เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 142

คุณชายเฉิน รอก่อน ซูซี่วิ่งออกมาจากห้องขวางเขาไว้ : "ฉันนึกออกแล้ว ไป๋มู่ชิงน่าจะไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเฉิงเป่ยค่ะ"

หนานกงเฉินขมวดคิ้วถาม: "ไปทำอะไรที่บ้านเด็กกำพร้า?"

"น่าจะเบื่องานเลี้ยงน่ะ" ซูซี่ตอบ "คุณก็รู้ว่ามู่ชิงเป็นคนชอบเด็ก ขี้ใจอ่อน ยิ่งเป็นเด็กในบ้านเด็กกำพร้ายิ่งแล้วใหญ่"

"ชอบเด็กเหรอ?" หนานกงเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดเย้ย

ซูซี่พยักหน้า : "ใช่สิ........."

เธอยังไม่ทันพูดจบ หนานกงเฉินก็เหยียบคันเร่งขับรถออกจากบ้านตระกูลเฉียวแล้ว

ซูซี่ยืนมองรถจนลับสายตา ก่อนจะถอนหายใจแล้วเตรียมกลับเข้าบ้าน พอหันมาก็พบว่าเฉียวซือเหิงมายืนอยู่ด้านหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

"อาลัยอาวรณ์ขนาดนี้เลยเหรอ?" เฉียวซือเหิงพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

ซูซี่ปรายตายมองเขานิดหนึ่ง ก่อนจะทำหน้าไม่สนใจเดินเฉียดตัวเขาเข้าบ้านไป

ไป๋มู่ชิงรอจนเจ้าหน้าที่เดินออกไปเอาน้ำให้เธอ ก่อนจะรีบใช้กรรไกรตัดผมเด็กทารถเล็กน้อยแล้วเอากระทิชชู่ห่อไว้ ขณะที่เธอกำลังจะวางกรรไกรลงในกล่อง ก็ได้ยินเสียงเดินของเจ้าหน้าที่ดังมาจากทางประตูพอดี

เธอหันกลับมารับน้ำจากเจ้าหน้าที่พร้อมกล่าวขอบคุณ

ตามด้วยเจ้าหน้าที่อีกคนก็เดินเข้ามาและพูดกับไป๋มู่ชิงว่า:"นายหญิงน้อย คุณชายเฉินมารับค่ะ ท่านให้นายหญิงลงไปข้างล่างค่ะ"

"คุณชายเฉิน?" ไป๋มู่ชิงตกใจ รีบยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา จะสามทุ่มแล้ว งานเลี้ยงบ้านตระกูลเฉียวก็น่าจะใกล้เลิกแล้ว!

ว่าแต่ทำไมหนานกงเฉินถึงรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ล่ะ? แล้วนี่ยังมารับอีก

เธอไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ก็รีบเดินตามเจ้าหน้าที่ลงไปด้านล่าง เธอได้ยินเสียงผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าพูดด้วยน้ำเสียงยินดีและนอบน้อมแว่วมาไกลๆ: "เดี๋ยวนี้องค์กรที่ใจดีเช่นนี้มีน้อยนัก ดิฉันต้องขอบคุณแทนเด็กบ้านเด็กกำพร้าเป็นอย่างมากค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ...."

ไป๋มู่ชิงได้ยินดังนั้นก็หน้าชาไปหมด เมื่อกี้เธอแค่ต้องการหาทางเข้ามาดูเด็ก จึงได้อ้างไปว่าหนานกงกรุ๊ปต้องการบริจาคเงินให้บ้านเด็กกำพร้า แต่มันไม่ใช่เรื่องจริงนะ!

เธอไม่กล้าก้าวออกไป สองมือเกาะผนังไว้ค่อยๆยื่นหน้าออกไปมอง เห็นสีหน้าหนานกงเฉินดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่

เจอผู้อำนวยการพูดแบบนี้เข้าเขาจะไม่บริจาคก็ไม่ได้แล้ว องค์กรใหญ่ขนาดนี้บริจาคน้อยก็จะดูไม่ดี บริจาคมากก็......

งานนี้ เขาถูกเข้าใจผิด เธอเป็นคนทำให้เขาถูกเข้าใจผิดเอง

เธอไม่รู้จะแก้ไขเรื่องนี้ยังไง จนพบกับสายตาหนานกงเฉินที่มองมา เธอตกใจจนรีบหดตัวกลับ

ไป๋มู่ชิงรู้ว่าจะหลบแบบนี้ไปตลอดก็ไม่ได้ เธอจึงทำใจกล้าเดินออกมาพร้อมยิ้มกว้างไปหาผู้อำนวยการ: "ผอ.เหอคะ เมื่อกี้ฉันเข้าไปดูเด็กๆเห็นว่าเตียงเด็กๆเก่ามากแล้ว พวกเราตัดสินใจบริจาคเงินห้าหมื่นซื้อเตียงใหม่ให้เด็กๆผอ.ว่าดีมั้ยคะ?"

ผู้อำนวยการมองมาที่เธออย่างแปลกใจ ก่อนพูดเบาอย่างไม่รู้ตัว : "ห้าหมื่น?"

ใช่ค่ะ ประเมินว่าน่าจะห้าหมื่นพอมั้ยคะ ไป๋มู่ชิงปรายตามองหนานกงเฉินแวบหนึ่ง นึกในใจห้าหมื่นสำรับเขาแล้วเล็กน้อยมากๆแล้ว

ผู้อำนวยการอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติจึงรีบยิ้มพยักหน้าตอบ: "พอค่ะ ห้าหมื่นพอที่จะซื้อเตียงนอนให้เด็กๆแล้วค่ะ ขอบคุณพวกคุณมากจริงๆ"

เงินห้าหมื่นสำหรับหนานกงกรุ๊ปแล้วมันอาจจะดูน้อยมาก แต่สำหรับบ้านเด็กกำพร้าแล้วมันเป็นเงินก้อนใหญ่เลยล่ะ หลังจากตกใจไปเล็กน้อยผู้อำนวยการก็กลับมายิ้มดีใจอีกครั้ง

"ผอ.เหอ คุณฟังผิดแล้ว คือห้าล้าน ไม่ใช่ห้าหมื่น" หนานกงเฉินพูดขึ้น

ทำเอาทุกคนที่ยืนอยู่ตกใจกันใหญ่ รวมทั้งไป๋มู่ชิงด้วย ขณะที่เธอรู้สึกตกใจก็รู้สึกผิดปนไปด้วย เป็นเพราะเธอพูดอ้างแบบนั้น เลยทำให้เขาต้องมาเสียเงินถึงห้าล้าน คืนนี้กลับไปเธอต้องแย่แน่ๆ

เธอมองไปที่หนานกงเฉิน คงมีแต่เธอมั้งที่มองออกว่ารอยยิ้มของเขาแฝงด้วยความโมโหมากมาย

"ห้าล้าน?" กว่าผู้อำนวยการเหอจะได้สติก็พักใหญ่ จ้องมองไปที่หนานกงเฉินด้วยความเหลือเชื่อ

ห้าหมื่นอาจดูน้อยไปสำหรับถานะระดับเขา แต่ห้าล้านมันจะไม่มากไปหน่อยเหรอ?

"ใช่ครับ ห้าล้าน พรุ่งนี้จะให้ผู้ช่วยดำเนินการเรื่องนี้ให้" หนานกงเฉินพูดเสร็จก็ยกแขนขึ้นโอบไหล่ไป๋มู่ชิง แล้วหันมาพูดกับผู้อำนวยการเหอ: "ดึกมากแล้ว พวกเราไม่รบกวนท่านผอ.เหอแล้วนะครับ"

"ไม่รบกวนไม่รบกวนเลย......" ผู้อำนวยการเหอรีบพูดขึ้น: "ดิฉันพาพวกคุณทั้งสองออกไปดีกว่าค่ะ"

ระหว่างที่พาพวกเขาออกมาเธอก็ยังกล่าวขอบคุณเขาทั้งสองไม่หยุด จนกระทั้งรถได้ขับออกไปจากประตูบ้านเด็กกำพร้า

รถขับออกมาได้พักหนึ่ง หนานกงเฉินยังไม่มีวี่แววจะระเบิดอารมณ์ใดๆ ไป๋มู่ชิงทนอึดอัดไม่ไหวหันไปมองเขาแวบหนึ่ง เห็นเขาเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง ตามองไปข้างหน้า ท่าทางตั้งหน้าตั้งตาขับรถ

เขาไม่ได้ต่อว่าเธอที่แอบหนีออกมาโดยไม่ได้บอกกล่าว และไม่ต่อว่าที่เธอทำให้เขาต้องมาเสียเงินตั้งห้าล้าน ยิ่งเขาไม่ต่อว่าอะไรเธอแบบนี้ไป๋มู่ชิงยิ่งรู้สึกกังวลใจมากขึ้น มันเหมือนคลื่นลมสงบก่อนพายุลูกใหญ่จะมา

เพื่อไม่ให้ตัวเองตายอนาถเกินไป เธอเริ่มเอ่ยปากขอให้เขายกโทษ : "คือฉัน....ตอนอยู่บ้านตระกูลเฉียวรู้สึกเบื่อไม่รู้จะทำอะไร เลยแอบหนีออกมา ไม่นึกว่าคุณจะออกจากงานเร็วแบบนี้ ฉันตั้งใจจะกลับไปบ้านตระกูลเฉียวให้ทันเวลาอยู่นะคะ"

หนานกงเฉินก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน เขานึกว่าเธอจะถือโอกาสนี้หนีไปซะอีก ไม่คิดว่าจะแอบมาเที่ยวที่บ้านเด็กกำพร้าแบบนี้

ริมฝีปากของเขาคลายลงอย่างเห็นได้ชัด จากใจที่โกรธจนรุ่มร้อนไปหมดค่อยๆสงบลงเล็กน้อย

ไป๋มู่ชิงพูดต่อ: "ส่วนเรื่องเงินบริจาค ต้องขอโทษด้วยค่ะ ฉัน......ฉันแค่อ้างกับผู้อำนวยการเหอไปแบบนั้น ไม่นึกว่าเขาจะคิดว่าเป็นเรื่องจริง เลยทำให้คุณต้องมาสูญเงินไปก้อนใหญ่ขนาดนี้ ขอโทษจริงๆค่ะ"

เงินแค่นี้สำหรับหนานกงเฉินแล้วไม่ได้มีผลอะไรเลย เขาแทบไม่ได้ใส่ใจ แต่ที่ทำให้เขาโมโหหนักคือเธอแอบหนีออกมาไม่บอกไม่กล่าว แล้วยัง.....ประโยคที่ซูซี่พูดอีก 'ไป๋มู่ชิงชอบเด็กมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว'

จนกระทั้งรถมาจอดหน้าบ้าน หนานกงเฉินจึงหันมามองเธอและถาม "เธอชอบเด็กมากเหรอ? ชอบมากถึงขนาดต้องหนีออกมาแบบนี้เลยเหรอ?"

ไป๋มู่ชิงเย็นไปถึงขั้วหัวใจ ความนิ่งสงบเมื่อครู่มันคือคลื่นลมสงบก่อนพายุจะซัดกระหน่ำจริงๆ!

"ขอโทษค่ะ ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีก"

"ฉันถามว่าเธอรักเด็กมากเหรอ"

"ฉัน......" ไป๋มู่ชิงหลบสายตาเขาลนลานก่อนจะรีบเปิดประตูรถ : "คุณชายเฉิน ฉันเข้าไปก่อนนะคะ คุณขับรถกลับดีๆค่ะ"

เธอลงจากรถแล้วรีบเดินเข้าบ้านไป คิดว่าเธอหนีมาแบบนี้ หนานกงเฉินก็คงจะขับรถออกจากคฤหาสน์ทันที แต่เธอไม่คิดว่าเธอเข้ามาไม่ทันใด หนานกงเฉินก็ตามเข้ามาทันที

"เธอหนีอะไร?" หนานกงเฉินล็อคตัวเธอไว้ตรงราวบันไดเพื่อไม่ให้เธอเดินหนีขึ้นไป สายตาที่มองเธอมีแววโมโหขึ้นมาเล็กน้อย: "ขณะที่ฆ่าลูกตัวเองอย่างเลือดเย็น ก็ออกไปทำความดีบริจาคเงินตามสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอกำลังคิดจะทำอะไร? จะทำให้เห็นว่าเธอรักเด็ก? หรือเพื่อชะล้างบาปที่ตัวเองเคยก่อ จะได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง?"

ไป๋มู่ชิงถูกเขาต้อนจนหลบหนีไปทางไหนไม่ได้ รังสีความน่ากลัวในเขาตัวแผ่มาล้อมรอบตัวเธอจนเธอรู้สึกหวาดหวั่นใจไปหมด เธอส่ายหน้าปฏิเสธ: "ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้ลูกต้องตาย ฉันไม่รู้ว่าไป๋ยิ่งอันจะทำแบบนี้ เขารับปากแล้วว่าจะดูแลลูกให้อย่างดี ฉันขอโทษ.....คุณชายเฉิน คุณเลิกตั้งคำถามเรื่องลูกกับฉันทีได้มั้ย? เลิกพูดกระทบกระทั่งเรื่องลูกกับฉันซะทีได้มั้ย? ฉันเองก็ทุกข์ทรมานใจไม่น้อยไปกว่าคุณเลย ฉันผิดไปแล้วจริงๆ ฉันผิดไปแล้ว......"

เธอรู้ว่าคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของเฉียวซือเหิงกระทบใจเขาอย่างมาก และรู้ว่าพฤติกรรมของเธอดูแล้วน่าประหลาดใจ แต่เธอไม่อยากให้เขาคิดถึงลูกที่น่าสงสารคนนี้อีกแล้ว และไม่อยากให้เขานำเรื่องลูกมาทำร้ายเธอและทำร้ายตัวเองอีก

เธออยากให้เขารีบลืมเรื่องลูกให้ได้ อย่าเอามาทรมานตัวเองอีกเลย

หนานกงเฉินเองก็ใช่ว่าไม่อยากลืม ถ้าลูกตายเพราะความบกพร่องแต่กำเนิด ถึงเขาจะต้องเศร้าเสียใจมากแต่ก็คงทำใจได้ในที่สุด แต่นี่มันมีการวางแผนชั่วร้ายมากมาย จะให้เขาปล่อยวางง่ายๆได้ยังไง?

"เธอไม่เคยรู้สึกผิดจริง ลูกตายทั้งคนเธอไม่เคยถามไถ่ ในใจคิดแต่เรื่องจะแต่งงานกับหลินอันหนาน แบบนี้เรียกว่ารู้สึกผิดเหรอ?" หนานกงเฉินเบียดเข้าใกล้เธอมากขึ้นอีก จนกระทั้งตัวเธอเอนออกนอกราวบันไดไปกว่าครึ่ง เขายังจ้องมองเธอด้วยสีหน้าเย็นชา: "ทำไมต้องกลัวฉันพูดถึงลูก? เพราะรู้สึกผิดใช่มั้ย? เธอรู้สึกผิด!"

"อ๊ะ.....!" ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตกจากบันได เธอร้องตกใจก่อนจะเอาแขนคล้องคอหนานกงเฉินไว้ พูดอย่างตะโหนก: "คุณชายเฉิน คุณปล่อยฉันก่อนค่ะ ฉันจะตกลงไปอยู่แล้ว!"

หนานกงเฉินไม่ได้ปล่อยเธอ แต่กลับยังคงจ้องมองเธอในระยะประชิดมากขึ้น ราวกับว่าถ้าเธอไม่ตอบว่าไม่รักลูกคนนี้ ก็จะไม่ยอมหยุดง่ายๆ

ไป๋มู่ชิงตกใจจนหน้าซีด ไม่สนใจแล้วว่าเธอใส่กระโปรงสั้นอยู่ เธอตวัดขาทั้งสองข้างเกี่ยวพันเอวเขาไว้

จากที่กระโปรงเธอไม่ยาวอยู่แล้ว พอยกขาขึ้นไปพันบนตัวเขาแบบนี้ขาเรียวยาวและขาวผ่องทั้งสองข้างก็โผล่ออกมาให้เห็นอย่างแจ่มชัด

เธอตื่นตกใจจนเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก

หนานกงเฉินในเวลานี้ไม่ได้เดือดเพราะโมโหอย่างเดียว ยังเดือดเพราะไฟราคะที่กำลังก่อตัวขึ้นด้วย

หนานกงเฉินไม่ได้ปล่อยเธอ แต่มือใหญ่ที่อุ่นร้อนเริ่มลูบไล้ไปมา

"หนานกงเฉินคุณจะทำอะไร!"

"ฉันจะทำอะไรได้? เธอไม่ได้ยั่วยวนฉันอยู่เหรอ?" หนานกงเฉินก้มหน้ามองเธอที่พันอยู่บนตัวเขาแวบหนึ่ง

ไป๋มู่ชิงมองตามสายตาเขาก็พบว่าตัวเองกำลังเกาะเขาด้วยท่าทางที่สุดจะวาบหวิว หน้าเธอแดงรื่นขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบปล่อยมือจากต้นคอเขา

"อ๊ะ......!" ตัวเธอแอ่นไปทางด้านหลังทันที

เธอรู้สึกอับอายจนลืมสภาพรอบข้างไปหมด ดีที่หนานกงเฉินมือไวพอจึงคว้างตัวเธอไว้ทัน ไม่งั้นเธอคงหัวฟาดไปกับบันไดแล้ว

จากที่หน้าซีดขาวอยู่แล้วพอทำเอาตกใจอีกรอบ หน้าเธอตอนนี้ขาวยิ่งกว่ากระดาษอีก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด