เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 115

“หนูขอโทษค่ะ หนูไม่คิดว่าลูกจะอาการร้ายแรงขนาดนี้......” ไป๋ยิ่งอันร้องไห้ด้วยความเสียใจและรับกระดาษทิชชู่จากซูวยาหยงมาเช็ดน้ำตาตัวเอง พร้อมกับดึงมือของซูวยาหยงไว้แล้วพูดด้วยเสียงสะอื้นว่า“แม่คะ ที่คุณหมอพูดมาทั้งหมดนี้คือเรื่องจริงหรอคะ? ไม่มีทางที่จะรักษาลูกของหนูหายเลยหรอคะ?”

ซูวยาหยงลูบปลอบหลังมือของเธอเบาๆ“คุณหมอบอกว่าถ้าเข้ารับการรักษาดีๆ อาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้ ยิ่งอัน ลูกใจเย็นๆก่อนนะ ลูกเราน่ารักขนาดนี้ สวรรค์ต้องให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปแน่นอน”

“จริงหรอคะ......?”

“จริงลูก”

ไป๋ยิ่งอันพยายามลงจากเตียงไปอุ้มลูกที่นอนอยู่เตียงเล็กๆนั่น แต่โดนซูวยาหยงห้ามเอาไว้ก่อน“ยิ่งอัน ตอนนี้ร่างกายของลูกยังไม่หายดี อย่าพึ่งขยับมากเกินไปนะลูก”

“แม่คะ หนูอยากอุ้มลูก”

“ได้ ได้......แม่จะอุ้มลูกมาให้นะ” ซูวยาหยงเดินไปอุ้มเด็กจากเตียงเล็กมาด้วยความระมัดระวัง ส่งไปไว้ในอ้อมกอดของเธอ ไป๋ยิ่งอันก็ยื่นมือไปรับไว้ มองไปที่เขา แล้วร้องไห้ด้วยความรู้สึกเจ็บปวด

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของซูวยาหยงดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมามองแวบหนึ่ง เป็นอาซือที่อยู่ชั้นล่างเป็นคนโทรมา ไม่สะดวกเป็นอย่างมากถ้าเธอจะรับสายที่นี่ แต่ก็กลัวว่าถ้าเธอเดินออกไปแล้วไป๋ยิ่งอันจะรับมือกับพี่เหอไม่ไหว เลยโค้งตัวลงแล้วเอามือตบไหล่ยิ่งอันเบาๆเป็นการปลอบเธอว่า“ยิ่งอันลูก แม่ขอออกไปรับโทรศัพท์แปปหนึ่งนะ ลูกวางเด็กลงก่อน เดี๋ยวจะทำให้เขาเจ็บตัวได้”

พูดจบ ก็ทำมือเรียกแม่นมให้มาอุ้มลูกไปวางที่เตียงเหมือนเดิม

หลังจากที่เด็กถูกอุ้มออกไป ซูวยาหยงก็ห่มผ้าให้เธอ บังคับให้เธอนอนพักผ่อน ไป๋ยิ่งอันแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วซุกตัวเข้าไปในผ้าห่ม

เพราะพี่เหอยังอยู่ ถึงจะนอนลงไปแล้วก็ต้องแกล้งร้องไห้ต่อไป จนถึงวันนี้เธอถึงจะรู้ว่า การแสดงนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เทคนิคอย่างมากจริงๆ!

ซูวยาหยงเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย มาถึงมุมหนึ่งของทางเดินถึงจะกดรับสาย แล้วพูดด้วยเสียงเบา“มีเรื่องอะไร?”

อาซือพูดด้วยความเบื่อหน่าย“คุณหญิงครับ คุณหนูรองร้องแต่อยากเจอลูกครับ ผมกลัวว่าถ้าปล่อยให้โวยวายอยู่แบบนี้จะมีคนมาเห็นเข้าได้นะครับ”

ซูวยาหยงนิ่งไปสักพักแล้วถามว่า“แล้วตอนนี้ยังโวยวายอยู่ไหม?”

“เมื่อสักครู่หยุดไปแล้วครับ แต่ผมกลัวว่าถ้าเธอตื่นขึ้นมาแล้วจะโวยวายอีก”

“อืม ฉันรู้แล้ว” ซูวยาหยงตัดสาย คิดลังเลไปซักพักสุดท้ายก็เดินไปที่ห้องพักฟื้นของไป๋มู่ชิง

ตอนที่ซูวยาหยงเดินเข้าไป ไป๋มู่ชิงนอนตะแครงหันข้างนอนเหม่ออยู่บนเตียง พอเธอได้ยินเสียงเท้าที่เดินเข้ามาก็ยกหัวขึ้นมองช้าๆ แล้วลุกขึ้นนั่ง

“คุณหญิงไป๋คะ ปล่อยฉันออกไปเถอะค่ะ ขอร้องล่ะ” เธอพูดขอร้อง

สีหน้าของซูวยาหยงเริ่มแสดงออกถึงความโกรธขึ้นเรื่อยๆ“ไป๋มู่ชิง ได้ข่าวว่าแกเอะอะโวยวายเสียงดัง? นี่แกอยากให้เรื่องถึงหูคนอื่นถึงจะพอใจหรือไง?”

“ฉันก็แค่อยากออกไป ฉันต้องการที่จะออกไป”

“ออกไปทำอะไร? ออกไปหาคุณผู้หญิงตระกูลหนานกงหรอ?”

“ไม่ใช่นะ......” ไป๋มู่ชิงรีบส่ายหัว พูดด้วยสีหน้าแน่วแน่ว่า“คุณหญิงไป๋ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันสัญญาว่าจะไม่ไปหาคุณผู้หญิงเด็ดขาด และจะไม่ให้คุณผู้หญิงเห็นฉันด้วย ฉันแค่อยากออกจากโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ฉัน......”

เธอยิ่งพูดยิ่งวิตก เธอไม่สามารถบอกซูวยาหยงได้ว่าเธอจะไปหาลูกสาว เธอกลัวว่าถ้าเธอไปช้ากว่านี้ โอกาสที่จะหาลูกของเธอเจอจะน้อยลง

เธอไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร และเธอมั่นใจว่าผู้ชายคนนั้นก็ไม่รู้จักเธอแน่นอน ยิ่งไม่รู้ว่าเธอถูกขังไว้ในห้องพักผู้ป่วยห้องนี้ ต้องเป็นเพราะแบบนี้แน่ๆ เขาเลยไม่มาหาเธอสักที เพราะแบบนี้แน่ๆ!

“ก่อนหน้านั้นแกก็คิดจะหนีไม่ใช่หรอ? แกคิดว่าฉันยังจะเชื่อคำพูดของแกอีกหรือไง?”

“คุณต้องการอะไรกันแน่?” สุดท้ายไป๋มู่ชิงก็ทนไม่ไหว พูดออกมาด้วยความโกรธว่า“ลูกฉันก็ให้พวกคุณไปแล้ว พวกคุณยังต้องการอะไรอีก?”

“ฉันต้องการให้แกอยู่ที่นี่ ถ้าฉันไม่อนุญาตห้ามแกออกจากห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียว ถ้าแกกล้าออกไปละก็ ก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายกับลูกชายแกก็แล้วกัน”

“คุณ......” ไป๋มู่ชิงโกรธใจหายใจไม่ทั่วท้อง “คุณเคยบอกว่าจะดีต่อเขาไง!”

ใจเธอว้าวุ่นเข้าไปใหญ่ จากเดิมผู้หญิงอสรพิษนี้ก็เหมือนกับไป๋ยิ่งอัน คิดแต่จะใช้ลูกของเธอเป็นเครื่องมือ พอหมดประโยชน์ก็จะทำเขาให้ตาย แม้ว่าเธอจะไม่แน่ใจว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของเธอจริงๆหรือเปล่า แต่ถึงจะไม่ใช่ เด็กคนนี้ก็ไม่ควรที่จะมาโดนสองแม่ลูกนั่นทำร้าย!

“ถ้าแกไม่เชื่อฟังละก็ มันก็ยากที่ฉันจะทำดีกับเขา” ซูวยาหยงเย้ยหยัน

ไป๋มู่ชิงกำมือแน่น จ้องไปที่เธอแล้วกัดฟันพูดว่า“ถ้าคุณกล้าทำร้ายลูกฉันละก็ ฉันจะเอาคืนเหมือนที่พวกคุณทำ”

“ทำยังไงหรอ? เอาเรื่องทั้งหมดไปบอกคุณผู้หญิง แล้วเอาชีวิตทั้งแม่และน้องของแกมาสู้กับฉันงั้นหรอ?” ซูวยาหยงพูดเยาะเย้ย คิดขึ้นได้แล้วพูดว่า“แต่ที่แกพูดเนี่ย......ทำให้ฉันฉุกคิดได้อย่างหนึ่ง”

“คุณคิดจะทำอะไร?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมา

“ก็ไม่ยังไง แค่รู้สึกว่าฉันควรที่จะดีกับแกหน่อย ไม่อย่างนั้นแกไม่เชื่อฟังฉันง่ายๆแน่” ซูวยาหยงพูดจบก็เปลี่ยนเป็นพูดว่า“แกพักผ่อนเยอะๆ รอร่างกายดีขึ้นกว่านี้ ฉันจะปล่อยแกให้ไปอยู่กับแม่และน้องชายของแก”

“ฉันต้องการออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!” ไป๋มู่ชิงรับตะโกนให้กับแผ่นหลังของซูวยาหยง

“ตอนนี้ไม่ได้ ฟังที่ฉันบอก พักผ่อนสะ” ซูวยาหยงยิ้มปลอบ เปิดประตูห้องพักฟื้นแล้วเดินออกไป

พอหนานกงเฉินที่เลิกงานกลับถึงบ้าน ก็เห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีของคุณผู้หญิงที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ข้างๆมีผู่เหลียนเหยาที่กำลังนวดไหล่ให้

“คุณยายโอเคดีไช่ไหมครับ?” หนานกงเฉินที่เห็นเธอเป็นแบบนั้น ก็เดินเข้าไปถามเธอ

“พี่ชายกลับมาแล้วค่ะ” ผู่เหลียนเหยาพูดเบาๆข้างๆหูของคุณผู้หญิง

คุณผู้หญิงเงยหน้าขึ้น แล้วส่งยิ้มจางๆให้กับหนานกงเฉิน“กลับมาแล้วหรอ”

“ครับ คุณนายเป็นอะไรหรอครับ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?” หนานกงเฉินนั่งลงที่โซฟาที่อยู่ตรงข้าม

“ไม่เป็นอะไรหรอก แค่เวียนหัวนิดหน่อยน่ะ” คุณผู้หญิงมองหน้าของหนานกงเฉิน ในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เธอไม่กล้าแม้แต่จะบอกว่าลูกของเขาได้คลอดออกมาแล้ว เป็นเด็กที่น่าเสียดายที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน

เธอเชื่อว่าหนานกงเฉินต้องเสียใจมากกว่าเธอแน่ ตอนนั้นที่เธอไม่เห็นด้วยกับการที่ไป๋มู่ชิงท้อง ก็เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นไม่ใช่หรอ?

เป็นเธอที่ไม่ดีเอง ถ้าตอนนั้นไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนเปลี่ยนยาของพวกเขา แล้วยังคัดค้านที่จะไม่ให้ไป๋มู่ชิงทำแท้ง เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้

“ขอโทษนะเฉิน เป็นเพราะยายเองแท้ๆ......” คุณผู้หญิงพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว

“คุณยายพูดถึงอะไรหรอครับ?” กับคำขอโทษที่มากระทันกันแบบนี้ ทำให้หนานกงเฉินไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก แล้วก็ปรับสีหน้าของตัวเองอีกครั้ง

“คุณผู้หญิงยิ้มแห้ง“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดว่ายายนะแก่แล้ว ช่วยอะไรนายไม่ได้เลย”

“ผมไม่ได้อยากให้ยายช่วยอะไรผมหรอกครับ” หนานกงรีบถามต่ออีกว่า“คุณยายเป็นอะไรกันแน่ครับ?”

ผู่เหลียนเหยามองไปที่ทั้งสองแล้วพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ“พี่ชายคะ เมื่อสักครู่คุณยายท่านพูดถึงคุณ รู้สึกเห็นใจนะคะ เลยพูดในสิ่งที่คิดออกมา คุณยายท่านไม่เป็นอะไรหรอกคะ พี่อย่ากังวลไปเลยนะคะ”

“แบบนี้นี่เอง” หนานกงเฉินยิ้มปลอบ“คุณยายครับ ตอนนี้ผมก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรอครับ ยายอย่าคิดมากเลยนะครับ”

“อื้ม ฉันจะไม่คิดมากแล้ว” คุณผู้หญิงยืดตัวขึ้นแล้วมองเขา“ทำไมวันนี้กลับมาเช้าจังล่ะ?”

“พอดีกลับมาจากที่ลูกค้านะครับ เลยกลับมาบ้านเลย” หนานกงเฉินลุกยืนขึ้น“คุณยายครับ ผมขอขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ”

“อื้ม ไปเถอะ”

หลังจากที่หนานกงเฉินเดินขึ้นไปบนห้อง ผู่เหลียนเหยาก็พูดกับคุณผู้หญิงเสียงเบาว่า“คุณนายไม่คิดจะบอกพี่ชายจริงๆหรอคะ?”

“บอกเขาทำไมล่ะ? มันจะแค่ทำให้เขาเสียใจไปเท่านั้น”

“แต่ว่า......เรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะปิดบังเขาได้หรอคะ?”

“บอกเขาไปว่าลูกของเขาได้แท้งไปแล้ว”

“คะ?”

“ไม่อย่างนั้นจะทำยังไงล่ะ? บอกเขาว่าลูกของเขาได้คลอดออกมาแล้ว? มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน?” คุณผู้หญิงส่วยหัวแล้วยิ้มอย่างเหนื่อยล้า“ทำอย่างนี้นอกจะเพิ่มความเจ็บปวดให้เขาแล้ว ไม่มีผลดีอะไรเลย”

“แต่ว่า......พี่สะใภ้ละคะ? เธอจะยอมที่จะทำแบบนี้หรอคะ?” ผู่เหลียนเหยาถามด้วยสีหน้ากังวล

“ไป๋ยิ่งอัน? เธอยังมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธอยู่หรอ?” คุณผู้หญิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“ถ้าไม่ใช่เพราะเธอดึงดันที่จะคลอดเด็กคนนี้ ก็คงไม่ทำให้ทุกคนตกอยู่ในความเจ็บปวดไม่ใช่หรอ? แล้วเด็กนั่น......”

คุณผู้หญิงพูดๆไปก็เริ่มที่จะสะอื้น“แค่คิดถึงใบหน้าที่น่าสงสารนั่น แล้ววันหนึ่งเขาก็จะจากเราไป ใจของฉันก็เหมือนมีมีดมากรีดสะอย่างนั้น”

“คุณยายอย่าเสียใจไปเลย หนูเข้าใจแล้วค่ะ หนูจะช่วยคุณยายเก็บความลับนี้ไว้เอง” ผู่เหลียนเหยาพูดปลอบ แล้วเอานิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปาก“คุณยายระวังอย่าให้พี่ชายเห็นตุณยายตอนที่เศร้าแบบนี้นะคะ เขาอาจจะสงสัยได้”

คุณผู้หญิงเช็ดน้ำตาบนใบหน้าออก ค่อยสงบความอารมณ์ของตัวเอง

ในที่สุดพี่เหอก็กลับไปแล้ว ไป๋ยิ่งอันก็ลงจากเตียง ถอนหายใจออกอย่างโล่งอก“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ชาตินี้หนูยังไม่เคยร้องไห้นานขนาดนี้มาก่อนเลย”

ซูวยาหยงมองเธออย่างไม่สบอารมณ์“เหอะ ถ้ากับความลำบากแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะทำการใหญ่ได้ยังไงกัน?”

“คุณแม่ก็ลองร้องไห้เรื่อยๆแบบนี้ดูสิคะ ความรู้สึกนั้นมันใช้คำว่าลำบากมาบรรยายไม่ได้หรอก หนูร้องไห้จนตะคิวจะกินปากอยู่แล้ว”

“พอแล้วๆ หยุดบ่นได้แล้ว เรื่องก็ไปได้ดีไม่ใช่หรอ?”

พอพูดแบบนี้ ไป๋ยิ่งอันก็รู้สึกสบายใจขึ้น

เธอหยิบแอปเปิลที่ปอกเปลือกเสร็จแล้วบนโต๊ะขึ้นมากิน“แม่คะ นี่มันก็ผ่านมาทั้งวันแล้ว ทำไมหนานกงเฉินยังไม่มาละคะ?”

“ฉันก็สงสัยเหมือนกัน” ซูวยาหยงถอนหายใจ

“ไม่ใช่ว่าเขาเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นแล้วนะคะ?” ไป๋ยิ่งอันนิ่งคิด“ใช่แล้ว หนูเคยได้ยินไป๋มู่ชิงบอกว่า เธอกับหนานกงเฉินเคยสัญญากันไว้ว่า ถ้าหากคลอดลูกแล้วหนานกงเฉินยังอยากได้เธออยู่ ก็จะมารับเธอกลับบ้าน ถ้าไม่......แม่คะ เขาคงไม่ได้ทิ้งหนูหรอกใช่ไหมคะ?”

ซูวยาหยงที่ได้ยินแบบนั้นก็เริ่มกังวลขึ้นมา เธอนิ่งคิดแล้วพูดปลอบไป๋ยิ่งอันว่า“อย่าพึ่งกังวลไป บางทีเขาก็อาจจะงานยุ่ง แล้วมาพรุ่งนี้ล่ะ?”

“หนูกลัวเขาจะไม่มา”

“ไม่หรอก อย่าลืมว่านี่คือลูกแท้ๆของเขา”ซูวนาหยงหันหน้าไปทางเด็กที่อยู่ในเตียงเล็ก

“ก็จริงค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูก็จะอดทนรอ” ไป๋ยิ่งอันกัดแอปเปิลที่อยู่ในมือคำนึง ขบคิดไปสักพักก็ถามขึ้นอีกว่า“แม่คะ แล้วตอนนี้ไป๋มู่ชิงเป็นยังไงบ้างคะ? ยังให้ความร่วมมือกับแผนของเราอยู่ไหมคะ?”

พอพูดถึงเรื่องนี้ ซูวยาหยงก็ปวดหัวขึ้นมาทันที เธอเอามือนวดตรงหัวของเธอแล้วพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายว่า“ร้องหาแต่จะเจอลูกทั้งวัน ฉันรำคาญจะตายอยู่แล้ว”

“แล้วจะทำยังไงดีคะ?”

“ฉันก็กำลังเครียดอยู่” ซูวยาหยงพูด“ตอนที่ยังไม่ได้คลอด พูดให้ตายยังไงก็ไม่ยอมทำแท้ง รู้เลยว่ารักเด็กนี่มากแค่ไหน ฉันกลัวว่าอนาคตเธออาจจะโวยวายไปถึงบ้านตระกูลหนานกง”

พอซูวยาหยงพูดแบบนี้ ไป๋ยิ่งอันถึงกลับกลืนแอปเปิลไม่ลง

“ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ พวกเราจะซวยเพราะมันแน่”

“ก็ใช่นะสิคะ”

“เพราะฉะนั้น เราต้องไม่ให้มันมีโอกาสนี้นะคะ”

“ขาก็อยู่บนตัวมัน ถ้ามันอยากโวยวายขึ้นมาจริงละก็ เราก็ทำอะไรมันไม่ได้”

“เราก็อย่าให้มันไปโวยวายได้สิคะ” ไป๋ยิ่งอันพูด

ซูวยาหยงมองสีหน้าที่ร้ายกาจของไป๋ยิ่งอัน และเริ่มมีรอยยิ้มที่เยือกเย็นปรากฏขึ้น เมื่อสักครู่เธอก็คิดปัญหานี้มาตลอด แต่ลังเลว่าจะปล่อยมันไปดีหรือไม่

เสียงเท้าที่ดังผ่านเข้ามาที่ประตู ซูวยาหยงก็รีบทำมือให้ไป๋ยิ่งอันกลับขึ้นเตียง ไป๋ยิ่งอันก็รีบกลับไปนอนเหมือนเดิม แสร้งทำเป็นกินไม่ได้นอนไม่หลับต่อไป

พี่เหอเอาปิ่นโตที่อยู่ในมือวางไว้ที่โต๊ะ พร้อมกับตักซุปไก่ออกมา“เมื่อสักครู่คนขับรถเป็นคนส่งมาให้ คุณหญิงน้อยทานหน่อยเถอะคะ”

“หนูทานไม่ลงหรอกค่ะ” ไป๋ยิ่งอันพูดด้วยเสียงสะอื้น

ซูวยาหยงเดินมานั่งลงที่ข้างเตียงของเธอ พูดปลอบเธอว่า“ยิ่งอันลูก ไม่ว่ายังไงก็ต้องทานข้าวนะลูก แล้วตอนนี้ลูกก็พึ่งคลอดลูกเสร็จ ถ้ารับสารอาหารไม่พอจะมีผลกระทบต่อร่างกายได้นะลูก”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด