“คุณยายจะไปไหนหรอครับ?” หนานกงเฉินกวาดตามองเธอแล้วถาม
“ฉันอยากจะออกไปเดินเล่นสักหน่อยน่ะ”
“คุณยายครับ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณยายต้องปิดบังผมด้วย?”หนานกงเฉินถามด้วยความไม่พอใจ“เขาเป็นลูกของผม ผมมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าเขาได้เกิดมาแล้ว”
“ใครเป็นคนบอกนายกัน?” คุณผู้หญิงถามด้วยความโกรธ
“มันสำคัญด้วยหรอครับ”
“ใช่”
“ครับ นั่นเป็นเพราะเมื่อกี้ผมไปถึงบริษัท ก็ได้ยินข่าวว่าคุณหญิงน้อยของตระกูลหนานกงเฉินคลอดลูกแล้ว แล้วเด็กที่คลอดออกมาก็เป็นเด็กขี้โรคเหมือนที่ผมเป็น ” หนานกงเฉินพูดด้วยความโมโห
“เฉิน” ใจของคุณผู้หญิงเหมือนถูกบีบเอาไว้ น้ำตารื้นขึ้นมาในทันใด“นี่เป็นเหตุผลที่ฉันไม่อยากบอกนาย ฉันยอมให้นายรู้ว่าเด็กคนนี้แท้งก่อนคลอด ก็ไม่อยากให้นายรู้ว่าเขาเป็นเด็กที่ร่างกายไม่แข็งแรงแล้วจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉันบอกให้พวกเขาเก็บไว้เป็นความลับแล้ว ทำไมนายยังถึงรู้ข่าวได้ไวขนาดนี้?”
“คุณยายครับ เรื่องแบบนี้มันปิดกันได้ที่ไหนล่ะครับ” หนานกงเฉินพูดด้วยสีหน้าปวดใจ“อีกอย่างคุณยายรู้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอครับว่าเด็กนั้นไม่แข็งแรง ? ไม่ใช่ว่าเตรียมใจไว้แล้วหรอครับ?”
สิ่งที่คุณผู้หญิงพูดนั้น ทำให้เขามั่นใจว่าข่าวที่ได้ยินมานั้นเป็นเรื่องจริง
ลูกของเขาที่เกิดมา เป็นเด็กร่างกายไม่แข็งแรง
ถึงแม้ตอนนั้นจะรู้อยู่แล้วว่าเด็กนั้นมีโรค แต่เขาก็คิดเหมือนกับไป๋มู่ชิง ว่าฟ้านั้นจะยังเห็นใจเขาอยู่บ้าง ให้เขาได้เด็กที่แข็งแรง
เขาหวั่นไหวกับคำพูดของไป๋มู่ชิง ตัดสินใจที่จะลองพนันดูสักครั้ง โดยที่พนันเด็กคนนี้ อาจจะไมได้แย่เหมือนที่คิด แต่ตอนนี้เขาต้องยอมรับความจริง ว่าทั้งเขาและไป๋มู่ชิงนั้น แพ้พนันนี้แล้ว เด็กคนนี้ไม่มีร่างกายที่แข็งแรง และฟ้าก็ไม่ได้เห็นใจเขาเลย
บางทีเรื่องแบบนี้ก็ไม่ควรที่จะเอามาพนันกันอยู่แล้ว ถ้าตอนนั้นเขาหนักกว่านี้ บังคับให้ไป๋มู่ชิงเอาเด็กคนนี้ออกซะ
“เฉิน พาฉันเข้าไปในบ้านหน่อยสิ” คุณผู้หญิงเดินถอนหายใจไปตลอดทาง
หนานกงเฉินจับแขนของคุณผู้หญิงไว้ พยุงเธอเข้าไปในบ้าน
เขาพยุงคุณผู้หญิงไปนั่งที่โซฟา แล้วเขาก็นั่งลงที่ตรงข้ามของเธอ คุณผู้หญิงยกมือขึ้นบอกกับเซิ่นซิงว่า“เซิ่นซิง เธอไปโรงเรียนเถอะ ฉันขอคุยกับพี่ชายเธอหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ แต่ทั้งสองคนอย่าเศร้าไปเลยนะคะ ” เซิ่งซิงมองทั้งสอง แล้วเดินออกไปจากห้องรับแขก
นั่งอยู่บนโซฟาเป็นสามนาทีเต็มๆ ยายหลานสองคนต่างพูดอะไรไม่ออก ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เวลานี้ใครก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ก่อนหน้านั้นก็เคยก็เยคาดไว้อยู่แล้วว่าผลออกมาจะเป็นแบบนี้ แต่พอเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า ก็ไม่มีใครที่จะรับมือได้ทัน
สุดท้ายก็เป็นคุณผู้หญิงเองที่ทำลายความเงียบนี้ เงยหน้าขึ้นมองหนานกงเฉิน“เฉิน นายคิดจะทำอย่างไรต่อไป?”
หลังจากที่หนานกงเฉินเงียบไปนั้นก็สูดหายใจเข้าเล็กน้อยแล้วตอบว่า“จะทำอย่างไรได้อีก? ตอนนั้นเป็นผมเองที่จะให้คลอดเด็กคนนี้ออกมา”
“ฉันหมายถึง นายจะทำอย่างไรกับสองแม่ลูกนั้น?”
หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมองคุณผู้หญิง“คุณยายหมายถึง......?”
“ฉันหมายถึง ในเมื่อเด็กถูกกำหนดไว้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เลี้ยงไว้ในบ้านของเราก็จะทำให้ทุกคนเสียใจไปเท่านั้น งั้นก็ให้ไป๋ยิ่งอันพาเขากับไปรักษาที่บ้านของเขาดีกว่า” คุณผู้หญิงส่ายหัวไปมา“เฉิน ฉันแก่แล้ว ทนเห็นเด็กนั้นทรมานไม่ได้หรอก”
“คุณยายครับ” ริมฝีปากของหนานกงเฉินฝืดขมขึ้นมาในทันใด“ตอนนั้น หมอก็บอกว่าผมอยู่ได้ไม่นานไม่ใช่หรอครับ ดังนั้น......เราก็อย่าคิดในแง่ลบเกินไป”
คุณผู้หญิงส่ายหัว“ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน คราวนี้เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่ซับซ้อนโรคนี้ไม่เคยมีใครเคยรักษาหายได้ วันนี้ฉันก็โทรไปถามคณบดีของโรงพยาบาลหงเอิงแล้ว เขาก็บอกว่าถ้าเด็กคนไหนเป็นโรคหัวใจชนิดนี้แล้ว ไม่สามารถอยู่รอดได้แน่นอน”
หนานกงเฉินเงียบไม่พูด
คุณผู้หญิงเงียบไปสักพัก แล้วค่อยพูดขึ้นอีกว่า“เฉิน นายอยากรับสองแม่ลูกนั้นกลับมาอยู่ที่บ้านของเราใช่ไหม?”
หนานกงเฉินมองไปที่เธอ ลังเลไปสักพักแล้วตอบว่า“ถ้าคุณยายไม่อยากเจอพวกเขาสองแม่ลูก ผมก็จะไม่รับพวกเขากลับมาอยู่แล้ว”
บนใบหน้าของคุณผู้หญิงแสดงออกถึงความคาดไม่ถึง เธอนึกไม่ถึงว่าหนานกงเฉินจะเชื่อฟังเธอ นี่มันไม่ใช่นิสัยของเขาเลย
เธอนึกว่าปัญหานี้จะเป็นการทะเลาะกันระหว่างหลานยายเกิดขึ้นอีก สีหน้าที่ไม่สบายใจของเธอก็ลดลง“นายคิดแบบนี้ก็ดีแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอีก”
เธอคิดว่าการที่หนานกงเฉินยอมรับข้อเสนอของเธอ ก็คงจะเป็นเพราะเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณหนูไป๋แล้ว ตอนนั้นยังตกลงกันว่าถ้าเด็กคนนี้คลอดออกมาแล้ว จะรับเธอและลูกมาอยู่ที่บ้าน
สี่เดือนผ่านไป มันทำให้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อคุณหนูไป๋จืดจางลง นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก!
ไป๋มู่ชิงที่ตื่นขึ้นมา เป็นเช้าของอีกวันแล้ว เธอลืมตาขึ้นมาช้าๆ สังเกตุเห็นว่านี่ไม่ใช่ห้องก่อนหน้าที่เธออยู่
ที่นี่ไม่เหมือนโรงพยาบาล ไม่มีห้องที่ขาวโพรนนั่น ยิ่งไม่มีกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้ออีกด้วย
เธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง มองไปรอบๆห้อง กับเกตุเห็นว่านี่เป็นห้องนอนที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ธรรมดา นอกจากเตียงกับโต๊ะแล้วก็ไม่มีของตกแต่งอย่างอื่นเลย
หัองนอนนี้ไม่ได้กว้าง เตียงเป็นแค่เตียงไม้ขนาดหนึ่งฟุต นี่คือที่ไหนกัน? เธอไม่เคยเห็นมาก่อน!
วันนี้เป็นวันที่สองของหลังคลอด แม้ร่างกายเธอยังไม่หายดีแต่เธอก็ไม่ได้สนใจ สนแต่บานหน้าต่างที่มีแสงสว่างส่องเข้ามา
มันเป็นบานหน้าต่างเล็กๆ มองออกไปข้างนอกมีต้นปาล์มที่ไสวไปกับลม มองไปข้างล่างมีสวนดอกไม้ที่ล้างไปแล้ว
ดูก็รู้เลยว่าที่เธออยู่คือตึกชั้นที่สาม และเป็นบ้านที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ไป๋มู่ชิงอึ่งไปชั่วขณะ ทันทีเธอก็นึกได้ว่าเธอโดนสองแม่ลูกนั่นขังไว้สะแล้ว
กังขัง......
คำนี้ลอยเข้ามาในสมองของเธอทันที ร่างกายของเธอค่อยๆไร้เรี่ยวแรง ค่อยๆเริ่มที่จะสั่นขึ้นมาทีละนิด
เธอควรทำอย่างไรดี? แล้วตอนนี้ลูกของเธอก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ถ้าเธอโดนขังไว้แบบนี้ ใครจะมาช่วยเธอหาลูกหล่ะ?
ยืนเหม่อที่หน้าต่างได้สักพัก เธอก็หันตัวพุ่งไปที่เตียงแล้วหาโทรศัพท์ของเธอทั่วห้อง แค่ในห้องนอนที่มีของใช้สำหรับอาบน้ำ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่เป็นของเธอเลย
ไม่มีโทรศัพท์ ก็เท่ากับว่าเธอต้องขาดการติดต่อกับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ทำอย่างไรดี? เธอควรทำอย่างไรดี?
เธอเปลี่ยนไปเป็นหมุนลูกบิดประตูแทน เป็นไปตามคาด ไม่มีผลอะไรเลยสักนิด เธอร้อนรนจนร้องไห้ออกมา ร้องไห้ไปด้วยตบประตูไปด้วย“ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะ! ใครอยู่ข้างนอก! ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้.....!”
และแล้ว ไม่ว่าเธอจะตะโกนร้องแค่ไหน ประตูก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรสักนิด และไม่มีใครมาเปิดประตูให้เธอด้วย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เธอตอนนี้ตะโกนจนคอแหบ และมือก็แดงไปหมด เธอถึงจะหยุดร้องด้วยความสิ้นหวัง ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจนล้มนั่งลงไปที่พื้น
ไป๋ยิ่งอันที่นั่งเล่นโทรศัพท์มาทั้งวัน เลื่อนจนโยนโทรศัพท์ลงข้างแล้วถามว่า“แม่คะ หนานกงเฉินรู้แล้วใช่ไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนู? ทำไมเขาถึงยังไม่มาหาหนูกับลูกล่ะคะ?”
ใครจะไปรู้ล่ะ คาดว่าอาจเป็นเพราะเราคาดหวังมากเกินไปกับความรู้สึกของหนานกงเฉินที่มีต่อไป๋มู่ชิง” ซูวยาหยงรอการปรากฏตัวของหนานกงเฉินตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง จนตอนนี้ก็ไม่เห็นแม้กระทั่งเหงา เธอก็อดที่จะไม่กังวลไม่ได้เลย
ตอนเช้าเธอตั้งใจที่จะเอาข่าวไปปล่อยในบริษัทหนรนกง เรื่องใหญ่ขนาดนี้เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่ได้ยิน อีกอย่างเธอก็รู้ด้วยว่าพอหนานกงเฉินมาถึงบริษัทได้แปปเดียวก็กลับบ้านไปแล้ว น่าจะเป็นเพราะได้ยินข่าวแล้วกลับบ้านไปถามคุณผู้หญิงสิ
“เขาคงไม่ได้ทิ้งหนูกับลูกใช่ไหมคะ? ” ไป๋ยิ่งอันถามเสียงเบา
“เรารอไปก่อน อย่าพึ่งกังวลไป” ทันใดนั้นซูวยาหยงก็เอามือขึ้นเป็นสัญลักษณ์บอกให้เงียบ แล้วชี้ไปทางประตู
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยพี่เหอที่เดินเข้ามาพร้อมกับมือที่ถืออาหารกลางวันเข้ามาด้วย
ไป๋ยิ่งอันรีบปรับสีหน้าของตัวเอง แล้วนั่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าหม่นหมอง ซูวยาหยงก็ทักทายขึ้นตามมารยาท
พี่เหอเอาปิ่นโตข้าววางลงที่โต๊ะ มองไปที่เตียงเด็กทารกแล้วถามขึ้นว่า“เด็กสบายดีใช่ไหม?”
“สบายดีค่ะ นอนมาทั้งวันแล้วด้วย” ซูวยาหยงพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เดินไปที่ปิ่นโตข้าวแล้วเอาอาหารออกมา
ซูวยาหยงอ้าปากกำลังจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่มีคำพูดออกมาจากปากของเธอ
พี่เหอลุกยืนขึ้น พูดกับซูวยาหยงว่า“ซูวยาหยง คุณคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมคะ?”
“ไม่มีแน่นอนค่ะๆ” ซูวยาหยงกำมือตัวเองแน่น แต่ใบหน้ายังคงรักษารอยยิ้มไว้
ใจคิดว่ามันจะมากเกินไปแล้ว เหมือนกับว่าตระกูลไป๋อยากเห็นเด็กคนนี้ป่วยตายอย่างนั้นแหละ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...