เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 117

ประตูห้องผู้ป่วยถูกเปิดออกกะทันหัน ตามด้วยเสียงทุ้มต่ำของใครสักคนดังขึ้น“ใครบอกว่าฉันจะไม่เอาคุณกับลูกกัน”

สองแม่ลูกที่กอดกันร้องไห้อยู่นั้นก็ชะงัก แล้วแยกออกจากกัน หันไปมองทิศทางของประตู

ตอนที่พวกเธอเห็นหนานกงเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตูนั้นก็หน้าซีดเผือดไปชั่วขณะ อย่างแรกคือ หนานกงเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเมื่อสักครู่ได้ยินที่พวกเธอคุยกันหรือเปล่า?

แล้วอีกอย่าง......เมื่อสักครู่พวกเธอได้พูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปหรอไหม? คงไม่มีหรอกใช่ไหม? เกือบไปแล้วจริงๆ!

ไป๋ยิ่งอันที่เห็นหนานกงเฉินนั้นก็ตกใจ เธอนั่งอยู่บนเตียงโดยที่น้ำตานองหน้า เห็นแล้วก็น่าสงสารจับใจ

ซูวยาหยงก็ตกใจเช่นกัน แต่เธอก็รู้ตัวแล้วตอบสนองก่อนไป๋ยิ่งอัน

เธอเช็ดน้ำตาบนหน้าออก แล้วกดความดีใจที่ก่อขึ้นในใจนั้นลงไป ตั้งใจพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจว่า“คุณชายเฉินไม่เอายิ่งอันกับลูกแล้วไม่ใช่หรอคะ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”

หนานกงเฉินมองหน้าเธอ แต่ไม่ได้ตอบ กลับก้าวเดินเข้ามาแล้วเดินเข้าไปที่เตียงของเด็กน้อยก่อน มองเด็กที่กำลังหลับปุยอยู่บนเตียง แล้วค่อยเดินไปอยู่หน้าเตียงของไป๋ยิ่งอัน และมองเธออยู่อย่างนั้น

นอกจากเธอที่ดูอ้วนขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไป ยังคงมีผมสีดำยาวๆ ผิวขาวสะอาด ตอนร้องไห้ก็จะทำให้คนอื่นรู้สึกอยากปกป้อง

สักพักถึงจะพูดขึ้นว่า“ยังจำสิ่งที่เราสัญญากันได้ไหม?”

ในที่สุดไป๋ยิ่งอันก็รู้สึกตัว เธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาเธอออก

เธอดีใจไม่น้อยไปกว่าซูวยาหยงเลย หนานกงเฉินมาแล้ว เขามาแล้ว ดูก็รู้ว่าเขายังคงเป็นห่วงเธอกับลูกอยู่ เธอคิดไม่ถึงว่าจุดพลิกที่เห็นในละครจะมาเกิดขึ้นที่ตัวเธอได้

เพื่อไม่ให้ความดีใจของเธอจะแสดงออกมากับน้ำเสียง เธอไม่กล้าแม้แต่จะพูด

หนานกงเฉินยืนอยู่ห่างเธอไม่ถึงหนึ่งเมตร นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่หนานกงเฉินอยู่ใกล้เธอขนาดนี้ ใกล้จนได้กลิ่นหอมที่แสนมีเสน่ห์ของเขา

เธอรู้สึกว่าตัวเธอแทบจะหลงใหลไปกับความสง่าของนั่น เธอกลัวเธอจะเก็บความดีใจของเธอไว้ไม่อยู่ แล้วทำให้การเจอกันครั้งแรกของพวกเธอพัง

การไม่พูดเป็นทางที่ดีที่สุด ดังนั้นเธอแค่พูดด้วยเสียงสะอื้นว่า’จำได้’สองคำ แล้วเสหน้าไปทางอื่น ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

“ผมจำได้ว่าผมเคยบอกไว้ว่า ถ้าเด็กคลอดออกมาแล้วผมยังเลือกคุณ ผมจะมารับคุณและลูกกลับบ้าน ตอนนี้ลูกได้คลอดออกมาแล้ว และผมก็ไม่อยากทิ้งคุณไป ดังนั้น...... ”หนานกงเฉินยิ้ม“เรากลับบ้านกันนะ”

ในที่สุดไป๋ยิ่งอันก็เก็บความดีใจไม่อยู่ ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ

น้ำตาพวกนี้เป็นน้ำตาแห่งความดีใจ หนานกงเฉินบอกว่าจะพาเธอกลับบ้านงั้นหรอ? เขาตกลงที่จะพาเธอกลับบ้านแล้ว ก็แสดงว่าเวลาครึ่งปีที่เธอทำมามันไม่ได้เปล่าประโยชน์ แผนของพวกเธอก็ไม่ได้ล่ม

ซูวยาหยงก็ร้องไห้ด้วยความดีใจ แต่เธอไม่จำเป็นต้องเก็บความรู้สึกตัวเองไว้ พูดด้วยทั้งน้ำตาว่า“คุณชายเฉิน แค่มีคำนี้ของคุณ แม้ยิ่งอันต้องลำบากอีกเท่าไหร่ก็ถือว่าคุ้มค่า”

“ลำบากคุณแล้วสินะ” หนานกงเฉินยกมือขึ้นจะวางที่ไหล่ของไป๋ยิ่งอัน

อาจเป็นเพราะตื่นเต้นและดีใจเกินไป ทำให้ไป๋ยิ่งอันหดตัวตังเองกลับ แล้วร่างกายก็ถอยห่างด้วยสัญชาตญาณ

การที่เธอถอย ทำให้สะกิดความเอ็นดูของหนานกงเฉินที่มีต่อเธอ มือของเขาค้างไว้แบบนั้น แล้วค่อยว่างลงบนไหล่ของเธออีกครั้ง แล้วค่อยไโอบเธอเข้ามาในอ้อมกอด

พอได้รับอ้อมกอดของเขา ทำให้ไป๋ยิ่งอันอ่อนระทวยไปทั้งตัว พอรู้สึกตัวเธอก็เอามือโอบเอวของเขาไว้แล้ว ใบหน้าเล็กที่แนบกับหน้าท้องที่แข็งแกร่งนั่น ทำให้เธอดีใจจนร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น

ไป๋ยิ่งอันมองบ้านพักแสนกว้างใหญ่ตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็อารมณ์ก็ค่อยๆดีขึ้น แต่ยังคงหลงเหลือความตื่นเต้นเล็กน้อย

บ้านพักหลังนี้คือที่ไป๋มู่ชิงเคยพูดถึงในสมุดบันทึกที่เป็นบ้านพักเจียงจิ่งหรอ? ทำไมหนานกงเฉินถึงพาเธอมาที่นี่ล่ะ?

เธอหันกลับไปหาซูวยาหยงที่ดึงดันจะตามมา

ซูวยายหยงยิ้มให้เธอเล็กน้อย แล้วพูดเบาๆข้างๆหูของเธอว่า“อย่าลืมว่าลูกเป็นผู้หญิงที่กล้าได้กล้าเสีย ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน”

“แต่หนูลืมโครงสร้างของบ้านนี้ไปแล้ว” ไป๋มู่ชิงเคยพูดถึงบ้านหลังนี้กับเธอ ตอนนั้นเธอคิดว่ามันเป็นแค่ที่พักหนานกงเฉินที่จะมาพักเป็นนานๆครั้ง เธอคงไม่มีโอกาสได้มาหรอก เลยไม่ได้ไปสนใจมากนัก

คิดไม่ถึงว่าครั้งแรกที่ได้อยู่กับหนานกงเฉิน ก็คือห้องนี้

“ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก” ซูวยาหยงลูบมือเธอด้วยความอ่อนโยน

หลังจากที่หนานกงเฉินส่งลูกเข้านอนด้วยตัวเขาเองแล้วก็เดินออกมาเห็นสองแม่ลูกกระซิบกระซาบกันอยู่ เขายกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

ซูวยาหยงรีบตอบอย่างยิ้มๆว่า“คือว่ายิ่งอันกลัวว่าถ้าคุณผู้หญิงรู้ว่าคุณพาเธอกลับมาอยู่ด้วยแล้วจะโกรธอ่ะค่ะ อาจจะทำให้คุณเดือดร้อนได้”

“วางใจเถอะครับ คุณยายท่านไม่ได้น่ากลัวแบบที่พวกคุณคิดหรอก” หนานกงเฉินเดินเข้ามาแล้วโอบไหล่ของไป๋ยิ่งอันเอาไว้ แล้วพาเธอเดินไปนั่งที่โซฟา“ที่นี่อาจจะไม่ใหญ่เท่าบ้านของตระกูลหนาน แต่สภาพแวดล้อมและบรรยากาศเหมาะกับลูกของเรา ใกล้โรงพยาบาลอีกด้วย คุณว่ายังไง?”

“ฉัน......ฉันยังไงก็ได้ค่ะ” ไป๋ยิ่งอันมองเขาด้วยความไม่เป็นธรรมชาติ“แค่ได้อยู่กับคุณและลูก แม้ว่าจะอยู่ในบ้านคนจนฉันก็ยอม”

สายตาของหนานกงเฉินมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ แบบนี้มักจะทำให้เธอรู้สึกใจอยู่ไม่เป็นสุข

“คุณสามารถคิดแบบนี้ได้ก็ดีแล้ว” มือที่โอบอยู่บนไหล่ของเธอได้เลื่อนต่ำลงมาที่ฝ่ามือของเธอ บนนิ้วนางมือเรียวสวยนั้นได้สวมแหวนหยกเม็ดงามเอาไว้

แหวนวงนี้แม้จะเป็นผลงานของนักออกแบบชื่อดัง เลียนแบบออกมา แต่ยังไงมันก็เป็นของปลอมอยู่ดี ไป๋ยิ่งอันซ่อนนิ้วนางของเธอเข้าไปใต้ฝ่ามืออีกข้าง

ดีที่หนานกงเฉินแค่จับฝ่ามือเธอเพื่อแค่ปลอบโยน แล้วก็ได้ปล่อยมือออกไป

ซูวยาหยงที่กังเกตุเห็นถึงความวิตกของไป๋มู่ชิง เพื่อป้องกันไม่ให้หนานกงเฉินรู้สึกถึงความผิดปกติไปของเธอ ก็รีบเปลี่ยนเรื่องสนทนา“คุณชายเฉินคะ ยิ่งอันพึ่งคลอดลูกไป แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกด้วย ถึงแม้ว่าจะมีแม่นมอยู่ แต่ฉันก็ไม่ค่อยไว้วางใจสักเท่าไหร่ ฉันอยากอยู่ดูแลเธอสักพักได้ไหมคะ?”

“เอาที่ยิ่งอันสบายใจเลยครับ” หนานกงเฉินพูดด้วยท่าทีสบายๆ

“ขอบคุณค่ะ” ไป๋ยิ่งอันถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ้มออกมาอย่างดีใจ

มีซูวยาหยงอยู่ช่วย เธอก็สบายใจขึ้นเยอะแล้ว

หนานกงเฉินที่นั่งข้างเตียงของลูก มองเขาดิ้นไปมา มองลูกที่หายใจอย่างรวดเร็วและผิวที่คล้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา

ภาพที่เขาไม่ต้องการเห็นมากที่สุด สุดท้ายก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า

เขาแค่ไม่ได้เหมือนกับคุณผู้หญิงที่โยนความผิดทั้งหมดให้ไป๋ยิ่งอัน ในเมื่อตอนนั้นเขาเองก็ไม่เด็ดขาดพอ และยอมให้กับคำร้องขอของเธอ

เขายื่นมือไปยอกเล่นกับลูก ลูกก็เปิดปากตอบกลับทันที ในที่สุด บนใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา

ไป๋ยิ่งอันนอนหันข้างมองเขา เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้น ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้รังเกลียดลูกเพียงเพราะเด็กไม่แข็งแรง แล้วเขาก็ดูจะชอบลูกมากเสียด้วย

พอชินกับใบหน้าแสนเย็นชาของหนานกงเฉินแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่บนใบหน้าของเขาจะมีรอยยิ้มที่แสนจะอบอุ่นปรากฏขึ้น

ลูกน่าจะหิวแล้ว ดูจากการอ้าปากเล็กๆนั่นร้องไห้เสียงดัง

หนานกงเฉินที่เห็นลูกร้องไห้ ก็ทำอะไรไม่ถูก คนที่ไม่เคยอุ้มลูกอย่างเขา ยื่นมือออกไปอยากจะอุ้มลูก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง

จนถึงแม่นมวิ่งเข้ามา แล้วอุ้มลูกขึ้นจากเตียงแล้ววางไว้ที่อ้อมแขนของเขาด้วยใบหน้ายิ้มๆ“คุณชายใหญ่คงจะไม่เคยอุ้มเด็กใช่ไหมคะ? เด็กยังเล็ก คุณเอามือรองหัวเขาไว้ก็พอค่ะ”

หนานกงเฉินพยักหน้ารับ แล้วอุ้มลูกตามที่เธอสอน

“ที่จริงเด็กจะชอบให้ผู้ชายอุ้มนะคะ เพราะอ้อมกอดของผู้ชายกว้าง” แม่นมเดินออกไปชงนมให้ลูก พอชงเสร็จแล้วก็สอนหนานกงเฉินให้นมลูกอย่างใจเย็น

แม่นมหันกลับมาพูดกับไป๋ยิ่งอันว่า“คุณหญิงน้อยคะ ตอนกลางคืนคุณสามารถให้เด็กดูดนมได้แล้วนะคะ ไม่อย่างนั้นตอนกลางคืนถ้าน้ำนมมีเยอะเกินไปเด็กจะทานไม่หมดได้ คุณจะลำบากนะคะ”

สีหน้าของไป๋ยิ่งอันเปลี่ยนไปทันที แล้วเอามือโอบหน้าอกตัวเองไว้ด้วยสัญชาตญาณ“ฉัน......ฉันไม่เอาหรอก”

พอได้ยินเสียงของไป๋ยิ่งอัน หนานกงเฉินก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ แล้วตามด้วยรอยยิ้มบางๆ“คุณตื่นแล้วหรอ?”

“อื้ม มองคุณเล่นกับลูกตลอด มองเพลินไปเลย” ใบหน้าของไป๋ยิ่งอันเขินจนขึ้นริ้วสีแดงเล็กน้อย

“ผมมองลูกบิดขี้เกียจแล้วก็ทำปากจู๋ๆน่ารักดี มองเพลินไปเหมือนกัน คุณที่ตื่นแล้วผมยังไม่รู้เลย ”

อยู่ๆไป๋ยิ่งอันก็เดินลงมาจากเตียงแล้วเดินไปกอดแขนของหนานกงเฉินไว้“คุณชายใหญ่คะ ฉันไม่อยากให้นมลูกจากเต้าเลย เขาพูดกันว่าถ้าให้นมลูกจากเต้าจะทำให้หน้าอกหย่อนยานได้ น่าเกลียดจะตายไป”

หนานกงเฉินมองเธอด้วยความแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดคำแบบนี้ออกมา ในความทรงจำของเขา ภรรยาของเขาไม่ห่วงภาพลักษณ์ ยิ่งมองลูกเสมือนชีวิตแบบนี้ เป็นได้ไงที่จะไม่ให้นมลูกจากเต้าเพียงเพราะจะรักษาหุ่นของตัวเอง?

ไป๋ยิ่งอันที่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ก็พูดอย่างยิ้มๆว่า“คุณเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรอคะ ตอนนี้สถานะของฉันมันไม่เหมือนเดิมแล้ว ต้องรักษาภาพลักษณ์ไว้”

“แต่เมื่อก่อนคุณไม่ได้พูดแบบนี้นิ”

“คนเราก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาอยู่แล้ว” ไป๋ยิ่งอันยกข้อมือของตัวเองขึ้นพูดว่า“คุณดูสิคะ เพื่อความสวย ฉันไปศัลยกรรมรอยแผลที่เป็นกัดตรงข้อมือออกแล้ว”

หนานกงเฉินมองไปที่ข้อมือของเธอ เห็นรอยกัดตรงข้อมือของเธอหายไปแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เขาฝากไว้ให้เธอ ตอนนั้นเลือดไหลเยอะมาก แล้วก็ฝากรอยที่น่าเกลียดเอาไว้

ตอนนี้เหลือแค่สีผิวที่ยังคงหายไม่หมด แต่ก็ดูสวยขึ้นจากตอนนั้นมาก

ไป๋ยิ่งอันเขย่ามือไปมา“หมอบอกว่าอีกสองเดือนก็สามารถกลับเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว จะมองไม่ออกเลยว่าเคยมีแผล”

