เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 133

น่ารังเกียจ? เธอกล้าว่าเขาว่าน่ารังเกียจ?

เขาถึงกับวิ่งมาที่นี่ ใช้เธอเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ก็ถือว่าให้ความสำคัญแล้ว!

หลังจากที่เมื่อกี้วนรอบแม่น้ำข้างๆ สุดท้ายเขาก็จอดรถไว้ที่นี่ ความจริงเขาสามารถไปหาผู้หญิงคนอื่นก็ได้ แค่โทรไป ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงแบบไหนก็มีหมด แต่เขากลับมาที่นี่ ขนาดตัวเขาเองยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเลือกเธอ

หรือนี่คือการแก้แค้น? แต่การแก้แค้นมันมีหลายวิธี เขาสามารถปฏิบัติเหมือนกับไป๋ยิ่งอันได้ หาผู้ชายสักคนที่ร่างกำยำให้เธอจนเธอทนไม่ไหว แต่เขากลับไม่ได้ทำแบบนี้

ถ้าเกลียดเธอขนาดนั้นจริงๆ รังเกียจเธอ เขาจะให้เธอสัมผัสร่างกายเขาทำไม?

หนานกงเฉินยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจตัวเองก็ยิ่งใจร้อนควบคุมตัวเองไม่ได้ ถึงขนาดไม่สนใจไป๋มู่ชิงที่ขอให้ยกโทษอีกครั้ง บีบบังคับเธอใต้ร่างอย่างรุนแรง

เวลาผ่านไปนานพอสมควร ภายในห้องนอนสงบลงอีกครั้ง

ในที่สุดหนานกงเฉินก็เหนื่อยจนหลับไปแล้ว ไป๋มู่ชิงที่ถูกเขาโอบอยู่ในอ้อมกอดกลับไม่มีแม้แต่ความง่วง ได้ยินเสียงหายใจของเขาเป็นจังหวะสม่ำเสมอกัน เธอหลับตาลง หลังจากหายใจลึกๆก็บังคับให้ตัวเองสงบลง หลังจากนั้นเอาแขนของเขาย้ายออกไปจากตัวเองอย่างระมัดระวัง ลงจากเตียงให้เสียงเบาที่สุด

เธอเดินตามทางของห้องรับแขกออกไป เก็บมือถือของตัวเองกับชุดนอนขึ้นมา ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วส่องดูตัวเองในกระจกพร้อมทั้งจัดผม

สีหน้าเธอในกระจกแดงก่ำ ผมยุ่งเป็นกระเซิง ทั้งตัวส่งกลิ่นคนที่เพิ่งผ่านฉากรักมา ร่างกายปวดเมื่อยและแข้งขาอ่อนปวกเปียก คล้ายกับคนที่เพิ่งจะผ่านสงครามมา

เธอควรจะรู้สึกยินดีที่หนานกงเฉินไม่ได้ทำนิสัยออกนอกกรอบมากเกินไป และก็ไม่ได้ทำให้เธอบาดเจ็บ ไม่เช่นนั้นผ่านไปหนึ่งถึงสองชั่วโมง เธอต้องถูกทรมานจนหาทางกลับไม่ถูกอย่างแน่นอน

เธอใช้มือมาปิดหน้าตัวเองอย่างรู้สึกอับอาย เวลานี้ ขนาดตัวเธอเองยังดูถูกตัวเองเลย

หลังจากผ่านไปชั่วขณะ เธอเอามือทั้งสองข้างที่อยู่บนหน้าวางลง เปิดประตูกลับไปยังห้องของตัวเองเหมือนกับว่าหนีมา

ได้ยินเสียงประตูใหญ่ถูกปิดลง หนานกงเฉินที่อยู่บนเตียงก็ค่อยๆลืมตาขึ้น กลิ่นอายความชั่วร้ายออกมาจากดวงตาของเขา

หลังจากกลับมาบนเตียงของตัวเอง ไป๋มู่ชิงพลิกไปพลิกมานอนไม่หลับ พอหลับตาก็นึกถึงฉากที่หนานกงเฉินกดตัวเองไว้ใต้ร่างของเขา

ถึงแม้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเธอกับหนานกงเฉิน ขนาดลูกก็เคยเกิดมาแล้ว แค่ในตอนนี้สถานะไม่เหมือนกัน เขาเป็นสามีของไป๋ยิ่งอัน และในอีกไม่กี่วันเธอก็ต้องกลายเป็นภรรยาของหลินอันหนาน

ถ้าให้หลินอันหนานรู้เรื่องระหว่างเธอกับหนานกงเฉินที่สู้รบกันหลายร้อยรอบ ไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไง? คงโกรธจนอยากจะเด็ดหัวเธอให้ขาดสินะ?

พอนึกถึงหลินอันหนาน เธอก็คิดได้ว่าเมื่อสักครูนั้นตัวเองไม่ได้รับสายโทรศัพท์เขา ก็เลยหยิบมือถือที่อยู่หัวเตียงลงมา กดเปิดดู สายที่ไม่ได้รับทั้งหมดยี่สิบกว่าสาย ทั้งหมดเป็นสายของหลินอันหนานที่โทรมา

ทำยังไงดี? ไม่ได้รับสายเยอะขนาดนี้ เขาต้องกำลังคิดมากอยู่แน่เลย? เดิมทีหลินอันหนานแกล้งทำว่าไม่ได้ถือสาเรื่องหนานกงเฉินในใจเธอ คราวนี้คงกำลังสงสัยแน่ๆ

ไป๋มู่ชิงลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ตัดสินใจไม่โทรหาเขาสักพักแล้วกัน ทุกอย่างไว้รอเคลียร์พรุ่งนี้เถอะ

นอนไม่หลับทั้งคืนจนฟ้าสว่าง ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากเตียง ดูเวลาแล้วหลินอันหนานน่าจะตื่นและกำลังเตรียมตัวไปทำงานแล้ว ก็เลยหยิบโทรศัพท์มาโทรหาเขา

เสียงโทรศัพท์ดังสองเสียงก็ถูกคนรับทันที เสียงของหลินอันหนานดังออกมา:“มู่ชิง ทำไมคุณตื่นเช้าขนาดนี้?”

“วันนี้ฉันมีธุระต้องออกไปข้างนอก......” ไป๋มู่ชิงกลืนน้ำลาย พูดอย่างละอายใจเล็กน้อย:“เมื่อคืนคุณโทรหาฉันหลายสาย ฉันเพิ่งเห็นเมื่อกี้ อืม......มีธุระอะไรเหรอ?”

หลินอันหนานที่อยู่ปลายสายนั้นเงียบลงสักพัก เผลอหัวเราะเสียงเบาออกมา:“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้นง่ายไปหน่อย อยากโทรไปหาเธอก่อนนอน”

“อ๋อ ขอโทษนะ ฉันปิดเสียงเอาไว้ตอนนอนน่ะ” ไป๋มู่ชิงไม่แน่ใจว่าหลินอันหนานความจริงแล้วกำลังสงสัยอะไรอยู่ โชคดีที่เขาไม่ได้บังคับถามว่าได้เจอหนานกงเฉินบ้างหรือเปล่า ไม่งั้นเธอก็คงไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี

หลังจากที่หลินอันหนานไตร่ตรองสักพัก ก็เปลี่ยนคำถาม:“มู่ชิง วันนี้คุณไปทำธุระอะไรเหรอ? ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหม?”

“ไม่ต้องหรอก ฉันแค่ไปส่งลูกอมมงคลในวันแต่งงานที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร” ไป๋มู่ชิงยังคงไม่ได้บอกเขาเรื่องที่เธอกำลังจะไปเจอลูกสาว

เมื่อวานซูซี่บอกกับเธอว่าที่โรงพยาบาลมีทารกเพศหญิงคนหนึ่งหน้าตาคล้ายกันกับเธอมาก วันนี้จะไปที่คลินิก ให้เธอมาดูหน่อย

เด็กทารกที่เพิ่งจะสองขวบสามารถมองออกเลยเหรอว่าคล้ายกับเธอ? เธอสงสัยนิดหน่อย แต่กลับมีความหวัง

หลังจากวางสาย ไป๋มู่ชิงเดินไปเปลี่ยนเสื้อที่หน้าตู้เสื้อผ้า พอถอยออกมามองชุดนอนบนตัวของเธอเองก็พบว่าเต็มไปด้วยร่องรอยจากเมื่อคืนที่หนานกงเฉินทิ้งไว้ให้เธอ

เธอมองตัวเองในกระจกอย่างตะลึงงัน ในใจคิดว่าผู้ชายคนนี้อำมหิตเกินไปหน่อย ถึงทำให้ร่างกายเธอเป็นแบบนี้ได้ แบบนี้ สามวันให้หลังเธอจะใส่ชุดแต่งงานยังไง? คืนแต่งงานใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอีกสามวันถ้าถูกหลินอันหนานเห็นร่องรอยพวกนี้จะทำยังไงอีก?

ให้ตายเถอะ เธอไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ

เพื่อปกปิดรอยที่น่าอายพวกนี้ เธอต้องหาเสื้อผ้าแขนยาวใส่

ขณะที่ไป๋มู่ชิงเดินออกมาจากห้องนอน จูฮุ่ยกำลังทำอาหารเช้า ก็เลยเรียกไปใช้งาน:“มู่ชิง เอาขยะไปทิ้งหน่อย เหม็นจะตายแล้ว”

ไป๋มู่ชิงขานตอบรับ หิ้วขยะแล้วเดินไปที่หน้าประตู

เอาขยะไปทิ้งในถังขยะใหญ่ที่อยู่ตรงบันไดดับเพลิง ขณะที่ไป๋มู่ชิงกำลังเดินกลับ เห็นว่าประตูห้องข้างๆเปิดพอดี จะหลบก็คงไม่ทัน เงาของหนานกงเฉินปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ

แต่พอเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืนแล้ว แม้ว่าหลบไม่ทันก็ต้องหลบ เธอหมุนตัวแล้วเริ่มกดรหัสที่ประตูห้องอย่างเร่งรีบ เธอกลับกดผิดไปสองครั้ง

ขณะที่เธอรีบจนเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาที่ขมับนั้น หนานกงเฉินที่มองดูเหตุการณ์ในที่สุดก็ก้าวเท้าเดินมาหาเธอ ยื่นมือมาจับข้อมือเธอให้หันกลับไป จ้องเขม็งเธอแล้วยิ้มเยาะ:“ทำไม? เมื่อคืนยังสู้รบกับฉันอยู่เลย วันนี้ส่ายหน้าไม่ยอมรับกันแล้ว”

ตอนพูด ร่างกายของเขาก็ดันเข้ามา ดันเธอไปติดกับประตู

“หนานกงเฉิน คุณช่วยทำตัวให้เหมาะสมหน่อย!” ไป๋มู่ชิงเตือนเสียงต่ำ เขากำลังทำอะไร? นี่มันที่สาธารณะนะ ถ้าถูกแม่ของเธอได้ยินหรือเห็นเข้าจะทำยังไง?

หนานกงเฉินไม่สนใจการข่มขู่ของเธอ พูดยิ้มๆ:“เธอเป็นฝ่ายยั่วฉันตลอด ตอนนี้ฉันก็แค่อยากเป็นเธอบ้าง ทำไม? มีสามีแล้วก็ไม่ต้องการชายชู้แล้ว?”

เขากลับบอกว่าตัวเองอยู่ในสถานะชายชู้ ไป๋มู่ชิงหมดคำจะพูด

เธอใช้แรงผลักเขาไปด้านข้าง ข้อมือเขาออกแรงดันที่กำแพง ไม่ขยับเลยสักนิด เธอโมโหแล้ว:“คุณจะเอายังไงกันแน่?”

“ไม่ยังไง? ก็แค่อยากจะมอนิ่งคิสให้คุณเท่านั้นเอง” หนานกงเฉินระหว่างที่พูด ฝ่ามือของเขาก็ลูบไปที่ใต้คางของเธออย่างเบามือ หลังจากนั้นก็ใช้แรงดันหน้าให้เงยขึ้นมา ก้มหน้าไปจูบที่ริมฝีปากของเธอ

เธอยิ่งคิดที่จะขับไล่เขา เขาก็ยิ่งอยากทรมานเธอ เมื่อคืนเขาตั้งใจทำรอยประทับไว้บนร่างเพื่อหลงเหลือไว้ให้เขา

ไป๋มู่ชิงดิ้นเพื่อจะหันศีรษะกลับ หนานกงเฉินกลับใช้มือข้างหนึ่งรั้งที่ท้ายทอยเธอไว้ ทำให้เธอไม่สามารถขยับตัวได้

กลัวว่าจะถูกแม่ที่อยู่ด้านในห้องได้ยินเข้า ไป๋มู่ชิงไม่กล้าพูดเสียงดัง และไม่กล้าทำอะไรที่มันเอิกเกริก เพราะเวลานี้เธอถูกหนานกงเฉินดันไปติดที่ประตู ถ้ามีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยเกรงว่าคนด้านในก็จะได้ยิน

จนกระทั่งได้ยินเสียงหลงของจูฮุ่ยจากด้านใน น้ำเสียงวิตกกังวล:“เสี่ยวอี้…...เสี่ยวอี้เป็นอะไรไป”

ไป๋มู่ชิงตกใจ คิดไปถึงเสี่ยวอี้จะเกิดเรื่องขึ้นตามสัญชาตญาณ

“มู่ชิง! มู่ชิงเธอไปมุดหัวอยู่ที่ไหน? รีบกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ……!” จูฮุ่ยยังคงพูดอย่างต่อเนื่อง

หนานกงเฉินถึงแม้ว่าจะไม่รู้สถานการณ์ที่ชัดเจน แต่เขาสามารถรับรู้ได้ว่าเกิดเรื่องขึ้น เขาถอยหลังไปไม่กี่ก้าว ไป๋มู่ชิงก็กดรหัสอย่างเร่งรีบ หลังจากนั้นก็ผลักประตูเข้าไป

พอเธอเข้าไป ก็เห็นว่าเสี่ยวอี้เป็นลมอีกแล้ว

“เสี่ยวอี้……” เธอรีบพยุงเสี่ยวอี้ขึ้นมาจากที่พื้นอย่างกระวนกระวายใจ กอดเขาไปด้วยพูดอย่างร้อนใจไปด้วย:“แม่ รีบโทรหาแผนกฉุกเฉิน…...เร็วเข้า”

จูฮุ่ยล้มลุกคลุกคลานรีบวิ่งไปโทรศัพท์หาแผนกฉุกเฉิน ไป๋มู่ชิงจะอุ้มเสี่ยวอี้ลงมาชั้นล่างเพื่อรอรถพยาบาล แต่ถึงแม้ว่าเสี่ยวอี้จะผอมมาก แต่ยังไงซะเขาเป็นถึงเด็กอายุหกเจ็ดขวบ น้ำหนักยี่สิบกว่ากิโลกรัมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่เธอจะอุ้มขึ้นมา

ในช่วงที่เธอกำลังออกแรงนั้น ขณะที่กำลังอุ้มเสี่ยวอี้ขึ้นมาจากพื้นอย่างยากเย็น ข้อพับด้านในของเสี่ยวอี้ก็ถูกคนรับไป

“ฉันเอง” หนานกงเฉินรับเสี่ยวอี้เสร็จก็รีบหมุนร่างเดินเร็วออกไปทางประตู

ไป๋มู่ชิงมึนๆงงๆ แล้วรีบร้อนเดินตามออกไป

หนานกงเฉินไม่ได้ให้เสี่ยวอี้รอรถพยาบาลด้านล่าง แต่กลับอุ้มเสี่ยวอี้ไปที่รถของเขา และขับด้วยความเร็วสูงสุดไปยังโรงพยาบาลหงเอิน

จูฮุ่ยร้องไห้ตลอดทาง ไป๋มู่ชิงนั้นกอดร่างของเสี่ยวอี้และก็สั่นไปด้วย ถึงขนาดว่าเธอไม่ได้สนใจว่าในเวลานี้ที่นั่งของคนขับเป็นหนานกงเฉิน

ชีวิตของเสี่ยวอี้สำคัญกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ข้อนี้เธอรู้ดี

หลังจากที่อุ้มร่างของเสี่ยวอี้มาที่แผนกฉุกเฉิน เสี่ยวอี้ก็ถูกคุณหมอพาเข้าห้องไอซียู หลังจากที่ประตูของห้องไอซียูปิดลง โถงทางเดินก็เงียบสงัดได้ยินเพียงแต่เสียงร้องไห้ของจูฮุ่ย

ไป๋มู่ชิงเดินมาที่ข้างๆจูฮุ่ย จับมือของเขาแล้วปลอบใจ:“แม่ แม่อย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย เสี่ยวอี้ไม่เป็นไรหรอก”

พอเจอกับการปลอบใจของเธอ จูฮุ่ยกลับเอามือของทั้งสองเธอสะบัดออกไปจากแขนของตัวเอง แล้วตำหนิอย่างโมโห:“ให้เธอไปทิ้งขยะทำไมเธอไปนานขนาดนั้นล่ะ? ถ้าเกิดว่าเสี่ยวอี้จากไปอย่างนี้จริงๆจะทำยังไง? เธอไม่ละอายใจต่อเขาเหรอ?”

ไป๋มู่ชิงชินกับความไม่มีเหตุผลของแม่นานแล้ว และก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรกลับ กลับเงยหน้ากวาดสายตาไปที่หนานกงเฉินที่กำลังจะเตรียมตัวหมุนร่างออกไปจากที่นี่ สัมผัสได้ถึงสายตาที่เขามองมาพอดี

สายตาอันเยือกเย็นของเขา กลับไม่มีแม้แต่ความละอายใจ

ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะโมโห ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เธอจะไปนานขนาดนั้นเหรอ?

เวลานี้จูฮุ่ยก็นึกถึงหนานกงเฉิน นึกถึงความดีของเขาที่อุ้มเสี่ยวอี้ลงมาด้านล่างแล้วส่งมาที่โรงพยาบาล ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ช่วงเวลาเร่งด่วนอย่างนี้ คาดว่าพวกเขาคงต้องรอรถพยาบาลอยู่ที่บ้าน

เธอปาดน้ำตาที่อยู่บนหน้า แล้วพูดกับหนานกงเฉินว่า:“คุณชายหนานกง ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือเมื่อกี้นี้”

หนานกงเฉินมองไปที่ไป๋มู่ชิงแวบนึง พูดว่า:“ผมไม่ได้กำลังช่วยพวกคุณ แต่กำลังช่วยเสี่ยวอี้ พวกคุณไม่ต้องรู้สึกว่าเกรงใจหรอก”

พูดจบ เขาหมุนร่างเดินจากไป

ไป๋ยิ่งอันถูกทรมานทั้งคืน จนถึงตอนที่ฟ้าใกล้จะสว่าง ในที่สุดหลัวเซินก็เหนื่อยจนได้ นอนหลับพิงอยู่บนเตียง

ไป๋ยิ่งอันปวดเมื่อยทั้งตัว ใกล้จะเป็นเหน็บชา เธออยากจะใช้เท้าถีบผู้ชายที่น่าสะอิดสะเอียนคนนี้ลงจากเตียงไป กลับไม่มีแรง ถึงขนาดว่าแรงลงจากเตียงยังไม่มีเลย

เธอที่ไม่มีแรงจะโต้เถียงกับผู้ชายคนนี้นั้น ทำได้แค่ดิ้นรนลงมาจากบนเตียง ย้ายไปทางห้องนอน

เธอทั้งเหนื่อยทั้งง่วง พอได้สัมผัสกับเตียงก็ง่วงจนหลับไป

ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน จนกระทั่งประตูห้องมีเสียง'ปังๆ' เธอถึงจะตื่นขึ้นมาจากหลับไหล ได้ยินเสียงของหลัวเซินดังมาจากประตู:“คุณหนูไป๋ คุณอยู่ข้างในหรือเปล่า?”

พอได้ยินเสียงที่น่ารังเกียจนี้ ไป๋ยิ่งอันก็รีบเอาตัวเองขดตัวเข้าไปในผ้าห่ม กลั้นหายใจ สักนิดก็ไม่กล้าที่จะขยับ

หลังจากที่หลัวเซินส่งเสียงอยู่ที่ประตูสักพัก ก็พูดเสียงดัง:“คุณหนูไป๋ ผมมาลาคุณ ผมจะไปทำงานแล้ว” เว้นช่วงสักพักแล้วพูดต่อ:“เมื่อคืนมีความสุขมาก หวังว่าครั้งหน้าจะยังมีโอกาสได้เจอกับคุณหนูไป๋อีกนะครับ”

“ออกไป!” ไป๋ยิ่งอันทนไม่ไหวก็เลยตะโกนออกไป

หลัวเซินที่อยู่หน้าประตูยิ้ม:“ก็ได้ ดูแล้วคุณหนูไป๋ยังคงอายอยู่ งั้นไว้เจอกันนะครับ”

เสียงเท้าที่ด้านนอกประตูห่างไกลออกไป หลังจากที่รู้ว่าหลัวเซินออกไปแล้ว ไป๋ยิ่งอันก็แอบถอนหายใจออกมา

นอนไปงีบนึง ความเจ็บปวดบนร่างกายก็เริ่มเบาลง แต่ความปวดเมื่อยยังคงหนักอยู่

จู่ๆโทรศัพท์ที่วางไว้บนหัวเตียงก็ดังขึ้น เธอหยิบมือถือขึ้นมาดู ขณะที่เธอเห็นว่าเบอร์โทรศัพท์ที่ปรากฏบนหน้าจอนั้นเป็นหนานกงเฉิน ก็รีบลุกจากเตียงขึ้นมาอย่างตกใจ

หนานกงเฉินโทรมาหาเธอตอนนี้? เพื่ออะไรกันแน่? คงไม่ใช่เพราะว่ารู้สึกตัวเรื่องที่เมื่อคืนเธอกับคนขับรถอยู่ด้วยกันหรอกนะ?

กำโทรศัพท์ในมือ ไป๋ยิ่งอันทนไม่ไหวเริ่มจิตใจว้าวุ่น ถ้าให้หนานกงเฉินรู้ว่าเมื่อคืนเธอกับคนขับรถทำอะไรกันทั้งคืน คงจะโมโหจนอยากจะเด็ดหัวเธอให้ขาดเป็นแน่? ไม่ เธอจะให้เขารู้ไม่ได้ ไม่เด็ดขาด!

เธอเอาโทรศัพท์ปิดเข้าที่หน้าอกแล้วหายใจเข้าลึกๆ หลังจากที่กระแอมเสียงในลำคอแล้วค่อยกดปุ่มรับสาย

“คุณชายใหญ่……” เธอเรียกเสียงเบา

“ตื่นเช้าขนาดนี้เลยหรอ?” หนางกงเฉิน เสียงปลายสายที่ถามอย่างนุ่มนวล

“อือ เพิ่งตื่น”

“เมื่อคืนนอนหลับดีไหม?”

“ก็ดีนะ……” ในใจไป๋ยิ่งอันสงสัยนิดหน่อย เมื่อคืนหนานกงเฉินดื่มยาในไวน์นั่นเหมือนกับเธอ เธอรู้สึกว่าตนเองถูกไฟราคะดันจนเกือบจะระเบิดอยู่แล้ว เขากลับสามารถออกจากบ้านพักตากอากาศไปจัดการเรื่องเร่งด่วนได้? เป็นไปได้ยังไง?

“คุณ…...เมื่อคืนไปไหนเหรอ? ทำไมจู่ๆก็หายไป” เธอถามสิ่งที่สงสัยอยู่ในใจ

หนานกงเฉินยิ้มเล็กน้อย:“เดิมทีมีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ แต่สุดท้ายดื่มเยอะเกินไปจัดการไม่ไหวจริงๆ ก็เลยพักอยู่ที่คอนโดทั้งคืน”

“อ๋อ……” ไป๋ยิ่งอันตอบรับ ในใจเก็บความรู้สึกไม่ค่อยจะอยู่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด