เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 131

สรุปบท บทที่ 31 ใบหน้าที่หม่นหมอง: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

สรุปตอน บทที่ 31 ใบหน้าที่หม่นหมอง – จากเรื่อง เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด โดย เยว่กวางจู่อวี

ตอน บทที่ 31 ใบหน้าที่หม่นหมอง ของนิยายInternetเรื่องดัง เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด โดยนักเขียน เยว่กวางจู่อวี เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

"งั้นก็ดี คุณดูแลตัวเองละกัน พักไวหน่อย ผมวางสายละ"

"คุณชายใหญ่" คืนนี้คุณจะกลับมากี่โมงคะ ? ไป๋ยิ่งอันยังไม่ทันจะถามเสร็จ หนานกงเฉินก็ตัดสายวางไปแล้ว

ฟังเสียง ตู้ด ตู้ด ของโทรศัพท์ที่วางไปแล้ว เธอเก็บมือถือลงอย่างหงุดหงิด คฤหาสน์หลังเล็ก ๆ ที่สวยงามตรงหน้าอีกครั้ง

บ้านแบบนี้เหมาะสำหรับเจ้านายที่ไม่ค่อยมีเงินแต่อยากแสร้งว่ารวยเท่านั้นแหละ หนานกงเฉินกลับให้เธออาศัยอยู่ที่นี่ น่าจะให้ไปพักที่อพาร์ทเม้นเจียงเปี๋ยมากกว่า

เธอเดินชมรอบๆตัวบ้าน เดิมที่คุ้นเคยกับการอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ให้มาอยู่บ้านหลังเล็กแบบนี้ เธอดูแล้วไม่ชินเลยจริงๆ แต่ไหนๆเรื่องก็มาขนาดนี้แล้ว เธอก็ได้แต่ทำใจยอมรับ

ในที่สุดเธอก็เดินกลับเข้าไปที่ห้องนอน อาบน้ำแล้วก็นั่งพิงที่หัวเตียง ดูโทรทัศน์รอหนานกงเฉินกลับมา รอจนดึกดื่นแล้วเขาก็ยังไม่กลับมาอีก สุดท้ายเลยนอนลงบนเตียงและหลับไป

ใกล้พิธีแต่งงานเข้ามาทุกทีๆ ไป๋มู่ชิงก็ยุ่งขึ้นเรื่อยๆ วันนี้หลินอันหนานโทรนัดเธอไปเลือกเค้กที่โรงแรมแต่เช้าตรู่

เธอรับปากแล้วเดินกลับไปที่ห้องนอน เปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนออกจากบ้านสายตาก็เหลือบไปมองที่ประตูนั้นอย่างไม่ทันรู้ตัว หลังจากกลับจากรีสอร์ท หนานกงเฉินก็ไม่เคยมาอยู่ที่นี่เลย อยู่ดีดีใจเธอก็รู้สึกโหวงๆขึ้นมา

เธอผงะกับความรู้สึกนี้ของเธอ อีกอาทิตย์กว่าๆ เธอก็ต้องแต่งงานกับหลินอันหนานแล้วนะ ทำไมยังรู้สึกอะไรกับหนานกงเฉินอีก ไม่ควรเลยจริงๆ!

เธอหายใจลึกๆ แล้วล๊อคประตู เดินไปยังลิฟต์

เค้ก5ชั้น ดูอลังการและสวยงามมาก โดยเฉพาะชั้นบนสุดที่มีตุ๊กตา1 คู่ น่ารักมากๆ ไป่มู่ชิงชอบในทันที

"เธอคิดว่าไง" หลินอันหนานถาม

"สวยมากเลย"

"งั้นเลือกอันนี้เลยมั๊ย?"

“ดีสิ" ไป๋มู่ชิงพยักหย้า

หลังจากเลือกเค้กเสร็จ ผู้จัดการโรงแรมก็เดินไปส่งพวกเค้ากลับไปพร้อมกับยิ้มให้ "เค้กชนิดนี้ เป็นเค้กที่ขายดีมากที่สุดของโรงแรมเลยนะครับ คุณนายหลิน ช่างตาถึงจริงๆ"

คุณนายหลิน.....ฟังดูแปลกหน้าอย่างบอกไม่ถูก ไป่มู่ชิงอยู่ดีดีก็รู้สึกไม่คุ้นเคย

แต่หลินอันหนานกลับพึงพอใจที่ผู้จัดการเรียกแบบนี้ เขายกมือขึ้นโอบไป่มู่ชิงเข้ามา "ของคุณครับผู้จัดการหวง งานแต่งงานวันนั้น ผมจะให้อั่งเปาคุณแน่นอน"

"จริงเหรอครับ งั้นต้องขอบคุณล่วงหน้าเลยนะครับ" ผู้จัดการหวงคึกคักขึ้นมาในทันที

"ไม่ต้องขอบคุณหรอก รบกวรคุณแล้วนะ" หลินอันหนานยิ้มให้ แล้วก้มลงพูดกับไป๋มู่ชิง "ไปกันเถอะ พวกเราไปดูชุดแต่งงานกัน ดูซิ แก้เสร็จรึยัง"

"ดีค่ะ" ไป๋มู่ชิงยิ้มและพยักหน้าคล้อยตาม ขณะที่กำลังจะออกรถ กลับโดนรถที่กำลังมาถึงปิดทาง

รถจอดอยู่หน้าเค้าทั้งสองคน เลขาเหยียนลงมาจากรถ แล้วเปิดประตูด้านหลัง "คุณชายเฉิน ถึงโรงแรมหยางกวางแล้วครับ"

หนานกงเฉินรู้อยู่แล้ว เขาไม่ได้รู้แค่ว่า ถึงโรงแรมหยางกวางแล้วนะ เขายังเห็นหลินอันหนานโอบไป๋มู่งชิงเดินออกมาจากด้านในด้วย

เขากำเอกสารในมือ แล้วก้าวขาที่เหยียดยาวออกไป

เมื่อตาทั้งสี่ประสานกัน บรรยากาศก็เหมือนหยุดเวลาไว้

ไป๋มู่ชิงรู้ว่าบางโอกาสหนานกงเฉินก็จะมาใช้ห้องประชุมของโรงแรมหยางกวานรับรองลูกค้าต่างชาติ แต่นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญมาเจอกันในวันนี้

"พี่ชาย บังเอิญจัง พี่มาประชุมที่นี่หรือ" มือของหลินอันหนานโอบไป่มู่ชิงแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าเขายังยิ้มอย่างอ่อนโยน

บังเอิญมาก นี่ดูเหมือนจะเป็นการพูดเปิดการสนทนาทุกครั้งของพวกเขา

หนานกงเฉินยิ้มอย่างสุภาพบุรุษ แล้วก็ตอบกลับเขาเหมือนเช่นทุกครั้ง "บังเอิญนะ"

เลขาเหยียน เงยหน้าขึ้นมอง หนานกงเฉิน นี่หรือ คือเหตุผลที่เขาเลื่อนวันมาประชุมก่อน 1 วัน? ไม่ใช่หรอกมั๊ง

"อ่อใช่ อาการบาดเจ็บของคุณผู่เป็นอย่างไรบ้างครับ" หลินอันหนานถามอย่างสุภาพ

นี่ก็เป็นคำถามที่ไป๋มู่ชิงอยากรู้อยู่พอดี แต่ว่าเธอไม่เข้าใจว่าทำไมตอนนี้สายตาของหนานกงเฉินถึงจับจ้องมาที่ตัวเธอ แถมยังตอบกลับอย่างเต็มปากเต็มคำว่า "ผมได้ยินเซิ่งเคอบอกมาว่า เธอฟื้นแล้วเมื่อเช้านี้ พ้นจากขีดอันตรายแล้วด้วย"

หลินอันหนานใจหาย ผู่เหลียนเหยาฟื้นแล้ว นั่นหมายความว่า แผนการของไป๋ยิ่งอันล้มเหลวใช่มั๊ย แล้วถ้า

ไป๋ยิ่งอันล้มเหลว เขากับไป๋มู่ชิงก็จะพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วยสิ

ถึงแม้เขาจะไม่ได้จงใจทำอันตรายผู่เหลียนเหยา แต่ในความคิดเขานั้น ก็ไม่อยากให้เธอฟื้นขึ้นมาอีกตลอดไป

แต่ไป๋มู่ชิงกลับไม่ได้คิดเลยว่าการฟื้นของผู่เหลียนเหยาจะส่งผลร้ายอะไรต่อตัวเธอบ้าง เธอแค่รู้ว่าสายตาที่แปลกประหลาดของหนานกงเฉินนั้น เหมือนจะดูดวิญญาณคนได้เลย

เขาสงสัยเธอหรือตำหนิเธอที่ดูแลผู่เหลียนเหยาไม่ดีกันแน่นะ หวังว่าจะเป็นอย่างหลัง!

"แต่หมอบอกว่าเธอสูญเสียความทรงจำแล้ว จำคนและสถานที่ไม่ได้เลย" หนานกงเฉินพูดเสริมขึ้นมา และมองไปยังสายตาของไป๋มู่ชิงที่ผิดปกติ

ได้ยินเขาพูดอย่างนั้นแล้ว หลินอันหนานก็ถอนหายใจอย่างเงียบๆ แบบนี้ก็ถือว่าสำเร็จแล้วล่ะ

หนานกงเฉินพูดประโยคนี้จบก็เดินเข้าไปในโรงแรม

เลขาเหยียนรีบเดินตามเข้าไป หลังจากที่ทั้งสองเข้าไปในลิฟต์แล้ว เลขาเหยียนก็มองขึ้นไปที่หนานอันเฉินแล้วถามว่า "คุณชายเฉิน ทำไมคุณต้องหลอกพวกเขาว่าคุณหนูผู่สูญเสียความทรงจำแล้วล่ะ "

หนานกงเฉินครุ่นคิดอยู่สองสามวินาทีก่อนที่จะตอบออกมาอย่างเงียบ ๆ : "เพื่อความสงบสุขในโลก"

ไป๋มู่ชิงรอให้หนานกงเฉินเดินลับตาไปก่อน แล้วจึงถอนหายใจในที่สุด

จากนั้นถึงจะนึกอะไรบางอย่างได้และถามขึ้นว่า : "เมื่อกี๊คุณชายเฉินพูดว่าผู่เหลียนเหยาเป็นอย่างไรบ้างนะคะ?"

"ฟื้นแล้ว แต่สูญเสียความทรงจำ" หลินอันหนานตอบ

"สูญเสียความทรงจำ?ทำไมถึงร้ายแรงขนาดนั้นได้?" เธอกระซิบเบาๆ

"แบบนี้ไม่ดีหรือ?" หลินอันหนานเปิดประตูและพาเธอขึ้นรถไป ตัวเขาเองก็ขึ้นรถอีกฝั่งหนึ่ง เขาจับมือเธอแล้วยิ้มออกมาเบาๆ "อย่างนี้อีกหน่อยก็จะไม่มีใครมาทำให้เธอต้องเดือดร้อนแล้ว"

ไป๋มู่ชิงค่อยๆดึงมือเธอออกมาจากฝ่ามือของเขา แล้วตอบว่า "ถึงแม้ว่าเธอชอบนำความเดือดร้อนมาให้ฉัน แต่ฉันก็ไม่อยากให้เธอต้องมารับเคราะห์ร้ายขนาดนี้"

"คุณเนี่ยนะ ช่างใจดีซะเหลือเกิน" หลินอันหนานดึงมือกลับไป พร้อมกับออกรถ

ไป๋มู่ชิง พูดต่ออย่างเบาๆ " ใช่สิ ฉันก็เลยมักจะเจ็บปวด ใช้ชีวิตอย่างย่ำแย่ ชาติหน้าฉันจะต้องเป็นผู้หญิงที่มีกลอุบายล้ำลึกและมีกำลังวังชาสู้คนได้แบบมนุษย์เหล็ก"

ถ้าไม่ใช่เพราะบุคลิกที่อ่อนแอของเธอ ไป๋ยิ่งอันจะกล้าปฏิบัติกับเธอเช่นนี้ได้อย่างไร?

หลินอันหนานได้ยินอย่างนั้นก็ส่ายหัว "ไม่ได้ คุณอย่าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงแบบเลย ผมยังอยากจะขอคุณแต่งงานอีกในชาติหน้านะ"

ประโยคนี้ฟังแล้วก็รู้สึกตื้นตันใจ ไป๋มู่ชิงมองแล้วยิ้มให้เขา โดยไม่พูดอะไรอีก

ไป๋ยิ่งอันยังไงก็คิดไม่ถึง ว่าโลกของคนสองคนที่สวยงามเหมือนในจินตนาการ จะกลายเป็นเธอที่ต้องอาศัยอยู่คนเดียวที่นี่ สี่วันแล้วที่ย้ายเข้ามา แต่หนานกงเฉินกลับไม่ได้โผล่หน้ามาให้เห็นเลย นับประสาอะไรกับการกลับมาอยู่ที่นี่อีก

ตอนสวีหย่าหรงได้ยินลูกสาวร้องไห้ทางโทรศัพท์ ก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าหนานกงเฉินจะทิ้งเธอไว้ในคฤหาสน์เล็ก ๆ

ที่ไม่ค่อยมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไร จนกระทั่งได้เห็นกับตาตัวเอง ถึงกับพูดออกมาอย่างโมโหว่า "มันจะมากเกินไปแล้วนะ!"

"แม่ แม่พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร" ไป๋ยิ่งอันพึมพำอย่างหดหู่ "รู้อย่างนี้ หนูอยู่บ้านเก่าดีกว่า"

"แล้วลูกไม่ได้โทรศัพท์ไปถามเขาเลยหรอ ว่าช่วงนี้เขายุ่งอะไรนักหนาทำไมไม่กลับมาอยู่ด้วย"

"หนูโทรไปแล้วนะ แต่เขามักจะบอกว่าพักที่บริษัท อีกวันสองวันจะกลับมาหาหนู" ไป๋ยิ่งอัน ตอบ

ได้ยินเธอพูดแบบนี้ สวีหย่าหรงก็ค่อยๆคลายความโกรธลงบ้าง แล้วตอบว่า "ขอแค่เขาไม่ไปทำอะไรไม่ดีไม่งามข้างนอกก็พอ แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่างานอะไรที่ทำให้เขายุ่งจนไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะกลับมานอนกับภรรยา ซักคืนก็ไม่ว่างเลยหรอ?"

"หนูก็ไม่รู้ เขาบอกว่าช่วงนี้กำลังเข้าซื้อกิจการบริษัทขนาดใหญ่ ก็เลยยุ่งมาก" ไป๋ยิ่งอันอยู่ๆก็ยิ้มออกมา "แต่ว่าเขาเคยบอกว่าอีกสองสามวันจะส่งของขวัญชิ้นใหญ่มากๆมาให้หนู"

"จริงเหรอ? ของขวัญอะไรชิ้นใหญ่ ?" สวีหย่าหรงถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปที่ของขวัญแล้ว จึงถามขึ้นมาอย่างสงสัย

ไป๋ยิ่งอันส่ายหัว และยิ้มอย่างมีเลศนัย "เขาบอกจะเซอร์ไพรส์หนู"

"ถ้าเขาพูดแบบนี้ งั้นก็พิสูจน์ได้ว่า ในใจเขายังมีลูกอยู่"

"หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน ดูเขาไม่ออก" ไป๋ยิ่งอันถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

สวีหย่าหรงได้ยินว่าของขวัญชิ้นใหญ่ ในใจก็หายโกรธเป็นปลิดทิ้ง เธอนั่งลงข้างๆลูกสาวและพูดว่า " ถ้าลูกพูดแบบนี้ ในใจของหนานกงเฉินคงยังแคร์ลูกอยู่ คงจะงานยุ่งมากจริงๆ ดังนั้นลูกคงต้องเป็นฝ่ายรุกแล้วล่ะ"

"รุกยังไงคะ แม้แต่บ้าน เขายังไม่กลับมาเลย"

"ลูกเนี่ยนะ ชินกับการอยู่อย่างคุณหนูสุขสบาย ไม่รู้จะเอาใจผู้ชายอย่างไร แม่จะบอกให้ ผู้ชายเนี่ยชอบผู้หญิงที่โรแมนติกบนเตียง ลุกจากเตียงก็เป็นผู้หญิงที่มีมาด ดีที่สุดก็คือเป็นหญิงที่เข้าสังคมได้ดี ดูแลบ้านทำอาหารก็ได้ด้วย ในเมื่อลูกอยู่บ้านเบื่อๆ ก็ลองฝึกทำอาหาร ทำมื้อค่ำแสนอร่อยให้เขาสิ เพิ่มไวน์แดงซักสองแก้วให้โรแมนติก เอาใจให้เขามีความสุข ทำแบบนี้เขาจะไม่สนใจลูก? แม่ไม่เชื่อหรอก"

"แต่ว่า ทำกับข้าวมันยากนะแม่ หนูทำไม่เป็นหรอก"

"ทำไม่เป็นก็จ้างเชฟมาทำให้ก็ได้แล้วนี่" สวีหย่าหรงยิ้มอย่างอบอุ่น "ถ้าใส่อะไรลงไปในไวน์ซักหน่อย ยิ่งจะเพอร์เฟค"

"ไม่ได้หรอก หนานกงเฉินฉลาดขนาดนั้น ไม่มีทางที่จะไม่รู้ว่ามีอะไรในไวน์" ไป๋ยิ่งอันส่ายหัว

"งั้นก็ต้องดูฝีมือลูกเองแล้วล่ะ"

ไป๋ยิ่งอันคิดอยู่ซักพัก ก็คิดไม่ออกว่าจะทำยังไงดี จะว่าไป ถ้าไม่ลองซักตั้งก็คงไม่รู้สินะ

เซิ่งเคออยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนผู่เหลียนเหยา ส่วนเซิ่งซินก็ไปโรงเรียนยังไม่กลับมา เป็นแบบนี้มาหลายวัน

ในวันธรรมดาโต๊ะที่วุ่นวายก็เหลือแค่คุณผู้หญิงเซิ่ง และหนานกงเฉินสองคน

บรรยากาศที่คึกครื้น กลับกลายเป็นความเงียบสงัด แม้แต่คุณผู้หญิงก็รู้สึกว่าไม่ชิน เธอเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หนานกงเฉินที่กำลังวุ่นอยู่กับการกิน พร้อมถามว่า "ยิ่งอันแต่งเข้าบ้านไปตั้งหลายวันแล้ว ตั้งใจว่าจะกลับมาเมื่อไหร่?"

"งั้นคุณก็ระวังตัวด้วย"

"ค่ะ ฉันจะระวัง" ไปยิ่งอันมองไปที่สีหน้าอันกังวลของเขา เธอครุ่นคิดสักพักแล้วพูดว่า: "คุณชายใหญ่ ฉันจะไปซุปเปอร์มาร์เก็ตซื้อวัตถุดิบสำหรับมื้อเย็น ฉันทำอาหารเย็นให้คุณดีไหมคะ"

"คุณทำกับข้าว ? " หนานกงเฉินทำหน้าประหลาดใจ

"ใช่ค่ะ ฉันจะทำอาหารด้วยตัวฉันเองเลย ดังนั้นคุณต้องมากินให้ได้นะคะ"

"ภรรยาลงมือทำอาหารเองทั้งที ผมต้องไปอยู่แล้วล่ะ" หนานกงเฉินพยักหน้า

ไปยิ่งอันคิดไม่ถึงว่าเขาจะรับปากอย่างเต็มใจขนาดนี้ เธอรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที "จริงเหรอคะ งั้นดีเลย ฉันจะไปซื้อของตอนนี้เลย!"

"คุณไปเถอะ" หนานกงเฉินตอบ

หลังจากที่เธอหันหลังเดินออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าของหนานกงเฉินก็จางหายไป เขาผลักประตูและก้าวเข้าไปในห้องพักคนไข้

เขาเดินไปที่ด้านหน้าของเตียงผู่เหลียนเหยา มองลงไปหาเธอด้วยสายตาที่เย็นชา

และทันทีที่ผู่เหลียนเหยาเห็นเขา น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาเหมือนเปิดก๊อกน้ำ ตั้งแต่หัวจรดเท้า ... เต็มไปด้วยความคับแค้นใจและความโกรธ

หนานกงเฉินเฝ้าดูเธอเป็นเวลานานแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า: "คุณผู่ คุณช่วยบอกผมได้ไหมว่า ในเรื่องนี้คุณรับบทบาทอะไร"

"พี่......" ผู่เหลียนเหยาสำลักออกมาสองคำ

หนานกงเฉินรีบพูดต่อว่า: "ถ้าไม่ได้ความร่วมมือของผม แผนของคุณจะสำเร็จได้แบบนี้เหรอ เป็นไปไม่ได้แน่ๆ

ผมก็เลยสงสัย คุณทำแบบนี้เพียงเพื่อประโยชน์ของผมหรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นกันแน่? ถ้าทำเพื่อผม ทำไมคุณไม่บอกความจริงกับผมก่อนล่ะ คุณดันต้องใช้เวลามากมายเพื่อให้ผมค้นพบความจริงเองให้ได้”

“ พี่....ฉันจะมีจุดประสงค์อะไรได้ ” ผู่เหลียนเหยากระซิบ“ ตั้งแต่ฉันเข้าไปในบ้านตระกูลหนานกง เซิ่นเคอก็เตือนฉันแล้วว่าอย่าเดินเตร็ดเตร่ในบ้าน อย่าไปวุ่นวายกับคนในตระกูลหนานกง ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องของตระกูลหนานกง แต่ฉันก็อดไม่ได้ที่จะเห็นคุณโดนสาวสองคนนั้นหลอกเหมือนคนโง่ ฉันไม่อยากเห็นคุณเจ็บปวด”

"อันที่จริงตั้งแต่ไป๋ยิ่งอันกลับมาพร้อมกับทารกในอ้อมแขน ฉันก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ซุปไก่บนเตียงของเธอ ฉันตั้งใจเทลงไปเอง จุดประสงค์ก็คือ เพื่อให้คุณสองคนได้อาศัยอยู่ในห้องเดียวกัน และให้คุณดูท่าทีของเธอ เมื่อเผชิญกับความเจ็บป่วยของคุณ แล้วฉันก็ทำสำเร็จ แต่คุณดันหลงกลคำพูดไม่กี่คำของเธอ ฉันแนะนำให้ทุกคนในครอบครัวออกไปเที่ยวด้วยกัน ก็เพื่อให้คุณมีโอกาสได้อยู่กับพี่สาวน้องสาวคู่นั้นมากขึ้น

คุณจะได้เห็นสีหน้าที่แท้จริงของพวกเขา " ผู่เหลียนหยาใช้แขนเสื้อของเธอ เช็ดน้ำตาบนใบหน้า เธอยังคงส่งเสียงครวญคราง "แต่ฉันคิดไม่ถึงว่า ไป๋ยิ่งอัน จะรู้แผนของฉันก่อน แล้วยังซ้อนแผนทำให้ฉันประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างร้ายแรงแบบนี้"

" พี่ คุณจะเชื่อฉันไหม ถ้าก่อนหน้านี้ฉันบอกพี่ว่าไป๋ยิ่งอันเป็นคนจอมปลอม พี่จะเชื่อฉันเหรอ ไม่เชื่อหรอกใช่มั๊ยล่ะ?” ผู่เหลียนเหยาจ้องมองเขาอย่างฟูมฟายและถามออกมา

เธอไม่ได้บอกหนานกงเฉินเรื่องเด็ก ถ้าบอกเขา เขาจะต้องไปตามหาเด็กคนนั้นทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นเธอจึงพูดออกไปไม่ได้

หนานกงเฉินฟังเธอพูดจบ ก็ยิ้มอย่างเฝื่อนๆ: "พูดแบบนี้ แปลว่าที่คุณทำไปทั้งหมดก็เพื่อผม?"

"ฉันทำเพื่อตระกูลหนานกง" ผู่เหลียนเหยาตอบ "คุณย่าอายุมากแล้ว ฉันไม่อยากบอกเรื่องนี้กับเค้า กลัวเค้าจะเป็นลม"

"เรื่องนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องบอกคุณย่า" หนานกงเฉินยื่นมือไปหยิบทิชชูในลิ้นชักส่งให้เธอในที่สุด "ไม่ต้องร้องแล้ว เช็ดน้ำตาเถอะ"

ผู่เหลียนเหยารับทิชชูมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าออก แล้วพูดว่า "พี่ พี่เชื่อมั๊ยว่าตัวเองโดนหลอกอยู่? หรือว่าพี่คิดว่าฉันคิดไปเอง"

"พี่ต้องขอบคุณเธอมากๆ" หนานกงเฉินตอบ "ขอบคุณที่ทำให้พี่ได้เห็นความผิดปกติของพี่น้องคู่นี้มากขึ้น"

หากเธอไม่ได้สร้างสถานการณ์ และเปิดโอกาสให้เขาได้เห็นตัวตนของไป๋ยิ่งอันมากมายขนาดนี้ บางทีเขาอาจจะยังคงอยู่ในความมืด

"จริงเหรอคะ?"

"อืม"

น้ำตาของผู่เหลียนเหยาไหลออกมาอีกครั้ง "เมื่อกี๊พี่คงได้ยินที่เธอพูดหมดแล้ว ตอนนี้เธอดูพออกพอใจมาก ถ้าตอนนี้ไม่ใช่เพราะฉันขยับตัวอะไรไม่ได้ ฉันคงถูกยั่วโมโหจนลุกไปบีบคอเธอให้ตาย แต่ตอนนี้ก็ดีแล้วที่พี่รู้ความจริงว่าเธอคือคนหลอกลวง พี่คงมีวิธีจัดการของพี่ ส่วนฉันที่ได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้วล่ะ"

เธอพูดจบก็ยังจ้องไปที่หนานกงเฉิน แล้วพูดว่า " พี่ ฉันสงสัยมาก นี่ก็จะสองเดือนแล้ว พี่ไม่รู้สึกอะไรเลยซักนิดเหรอ?

หนานกงเฉินครุ่นคิดสักครู่แล้วส่ายหัว: "ไม่ พี่ไม่ใช่ไม่รู้สึก พี่แค่คิดไม่ถึงว่าเค้าจะกล้าทำกับพี่แบบนี้ พูดตรงๆ พี่คงเชื่อใจผู้หญิงคนนั้นมากเกินไป"

พูดถึงตอนนี้ หนานกงเฉินดูเหมือนจะหัวเราะเยาะตัวเองอยู่

"หรืออาจจะเป็นเพราะว่า ... พี่รู้สึกกับเค้าไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมาก......ดังนั้นก็เลย....... ... " หนานกงเฉินหัวเราะออกมาเล็กน้อยและเปลี่ยนน้ำเสียงของเขา: "แต่เธอไม่ต้องกังวล พี่จะจัดการเรื่องนี้เอง"

ผู่เหลียนเหยาพยักหน้า "ในเมื่อพี่จะจัดการเรื่องนี้เอง ฉันก็วางใจละ.....พี่.....ฉันรักเซิ่นเคอจริงๆ ฉันไม่กล้าลากเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับแผนของฉัน ถึงตอนนี้เขาก็ยังคงคิดว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์เป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ ดังนั้น ........ "

เธอกลืนน้ำลายลง แล้วไม่ได้พูดต่อ

หนานกงเฉินพยักหน้า "พี่เข้าใจ เรื่องอื้อฉาวแบบนี้พูดออกไป หน้าพี่ก็คงหม่นหมอง ดังนั้นพี่จะไม่ให้คนอื่นมารับรู้เรื่องนี้อีก รวมถึงคุณย่าและคนในตระกูลเซิ่นหลิน "

"อื้ม แบบนี้ฉันก็วางใจแล้ว" เมื่อครู่เพิ่งจะโดนไป๋ยิ่งอันยั่วโมโหจนปวดหัว แต่ในที่สุดผู่เหลียนเหยาก็ยิ้มออกมาได้

เธอเคยคิดว่าหนานกงเฉินคงไม่สนใจที่จะเปลี่ยนภรรยาของเขา ไป๋ยิ่งอันจึงกล้าปรากฏตัวต่อหน้าเธออย่างหยิ่งผยอง จนถึงตอนที่ หนานกงเฉินได้พูดเปิดใจออกมาไม่กี่คำนั้น เธอถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธก็ค่อยๆสงบลงทีละเล็กทีละน้อย

ที่แท้ เขาเป็นคนขอร้องหมอ ให้บอกเธอว่าแกล้งทำเป็นความจำเสื่อม ก็เพราะเหตุผลนี้นี่เอง!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด