการประกาศสงครามเปลี่ยนมาเป็นการลงโทษ เขารู้สึกพอใจมาก
ไป๋มู่ชิงถูกเขาจูบจนหายใจไม่ทั่วท้อง สีหน้าแดงก่ำ ถึงแม้จะแต่งงานได้ครึ่งปีกว่าแล้ว อะไรๆก็เคยทำมาหมดแล้ว แต่การจูบกันในที่สาธารณะแบบนี้เป็นครั้งแรกเลย เธออายจนอยากมุดหัวหนี
ถึงแม้เมื่อกี้จะได้รับชัยชนะแล้วแต่ในใจของหนานกงเฉินก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี เพราะว่าคำพูดของหลินอันหนานกำลังทิมแทงใจเขา ถ้าในใจของไป๋มู่ชิงมีเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยเพื่อรั้งเธอไว้
แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็ไม่สามารถรั้งตัวเธอไว้ได้
เธอคิดว่าเขาเป็นคนที่โหดร้าย ทำทุกวิถีทางได้เพื่อเป้าหมาย เธอไม่สนใจตำแหน่งคุณหญิงน้อยของตระกูลหนานกงที่ผู้หญิง เป็นหมื่นเป็นพันอยากได้ครอบครอง เธอบอกว่าเธอไม่ชอบทุกอย่างในบ้านหนานกง เธอบอกว่าเธออยากหนีจากไป
อยู่ๆก็รู้สึกขึ้นว่าเขาก็ไม่ได้ดีกว่าหลินอันหนานเลย ถึงขั้นล้มเหลวด้วยซ้ำ เพราะเขาได้เพียงร่างกายเธอแต่ไม่ได้หัวใจเธอ
หนานกงเฉินเอนตัวไปช่วยไป๋มู่ชิงคาดเข็มขัดนิรภัยจากนั้นก็กลับมาที่นั่งตัวเองแล้วหลับตาลงทั้งสองข้าง
หลังจากที่เขาปล่อยมือ ไป๋มู่ชิงก็เหมือนยัยบื้อที่นั่งอยู่ตรงมุมเก้าอี้ แม้แต่เข็มขัดนิรภัยก็ต้องให้เขาเป็นคนคาดให้ หลังจากที่เขาหลับตาลง เธอค่อยรู้สึกโล่งอกไป
เธอมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหนานกงเฉินแล้วเข้าใจด้วยว่าเขากำลังคิดมากกับคำพูดของหลินอัน ดีนะที่เขาไม่ได้หงุดหงิดแล้วระบายมาที่เธออีก
ไป๋มู่ชิงนอนหลับไปบนเครื่องบิน ครู่เดียวก็ถึงเมืองซีแล้ว
เธอสะดุ้งตื่นกับเสียงดังบนเครื่องบิน พอตื่นมาก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองอิงไหล่ของหนานกงเฉินอยู่ ในมือหนานกงเฉินหยิบเอกสารขึ้นมาดูอย่างตั้งใจ
ดูเหมือนเขาจะยุ่งมาก ยุ่งกับเรื่องงานตลอดเวลา
เธอใช้มือจับไปที่ปาก ดีนะที่น้ำลายไม่ไหล ไม่งั้นคงรบกวนการทำงานของเขา เธอยกหัวออกจากไหล่เขาอย่างระมัดระวังแล้วกลับไปที่ที่นั่งของตัวเอง
"ตื่นแล้วหรอ?" หนานกงเฉินถามขึ้นโดยที่ไม่หันมามอง
ไป๋มู่ชิงรู้สึกอายแล้วตอบรับไป
"ถึงแล้ว เตรียมตัวลงเครื่องเถอะ" หนานกงเฉินเก็บเอกสารบนหน้าตักเตรียมตัวจะลงเครื่อง
เมื่อทั้งสองเดินออกจากเครื่อง หนานกงเฉินก็เดินไปพร้อมโทรศัพท์หาเสี่ยวหลินด้วย จากนั้นก็หันมาถามเธอว่า "ไป๋ยิ่งอัน ผมถามคุณอีกรอบ คุณแน่ใจใช่ไหมว่าจะไป?"
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า "ใช่" ท่าทางมุ่งมั่นมากไม่ใช้เวลาในการคิดเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...