“หรอ ดีแล้วหล่ะ” มองไปที่ข้อมือที่ขาดสะอาดนั่น ในใจของหนานกงเฉินก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมา เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกแบบนี้

อาจจะเป็นเพราะเขาเคยจับมือของไป๋มู่ชิงไว้ มองรอยฟันที่ชัดเจนนั่นไม่เพียงแค่ไม่สงสารแล้ว ยังรู้สึกเหมือนประกาศว่านี่เป็นเครื่องหมายที่เป็นสำหรับเขาเอง

เมื่อเห็นร่องรอยที่เป็นของเขาถูกทำลายทิ้ง เขาก็รู้สึกผิดหวังงั้นหรอ? เขาส่ายหัว ไม่แปลกที่เธอในตอนนั้นบอกกับเขาว่า เขาเป็นคนบ้าอำนาจและเห็นแก่ตัว

“ผมก็เคยพูดไว้นิว่า ในสายตาของผมคุณไม่หลงเหลือภาพลักษณ์อะไรไว้แล้ว” เขายิ้ม

“คนบ้า”

“ถ้าคุณไม่อยากให้นมลูกจากเต้าก็ไม่เป็นอะไร เราให้ลูกดื่มนมวัวก็ได้”

“เฉิน คุณใจดีจัง” ไป๋ยิ่งอันยิ้มอย่างดีใจ แล้วยื่นมือไปเล่นกับลูก“คุณดูสิคะ ลูกดื่มนมวัวก็ดูมีความสุขดีนะคะ”

หลังจากที่ลูกดื่มนมเสร็จ หนานกงเฉินก็วางเขาลงบนเตียง ลุกขึ้นเอามือวางที่หัวของไป๋ยิ่งอันอย่างเบามือ“ฉันมีธุระต้องออกไปข้างนอก คุณพักผ่อนอยู่ที่บ้านนะครับ”

“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณกลับมานะคะ“ไป๋ยิ่งอันก็ส่งเขาไปที่ประตู”

พอหนานกงเฉินกลับถึงบ้านตระกูลหนานกง ก็เข้าไปพบคุณผู้หญิงที่นั่งอยู่ที่ห้องรับแขก ดูก็รู้ว่าเธอรอการมาถึงของเขาโดยเฉพาะ

ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ พอคุณผู้หญิงเห็นหนานกงเฉินก็พูดด้วยน้ำเสียงที่โมโหว่า“เฉิน นายบอกจะไม่รับไป๋ยิ่งอันสองแม่ลูกนั่นกลับมาไม่ใช่หรอ?”

เมื่อสักครู่ที่ได้ยินข่าวว่าหนานกงเฉินไปรับไป๋ยิ่งอันสองแม่ลูกนั่นกลับไปที่เพ้นท์เฮ้าส์ของเขา ก็โกรธเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็โทรหาหนานกงเฉิน สั่งให้เขากลับมาหาเธอที่บ้าน

หนานกงเฉินกลับมาหาเธอโดยเฉพาะ ก็ต้องมีการเตรียมตัวที่จะรับมือกับเธอไว้อยู่แล้ว เขาเดินมาหาคุณผู้หญิงด้วยท่าทางใจเย็น แล้วนั่งลงตรงข้ามกับคุณผู้หญิง“คุณยายครับ คุณยายบอกว่าไม่อยากเห็นเด็กคนนั้นเสียใจ ผมเลยให้เขาไปอยู่ที่เพ้นท์เฮ้าส์ของผม แบบนี้คุณยายก็จะไม่ต้องไม่สบายใจอีก ผมตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงอายุเท่าไหร่ ผมก็จะเป็นคนเลี้ยงดูเขาเอง”

“นาย.......” คุณผู้หญิงโกรธจนหายใจติดขัด

ที่เธอทำแบบนี้ไม่ใช่จะกีดกันเด็กน่าสงสารคนนั้น แต่จะใช้โอกาสนี้ในการเขี่ยไป๋ยิ่งอันนั่นทิ้งสะ ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจเธอกัน? แล้วไม่คิดว่าเขาจะไปรับกลับไปที่เพ้นท์เฮ้าส์โดยไม่บอกเธออีก

“คุณยายครับ เราสัญญากันแล้วไม่ใช่หรอครับ ว่ารอลูกคลอดออกมาเมื่อไหร่ แล้วผมยังไม่สามารถลืมยิ่งอันได้ ก็จะรับเธอกลับมา”

“ใครสัญญากับนายกัน? นั่นคือนายสัญญากับตัวเองต่างหาก” คุณผู้หญิงพูดน้ำความโมโห“ที่ฉันสัญญากับนายคือ ถ้าเราให้เด็กคลอดออกมา นายก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นของนายจริงๆ คนที่ฉันเป็นคนจัดหาให้”

“ผมเคยบอกไปแล้วนิครับ ว่าเธอคนนั้นตายไปแล้ว”

“ฉันก็เคยบอกไปแล้วเหมือนกันว่าฉันไม่เชื่อ”

“คุณยายครับ.......” หนานกงเฉินพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย“เราอย่าไปหลงเชื่อสิ่งพวกนั้นเกินไปได้ไหมครับ? ให้คุณหนูจิ้งฉีเขาหลับให้สบายเถอะครับ แล้วก็เลิกตามหาคนที่ไม่มีตัวตนคนนั้นสักที แล้วยอมรับยิ่งอัน ผมแค่อยากทำงานตัวเองให้ดี ไม่อยากเสียเวลาให้กับความรู้สึกส่วนตัวมากเกินไป”

ไม่ใช่ครั้งแรกแล้วที่คุณผู้หญิงได้ยินเขาพูดแบบนี้ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกทั้งโกรธแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

“บอกว่าผมมีอายุอยู่ไม่ถึงสามสิบปี แต่ดูผมตอนนี้สิ อีกหนึ่งเดือนก็จะครบสามสิบแล้ว ก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่เป็นอะไรไม่ใช่หรอครับ?” หนานกงเฉินพูดขึ้นอีกครั้ง

“ยังเหลือเวลาอีกเดือนหนึ่งไม่ใช่หรอ? อีกอย่าง พออายุสามสิบก็ยังมีเวลาตั้งหนึ่งปีเต็ม นายรับรองได้หรือเปล่าว่านายจะไม่เป็นอะไร?”

“แน่นอน” หนานกงเฉินตอบ

คุณผู้หญิงมองไปที่เขา ผ่านไปสักพักถึงจะพูดขึ้นว่า“ต้องรับเธอกลับมาให้ได้ใช่หรือไม่?”

“เธอคือแม่ของลูกของผม ผมต้องรับเธอกลับมาอยู่แล้ว”

“ได้ ถ้ามั่นใจว่าจะทำแบบนี้ ก็รับสองแม่ลูกนั่นกลับมาบ้านเถอะ”

“ถ้าคุณยายรู้สึกไม่สบายใจ ก็ให้พวกเราเลี้ยงดูลูกข้างนอกก็ได้ครับ อาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็ได้”

คุณผู้หญิงส่ายหน้า“ในเมื่อเขาก็เป็นลูกแท้ๆของตระกูลหนานกงของเรา ถึงแม้ว่าเขาจะไป ก็ควรให้เขาไปโดยที่อยู่ที่บ้านอย่างสบายใจ”

ถึงแม้ว่าการเห็นเขาทุกวันมันจะเศร้าใจ แต่ถ้าทิ้งให้เข้าอยู่ข้างนอก คุณผู้หญิงหญิงก็จะปวดใจยิ่งกว่า ก่อนหน้านั้นแข็งใจทิ้งเขาไป ก็เพื่อจะได้เตะไป๋ยิ่งอันออกจากตระกูลหนานกง ในเมื่อหนานกงเฉินยืนกรานที่จะให้ผู้หญิงคนนี้อยู่เคียงข้างกายเขา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นที่ต้องทิ้งเด็กเอาไว้ข้างนอก

เรื่องหลังจากนี้ คงต้องค่อยๆคิดไปทำไป

หนานกงเฉินที่เห็นเธอพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ในที่สุดก็พยักหน้าด้วยความโล่งใจ“ขอบคุณครับคุณยาย ถ้าอย่างนั้นผมจะไปรับพวกเขากลับมาคืนนี้เลย”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด