บนโต๊ะอาหาร ผู่เหลียนเหยามองไปที่นั่งประจำของไป๋มู่ชิงแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย "ทำไมพี่สะใภ้ไม่ลงมาทานอาหารเช้าคะ?"
"ผมไม่ได้บอกคุณหรอ? ว่าพี่สะใภ้กลับไปดูแลครรภ์ที่บ้านแล้ว" เซิ่งเคอพูด
"ไม่ได้บอกนี่" แล้วผู่เหลียนเหยาก็ยิ้มหัวเราะขึ้น "ดูเหมือนฉันไม่ได้มานานเลยสิ"
คุณหญิงวางแก้วน้ำลงแล้วจ้องไปที่หนานกงเฉิน "ไปตั้งหลายวันแล้วทำไมยังไม่รับเธอกลับมาสักที?"
"คุณย่าครับ เธอรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่บ้านตัวเองก็ให้เธออยู่เถอะ" หนานกงเฉินพูดตอบขึ้น
"อะไรกัน เธอเป็นคนหญิงน้อยของตระกูลหนานกงเรา แถมยังท้องอีกจะอยู่บ้านแม่ตลอดได้ยังไง?" คุณหญิงพูดสั่งขึ้นด้วยสีหน้าเข้ม "เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่เอาไปนินทา รีบไปรับเธอกลับมาซะ"
"คุณย่า……" หนานกงเฉินขยับริมฝีปากขึ้นแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมา
เซิ่งเคอที่เห็นท่าทางลังเลของหนานกงเฉิน ก็หยิบขนมปังขึ้นหนึ่งแผ่นแล้วลุกจากเก้าอี้แล้วพูดว่า "รีบไปเถอะ เดี๋ยวรถติดอีก"
ผู่เหลียนเหยาก็ลุกขึ้นตามไปแล้วกล่าวลากับคุณหญิงกับหนานกงเฉิน
กี่วันนี้เซิ่งซินอยู่ที่โรงเรียนไม่ได้กลับมา จนตอนนี้บนโต๊ะอาหารเหลือแค่คุณหญิงกับหนานกงเฉิน คุณหญิงวางตะเกียบแล้วมองไปที่หนานกงเฉิน "เฉิน แกเป็นอะไร?ทะเลาะกับยิ่งอันหรอ?"
"ไม่เชิงว่าทะเลาะครับ" หนานกงเฉินยิ้มอย่างแห้งแล้วมองไปทางคุณหญิง "ระหว่างผมกับเธอก็เป็นแบบนี้มาตลอดไม่ใช่หรอครับ อารมณ์ดีก็อยู่ด้วยกันได้ อารมณ์ไม่ดีก็อยู่ของใครของมัน"
เมื่อคุณหญิงได้ยินเขาพูดอย่างนี้ก็ส่ายหัวถอนหายใจ "นี่แหละชีวิตคู่ที่ไม่มีความรัก ก็โทษพวกแกไม่ได้"
"เพราะฉะนั้น ถึงเธอไปก็เป็นเรื่องปกติ"
"หมายความว่ายังไง? เธอไม่คิดที่จะกลับมาแล้วหรอ?" คุณหญิงเอ่ยถามขึ้นอย่างกระทันหัน ถ้าเป็นอย่างนี้จริงท่านก็คงไม่ตอบตกลง
แหวนยังอยู่บนนิ้วเธอแถมยังท้องลูกของตระกูลหนานกงอีก ถึงแม้จะเป็นเด็กที่ผิดปกติ แต่ยังไงก็เป็นของตระกูลหนานกง ไม่อนุญาตให้เธอนำเด็กไปแน่นอน
"ในเมื่อคุณย่าคิดที่จะแยกพวกเราออก ก็แยกตั้งแต่ตอนนี้เลยไม่ดีเหรอครับ แล้วช่วงเวลานี้อะไรที่ควรลืมก็ลืม อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป"
"เฉิน แกบ้าหรอ ถึงแม้เพราะแกจะต้องแยกกันก็ไม่ใช่แยกกันแบบนี้ ถ้าเกิดเธอเอาแหวนกับลูกของตระกูลแล้วหนีไปทำยังไงล่ะ? แกควรจะ……"
"คุณย่า" หนานกงเฉินพูดแทรกขึ้น "คุณย่าไว้ใจเถอะครับ เธอหนีไม่พ้นกำมือของผมหรอก ยังไงลูกกับแหวนก็ต้องกลับมาอยู่แล้ว"
คุณหญิงมองไปที่เขาที่ไม่อยากเอ่ยพูดอะไร ผ่านไปสักครู่ค่อยเอ่ยขึ้นว่า "แกชอบเธอใช่ไหม?"
ถ้าไม่ใช่เขาจะหยุดยั้งท่านให้จัดการผู้หญิงคนนั้นทำไม? กี่คนก่อนหน้าท่านก็เป็นคนจัดการเอง ท่านจะให้พวกเธอไปอยู่ในที่ไกลๆไม่ให้กลับมาเหยียบที่เมืองซีนี้ตลอดชีวิต พวกเธอไม่มีโอกาสรับรู้ความลับของตระกูลหนานกง
ความจริงท่านสามารถใช้วิธีเดียวกันจัดการกับไป๋มู่ชิงได้ แต่ตอนนี้หนานกงเฉินเอนเข้าข้างไป๋มู่ชิงอย่างชัดเจน ถ้าไม่ใช่หลงชอบแล้วจะมีความคิดแบบนี้ได้ยังไง?
"เธอแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นจริงๆ ผมก็รู้สึกชอบเธอนิดหน่อย เพราะฉะนั้นผมต้องการเวลาที่จะจัดการกับความรู้สึกตัวเอง ผมสัญญากับเธอแล้วว่ารอจนถึงเด็กคลอด ถ้าผมยังต้องการเธอก็จะไปรับทั้งแม่ลูกกลับมา แต่ถ้าไม่ต้องการก็……ระหว่างผมกับเธอก็จบไปแบบนี้แหละ"
หนานกงเฉินลังเลไปครู่นึงแล้วสีหน้าก็หม่นหมองลงพร้อมพูดต่อว่า "เพราะฉะนั้นคุณย่าครับ ผมอยากจะขอให้คุณย่าตอบตกลง ถ้าถึงเวลาแล้วผมไม่ต้องการเธอก็ปล่อยให้เธอไปเป็นอิสระ แต่ถ้าผมยังต้องการเธอก็ขอให้คุณย่ายอมรับเธอแล้วให้เธอกลับมาข้างกายผมอีกครั้งด้วย"
"ไม่ใช่……" คุณหญิงลุกขึ้นจากเก้าอี้มาแล้วมองกวาดเขาอย่างไม่สบอารมณ์ "หนานกงเฉิน นี่แกกำลังเอาเปรียบเพราะฉันอายุเยอะแล้วงั้นหรอ? ตอนนั้นเราสัญญาว่ายังไง ฉันตกลงที่จะให้เธอเก็บเด็กในท้องไว้แต่แกก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นทันทีหลังจากที่เด็กคลอด"
"เธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมรู้สึกด้วยนอกจากจูจู เป็นคนแรกที่ไม่กลัวผม ไม่รังเกียจผมแถมยังยอมทำทุกอย่างเพื่อผมอีก เธอมีความรับผิดชอบมีความกล้า เธอยังไม่ได้รับรักผมเลยก็ยอมเสียสละเพื่อผม เธอถูกลงโทษครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะว่าโรคของผม เพื่อที่จะให้ผมทานยาตัวเองก็ยอมทานยาก่อน จากนั้นก็แอบไปอ้วกที่ห้องน้ำ ผู้หญิงแบบนี้ ถึงผมไม่รักเธอไม่ต้องการเธอ แต่ผมไม่อยากทำร้ายเธอนี่เป็นพื้นฐานของความเป็นคนไม่ใช่หรอครับ?"
คุณหญิงเงียบไปไม่พูดอะไรต่อ
หนานกงเฉินก็เงียบเหมือนกันจากนั้นก็ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น
หลายๆเรื่องไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้ แต่แค่ทำเป็นไม่รู้ต่างหาก ตอนนั้นที่ไป๋มู่ชิงพยายามอ้วกยาออกมา เขาคิดว่าเธอกลัวว่าตัวเองจะถูกทำร้าย แต่เพิ่งรู้ทีหลังว่าเป็นเพราะเธอท้องเลยกินยามั่วซั่วไม่ได้
ใจเขาแข็งเหมือนหินอยู่แล้ว ถ้าไม่มีอะไรที่น่าดึงดูด เขาจะรู้สึกหวั่นไหวกับเธอได้ยังไง?
"แล้วแกหมายความว่า แกจะไม่แต่งงานกับผู้หญิงที่ถูกลิขิตไว้งั้นหรอ?" ผ่านไปสักครู่คุณหญิงค่อยเอ่ยขึ้น "แกรู้หรือเปล่าว่าฉันตามหามาโดยตลอด ฉันเชื่อว่ายังไงก็ต้องหาเจอ"
"ไม่ต้องหาแล้วครับ" หนานกงเฉินเอ่ยขึ้นอย่างราบรื่น "ถึงแม้จะหาเจอแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร"
"หมายความว่ายังไง?" ใจของคุณหญิงสั่นวูบไปแล้วจ้องมองไปที่เขา "เธอแต่งงานแล้ว?หรือว่า……ตายแล้ว?"
"เธอ……ตายแล้ว"
"เป็นไปได้ยังไง?" คุณหญิงเอ่ยเสียงเข้ม
"คุณย่าครับ ทุกอย่างบนโลกไม่มีอะไรแน่นอนหรอกครับ"
เขาไม่ได้จงใจจะโกหกคุณหญิง ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่นเขาอาจจะลองคิดดูว่าหลังจากเลิกกับไป๋มู่ชิงแล้วแต่งงานกับเธอ แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนอื่น เป็นจูจูที่เขาเอาแต่ตามหานั่นเอง
จูจูกลัวเขา ไม่อยากแต่งงานกับเขา ถึงแม้ถึงตอนนั้นเขาจะเลิกกับไป๋มู่ชิงอย่างเด็ดขาด เขาก็ไม่มีทางเกี่ยวข้องกับเธอแน่นอน เพราะว่าเขาจะไม่บังคับให้เธอแต่งงานกับตัวเอง ไม่อยากบังคับ
"เป็นไปได้ยังไง……" คุณหญิงเอ่ยขึ้นอย่างเสียใจจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหนานกงเฉิน "แกกำลังโกหกฉันใช่ไหม? เพราะแกไม่อยากแต่งงานกับเธอเลยโกหกฉันว่าเธอตายไปแล้วใช่ไหม?"
หนานกงเฉินส่ายหัว "ถ้าถึงเวลานั้นผมหย่ากับคุณหนูไป๋แล้ว ผมจะแต่งงานกับใครก็เหมือนกัน ทำไมต้องโกหกคุณย่าด้วย?"
"ใครจะรู้ล่ะ?" คุณหญิงก้มหน้าลงไปอย่างผิดหวัง
หนานกงเฉินก็พูดขึ้นอีกว่า "ถ้าคุณย่าไม่เชื่อก็ตามหาต่อเถอะครับ ผมจะไม่ห้ามคุณย่า" พูดจบเขาก็ลุกจากเก้าอี้ "คุณย่าครับ แค่นี้แหละครับ ผมไปบริษัทก่อนนะครับ"
ขณะที่เด็กๆกำลังนอนหลับกลางวันอยู่ ไป๋มู่ชิงก็เดินออกมาจากบ้านแล้วมาจัดเตรียมอุปกรณ์วาดรูปที่จะใช้ตอนบ่าย
เมื่อจัดของโต๊ะสุดท้ายเสร็จกำลังจะหันหลังกลับไปข้างในก็เกือบชนกับบางคน เธอตกใจไปแล้วเอ่ยอย่างโมโหว่า "นายมาที่นี่ทำไม?"
หลินอันหนานมองไปรอบๆแล้วยิ้มอ่อน "สถานรับเลี้ยงเด็กย้ายมาที่นี่เองหรอ"
"ตอบมาสิ นายมาที่นี่ทำไม?" มุมปากไป๋มู่ชิงก็เลิกขึ้นอย่างเยือกเย็น "ถ้านายจะมาทำให้ฉันแตกหักกับหนานกงเฉิน คงไม่ต้องแล้วล่ะ เพราะตอนนี้ฉันออกมาจากตระกูลหนานกง ตามที่นายหวังแล้ว"
"มู่ชิง ถ้าผมพูดว่าผมมาครั้งนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรคุณจะเชื่อหรือเปล่า?"
"ฉันไม่เชื่อ" ไป๋มู่ชิงพูดย้ำเตือนขึ้นอีกว่า "ฉันหวังว่าคุณจะจำคำพูดของฉันได้ ถึงแม้ฉันจะเลิกกับหนานกงเฉินแล้ว ก็ไม่มีทางกลับไปหาคุณเด็ดขาด เพราะฉะนั้นคุณหยุดเสียเวลากับฉันเถอะ"
เธอรีบแบ่งเขตตัวเองออกจากเขา แต่เขากลับพูดอย่างรำลึกความหลังว่า "ผมจำได้แต่ก่อนเรามาเล่นกับเด็กๆที่สถานรับเลี้ยงเด็กบ่อย จากนั้นก็พาพวกเขาไปกินของอร่อยๆ นี่ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว ผมก็ไม่ได้มาเล่นกับเด็กๆนานแล้ว"
ไป๋มู่ชิงหมดคำพูดแล้วส่ายหัว ผู้ชายคนนี้ต้องจงใจแน่ๆ!
ไป๋มู่ชิงหันหลังจะเดินเข้าไป แต่หลินอันหนานก็พูดตามหลังเธอขึ้นมา "ใช่สิ เสี่ยวเนี่ยนล่ะ เขาคงจะเขียนหนังสือได้แล้วใช่ไหม?"
ตัวของไป๋มู่ชิงหยุดนิ่งไป
เสี่ยวเนี่ยน……เธอไม่กล้าคิดถึงเขานานแล้ว เพราะทุกครั้งที่คิดถึงก็รู้สึกเสียใจ
"ทำไม? ผมพูดอะไรผิดหรอ?" หลินอันหนานตามขึ้นมาแล้วถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
ไป๋มู่ชิงหลับตาลงแล้วถอนหายใจเบาๆ แล้วลืมตาขึ้นพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก "เสี่ยวเนี่ยนไม่อยู่แล้ว"
"เกิดอะไรขึ้น?"
"ร่างกายเสี่ยวเนี่ยนไม่แข็งแรงอยู่แล้ว"
"ทำไมคุณไม่บอกผม?" หลินอันหนานพูดด้วยสีหน้าตำหนิ
"บอกนายทำไม? นายช่วยชีวิตเขาได้หรอ?"
"อย่างน้อยผมก็หาหมอดีๆให้เขาได้" หลินอันหนานจับแขนของไป๋มู่ชิงไว้ "มู่ชิง คุณลืมแล้วหรอ? ตอนนั้นเราสัญญากับเสี่ยวเนี่ยนไว้ว่าจะรักษาโรคของเขาให้หาย ให้เขามีชีวิตที่แข็งแรง"
ฝ่ามือเขาจับแน่นขึ้นมา ไป๋มู่ชิงก็รีบก็สะดุ้งไปเหมือนโดนเข็มทิ่มแทง เธอก้มหน้ามองไปที่ฝ่ามือเขา
"ขอโทษ" หลินอันหนานปล่อยเธอทันทีด้วยสีหน้ารู้สึกผิด แต่ในใจก็รู้สึกไม่พอใจมาก เธอหมายความว่ายังไง เธอรังเกียจเขาเหมือนเชื้อโรค? แค่จับมือเธอก็ไม่ได้หรอ?
เขาไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมาตรงๆ แต่กลับก้มหน้าลงไปด้วยสีหน้ารู้สึกผิด "ขอโทษมู่ชิง ตอนนั้นผมสัญญาว่าจะดูแลปกป้องเด็กๆกับพวกคุณ แต่ผมกลับผิดสัญญา"
ไป๋มู่ชิงจัดเสื้อผ้าที่แขนที่โดนเขาจับจนยับแล้วจ้องมองเขาอย่างเสียดสี "คุณชายหลินจะโทษตัวเองทำไม? ช่วงเวลานั้นคุณก็ยุ่งอยู่กับการแอบคบกับไป๋ยิ่งอัน ยุ่งอยู่กับการร่วมมือกับเธอแล้วโกหกให้ฉันเข้าไปในตระกูลหนานกง จะมีเวลามาสนใจเด็กพวกนี้ได้ยังไง?"
"ผม……"
"คุณชายหลิน" ไป๋มู่ชิงพูดแทรกเขา "คุณไม่ต้องแกล้งทำตัวต่อไปหรอก คุณไม่ได้ชอบเด็กที่นี่ ทุกครั้งที่มาก็รู้สึกหงุดหงิด ฉันรู้ แต่ฉันไม่โทษคุณหรอก เพราะพวกเขาก็ไม่ใช่ลูกของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องดีกับพวกเขา แต่ฉันแค่อยากเตือนคุณว่า ไม่ต้องมาทำท่าทางที่รู้สึกผิดที่นี่แล้วก็ไม่ต้องหาข้ออ้างที่จะเข้ามาในครอบครัวใหญ่นี้ด้วย เพราะคุณไม่คู่ควร"
ผู้ชายก็อย่างนี้แหละ โดยเฉพาะผู้ชายที่มีเงิน ส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบอยู่กับเด็กอยู่แล้ว จุดนี้ในใจไป๋มู่ชิงเข้าใจดี หนานกงเฉินยังเรียกพวกเขาว่าเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าเลย ทุกครั้งที่ได้ยินเธอพูดถึงพวกเขาก็จะรู้สึกรังเกียจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...