เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 143

หนานกงเฉินเป็นยังไงบ้าง? ตื่นหรือยังนะ?

เธอรีบลุกจากเตียงนอนเดินไปทางประตูทันที ไม่คิดว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ชนเข้ากับร่างใครบางคน

"อ๊ะ!" เธอร้องตกใจ ก่อนจะรู้สึกเจ็บแผลตรงหน้าผากตามมา

พอเธอเห็นว่าคนที่เธอชนคือหนานกงเฉินก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจ "คุณตื่นแล้วเหรอ?"

เธอยังกังวลว่าเขาจะไม่ตื่น เพราะคุณหมอเคยบอกไว้ว่าหลังจากอาการเขากำเริบวันถัดไปถ้าไม่ตื่นขึ้นมา ก็อาจจะมีโอกาสไม่ตื่นอีกเลย

หนานกงเฉินเห็นแผลบนหน้าผากเธอที่ก่อนหน้านี้บาดแผลแห้งแล้ว แต่พอมาชนเขาแบบนี้อีกแผลก็ปริออกอีกครั้งและมีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย แต่เธอทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร

ที่จริงแล้วไป๋มู่ชิงไม่ใช่ไม่รู้สึกเจ็บแผล แต่เพราะเธอดีใจที่เห็นเขาตื่นแล้วจนลืมเรื่องแผลไปชั่วขณะ

"คุณ......ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย?" เธอหุบยิ้มก่อนจะค่อยๆถามขึ้น

หนานกงเฉินละสายตาจากแผลบนหน้าผากเธอ ก่อนจะยิ้มเย้ย : "แผนการยอมให้ทรมานร่างกายตัวเองเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ ทำได้แยบยลมากนะ"

ไป๋มู่ชิงได้ฟังแบบนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ทำได้แค่ส่ายหน้า: "ฉันไม่ได้....."

แผน? มันเป็นการเสี่ยงตายชัดๆ เธอไม่โง่ขนาดเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง เพื่อเรียกร้องให้เขาเห็นใจหรอกนะ

แต่ก็ช่างเถอะตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือตามใจเขาให้มาก อย่างขัดใจเขา ขอแค่เขาพอใจอะไรก็ได้

หนานกงเฉินเห็นเธอไม่ตอบ จึงเข้าใจว่าเธอยอมรับเรื่องเมื่อคืนเป็นแค่แผนการเรียกร้องความเห็นใจของเธอ

จากตอนแรกที่ยังนึกเห็นใจเธออยู่ วินาทีนี้กลับมลายหายไปหมดสิ้น

เขาหมุนตัวออกจากห้องนอนทันที

ไป๋มู่ชิงเปลือยเท้าวิ่งตามไปถามเขา : "คุณชายใหญ่ คุณทานข้าวเช้าหรือยังคะ?"

หนานกงเฉินไม่ได้สนใจเธอ เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินลงไปชั้นล่าง

หลังจากหนานกงเฉินออกไปแล้ว เธอก็รู้สึกถึงอาการเจ็บตรงแผล เธอใช้มือแตะที่แผลเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปส่องกระจกในห้องน้ำ เธอตกใจกับสภาพตัวเองในกระจกเป็นอย่างมาก

นี่มัน....สภาพอะไรเนี่ย

เสื้อยับยู่ยี่ ผมเผ้ารุงรัง แผลบนหน้าผากมีเลือดแห้งกรังติดอยู่ เมื่อเช้าง่วงมากจนไม่ทันได้ทำแผลก่อน เธอก็นอนทั้งสภาพนี้เลย

เธอเอากล่องยาจากลิ้นชักขึ้นมาหาสำลีชุบแอลกอฮอล์เช็คแผลฆ่าเชื้อ เธอหวังว่ามันจะไม่เป็นแผลเป็นนะ

แผลบนหน้าผากเริ่มทุราวลง แต่แผลตรงไหล่กลับรู้สึกปวดมากขึ้น เธอดูสภาพยับเยินของตัวเองในกระจก ไป๋มู่ชิงเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้หญิงเหล่านั้นถึงได้ทิ้งเขาไป เธอเพิ่งมาอยู่กับเขาได้แค่ปีเดียวยังเจอขนาดนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยแผล ถ้าต้องอยู่กับเขาไปทั้งชีวิตจะขนาดไหนกัน?

แต่ถึงจะดูน่ากลัวแค่ไหน เธอก็ไม่เคยคิดจะไปจากเขา ไม่เคยแม้แต่จะคิด

หรือเธอจะเป็นพวกซาดิส? ไป๋มู่ชิงคิด

ขณะที่ไป๋มู่ชิงกำลังนั่งทานข้าวเช้าก็คิดไปด้วยว่าจะเอาผมเด็กน้อยที่เธอได้จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปตรวจดีเอ็นเอได้ยังไง

หนานกงเฉินไม่ให้เธอออกไปไหน และไม่ให้เธอใช้โทรศัพท์ เธอแทบจะตัดขาดจากโลกภายนอก ที่นี่ก็ดันมีแต่พี่ยามกับป้าใบ้ที่ออกจะดูถูกสถานะของเธอและไม่ยอมพูดกับเธอเลย

เธอคิดวกไปวนมา จนนึกขึ้นได้วิธีหนึ่ง

ตอนเดินออกจากห้องอาหารเธอทำเป็นเดินเซเหมือนจะเป็นลม ป้าใบ้ที่ทำงานบ้านอยู่เห็นเข้าก็รีบเข้ามาประคองเธอ ก่อนจะทำมือถามว่าเป็นยังไงบ้าง

ไป๋มู่ชิงเอามือกุมหัวไว้ จ้องมองป้าใบ้อย่างน่าสงสาร:"ป้า เมื่อคืนฉันหัวกระแทกจนเป็นแผล ไม่รู้ว่าสมองจะได้รับการกระทบกระเทือนด้วยหรือเปล่า"

ป้าใบ้รีบเรียกหายามที่มาเข้าเวร เมื่อยามเห็นแผลบนหน้าผากของไป๋มู่ชิงก็รีบโทรฯหาหนานกงเฉิน

ไม่นาน เสี่ยวหลินก็ขับรถมาถึงหน้าคฤหาสน์

ระหว่างที่กำลังเดินทางไปโรงพยาบาล เสี่ยวหลินก็ไม่ลืมที่จะพูดเตือนเธอ: "นายหญิงน้อยครับ คุณชายใหญ่สั่งไว้ว่าไม่ให้คุณไปไหนคนเดียว และไม่ให้คุณไปเจอคนอื่นด้วย ดังนั้น....." เขายิ้มแหยอย่างเกรงใจ

"สบายใจเถอะ ฉันจะไม่หนีไปไหน" ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร พูดจบเธอก็รีบขอร้อง: "ช่วยพาฉันไปที่โรงพยาบาลเหิงซินได้มั้ย?"

"ไม่ได้ครับ คุณชายใหญ่บอกว่าไปได้แค่โรงพยาบาลหงเอินเท่านั้นครับ"

ไป๋มู่ชิงจนคำพูด นึกในใจนี่หนานกงเฉินเห็นเธอเป็นนักโทษหรือไง

เพื่อจะหาโอกาสส่งผมไปตรจให้ได้ ไป๋มู่ชิงจึงต้องแกล้งป่วยจนต้องเข้าแอดมิทที่โรงพยาบาลหงเอิน ระหว่างที่เธอนอนอยู่ที่โรงพยาบาลสองวันหนึ่งคืนนั้น มีแต่ป้าใบ้ที่มาเฝ้าเธอทุกวัน นอกนั้นก็ไม่มีใครมาเยี่ยมเธอเลย

โชคดีที่เธอหาทางส่งผมให้ซู่ซี่ได้ในระหว่างที่ออกไปเดินเล่น เธอไม่มีเงินติดตัวแม้แต่แดงเดียวจึงไม่สามารถส่งไปตรวจเองได้ เลยต้องส่งไปให้ซูซี่ช่วย

หลังจากที่ซูซี่ได้รับผมของเด็กน้อยที่ไป๋มู่ชิงส่งมา เธอนึกว่าไป๋มู่ชิงในใจดื้อดึงจริงๆ ทั้งที่ก็บอกแล้วว่าเด็กน้อยคนนั้นไม่มีทางเป็นลูกเธอได้ ไป๋มู่ชิงก็ยังต้องการจะตรวจดีเอ็นเอให้ได้

แต่ในเมื่อไป๋มู่ชิงขอความช่วยเหลือมา เธอก็ต้องช่วยอยู่แล้ว

หลังออกมาจากโรงพยาบาลเหิงซิน ซูซี่มองดูเวลาก่อนจะโทรฯหาหนานกงเฉิน หนานกงเฉินที่อยู่ปลายสายได้ยินว่าซูซี่จะชวนไปทานข้าวด้วย เขาก็ตอบอย่างไม่เกรงใจ "ไม่ดีกว่า"

หนานกงเฉินคิดว่าตัวเองปฏิเสธอย่างชัดเจนแล้ว แต่ไม่คิดว่ามาถึงที่จอดรถชั้นใต้ดินจะเห็นซูซี่มาดักรออยู่

หนานกงเฉินขมวดคิ้วก่อนถามขึ้น : "เธอมาทำไม? "

เชิญคุณชายเฉินทางโทรศัพท์ไม่ได้ ก็ต้องมาเรียนเชิญถึงที่ไง คุณชายเฉินโปรดให้เกียรติทานข้าวด้วยกันสักมื้อ ซูซี่ทำสัญลักษณ์มือเป็นการเรียนเชิญ

หนานกงเฉินจ้องไปที่เธอก่อนจะยิ้มเยาะ "ไป๋มู่ชิงให้มาเหรอ?"

"คุณชายเฉินไม่ได้กักขังเธอไว้เหรอ ตอนนี้แม้แต่โทรศัพท์ฉันก็ติดต่อเธอไม่ได้"

"หมายความเธอไม่ได้มาขอร้องแทนไป๋มู่ชิง"

"ไม่ใช่" ซูซี่ยิ้มเล็กน้อย "เชิญคุณชายค่ะ"

หนานกงเฉินปรายตามองเธอแวบหนึ่งก่อนจะเดินไปทางรถตัวเอง ซูซี่จึงรีบวิ่งตามไป ก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งข้างคนขับ

หลังจากที่รถขับออกจากโรงจอดรถ หนานกงเฉินที่มีสีหน้าราบเรียบก็ถามขึ้น "อยากกินอะไร?"

อันที่จริงแล้วเขาไม่ชอบทานข้าวกับคนอื่น โดยเฉพาะซูซี่เขารู้ว่าเธอมากินข้าวกับเขาเพราะไป๋มู่ชิง

เขาควรห้ามไม่ให้ซูซี่ขึ้นรถ แต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะลึกๆแล้วเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าซูซี่จะแก้ตัวให้ไป๋มู่ชิงยังไง

ความรู้สึกในใจเขาเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดแล้ว แค่เขาเองก็ยังไม่รู้ตัว

"ขอเป็นที่เงียบๆก็พอ" ซูซี่ตอบ

"งั้นก็ร้านอาหารฝรั่งเศสแถวนี้แล้วกัน"

"ได้ค่ะ"

หนานกงเฉินขับรถมาถึงร้านอาหารฝรั่งเศสร้านหนึ่ง ร้านอาหารฝรั่งเศสถือเป็นร้านอาหารที่เงียบสงบและดูมีระดับ หนานกงเฉินได้เลือกห้องที่ติดกับริมหน้าต่าง

ซูซี่มองดูหนานกงเฉินที่นั่งอยู่ตรงข้าม เขาในตอนนี้นั่งก้มหน้าเล็กน้อยแสงไฟจากด้านบนที่ส่องกระทบบนหัวทำให้ใบหน้าที่สมบูรณ์แบบของเขาดูน่ามองยิ่งขึ้น

รู้จักเขามาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่กับเขาในระยะใกล้ชิดแบบนี้ และยังนั่งทานข้าวกันสองคนอีก ซูซี่รู้สึกเกิดปลื้มใจขึ้นมาเล็กน้อย

หนานกงเฉินใช้ปลายนิ้วเปิดหน้าเมนูอาหารไปเรื่อยๆ ก่อนจะถามขึ้นโดยไม่เงยหน้า "อยากกินอะไร?"

ซูซี่ดึงสติกลับมาและตอบเขาว่า "ขอเมนูแนะนำของร้านที่หนึ่งก็พอค่ะ"

"แค่นั้นเหรอ?"

"ค่ะ"

หนานกงเฉินวางเมนูอาหารลง ก่อนจะพูดกับพนักงานที่รออยู่ "ขอเมนูแนะนำของร้านสองที่"

พนักงานรับออเดอร์เสร็จก็ถอยออกไป

หนานกงเฉินยกน้ำขึ้นดื่มนิดหนึ่ง ก่อนจะจ้องมองไปที่ซูซี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย "พูดมาเถอะ ถ้าไม่ได้มาแก้ตัวแทนไป๋มู่ชิงแล้วชวนมาทานข้าวด้วยทำไม?"

เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนจะพูดล้อขึ้น "คงไม่ได้มาตามจีบฉันหรอกนะ?"

ซูซี่ที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่มได้ยินเข้าเกือบจะพ่นน้ำใส่หน้าเขา

หนานกงเฉินขมวดคิ้ว "เรียบร้อยหน่อยได้มั้ย?"

ซูซี่หยิบทิชชูเช็คปากไปก็พูดตอบเขาไปด้วย "คุณนั้นแหละช่างกล้าพูด"

หนานกงเฉินไม่ได้ว่าอะไร เขายกมือเรียกพนักงานมาเปลี่ยนแก้วให้

ซูซี่วางแก้วลงก่อนจะถอนหายใจเล็กน้อย "เอาเถอะ ฉันไม่ได้มาขอร้องอะไรแทนไป๋มู่ชิง แต่ที่ฉันมาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องจริงบางอย่างอยากจะบอกให้คุณได้รับรู้ ส่วนเรื่องที่คุณจะให้อภัยเธอหรือไม่นั้นมันก็เรื่องของคุณ"

หนานกงเฉินทำเสียงเย็นในลำคอ เป็นอย่างที่คิดไว้ "เรื่องจริงอะไร? เรื่องที่ไป๋มู่ชิงโดนไป๋ยิ่งอันสองแม่ลูกขู่บังคับเหรอ?"

"ใช่ไง ในเมื่อรู้แล้วทำไมคุณยังทำกับเธอแบบนี้?" ซูซี่รีบยกมือขึ้นห้ามเขาไว้แล้วพูดต่อ "ฉันรู้ว่าคุณต้องบอกว่าโกหกหลอกลวงก็คือโกหกหลอกลวง ให้อภัยไม่ได้ แต่คุณรู้บ้างมั้ยว่าตั้งแต่ต้นจนจบไป๋มู่ชิงต้องเจอกับอะไรบ้าง?"

ซูซี่เห็นเขาไม่พูดอะไรก็พูดต่อ "พูดถึงเรื่องนี้แล้ว อันที่จริงก็เป็นเพราะตระกูลหนานกงเองนั้นแหละ มีสิทธิ์อะไรที่เห็นว่าไป๋ยิ่งอันมีดวงเป็นคู่ครองตามชะตากำหนดแล้วไปบังคับให้เขาต้องแต่งงานกับคุณ? ยังเรื่องสินสอดที่ส่งไปถึงหน้าบ้านตระกูลไป๋อีก? แน่นอนคุณอาจจะบอกว่าบ้านตระกูลไป๋ปฏิเสธได้นิ แต่ผลที่จะตามมาหลังจากปฏิเสธล่ะ? คุณรู้ดีที่สุด"

"ก่อนคุณจะส่งสินสอดไปสู่ขอ ไป๋มู่ชิงกับแม่และน้องรักใคร่กลมเกลียว กับหลินอันหนานเองก็รักหวานชื่นมื่น หลังจากที่คุณไปสู่ขอ ไป๋ยิ่งอันที่เชื่อเรื่องเล่าลือของคุณก็ไม่อยากแต่งงานกับคุณ แต่ก็ไม่อยากผิดใจกับตระกูลหนานกง เลยคิดแผนการให้ไป๋มู่ชิงไปแต่งงานแทน เพื่อบีบให้ไป๋มู่ชิงยอมทำตามไป๋ยิ่งอันได้แย่งแฟนเธอ แล้วยังเอาแม่และน้องเธอไปกักตัวไว้เมืองนอก ไป๋มู่ชิงไม่มีทางเลือก เธอจะไม่ไปแต่งงานแทนก็ไม่ได้"

"หลังจากที่ไป๋ยิ่งอันได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของคุณ ก็รู้ว่าเรื่องที่เล่าลือกันนั้นไม่ใช่เรื่องจริง จึงเปลี่ยนใจพุ่งเป้ามาที่คุณแทน แล้วเอาชีวิตของเสี่ยวอี้มาข่มขู่ไป๋มู่ชิงให้ถอยออกจากบ้านตระกูลหนานกง ในตอนนั้นไป๋มู่ชิงตั้งท้องพอดี พวกเขาก็บังคับให้เธอไปทำแท้ง ครั้งนั้นไป๋มู่ชิงหนีออกจากโรงพยาบาลปั๋วเซิน โชคดีที่เจอคุณเข้าไม่งั้นก็คงต้องเสียลูกไปนานแล้ว ไป๋มู่ชิงรักลูกคนนี้มาก เธอพยายามปกป้องเขามาตลอด แต่เธอไม่มีทางเลือกมากนัก ทางหนึ่งก็น้องชาย อีกทางก็ลูกตัวเอง จากแรงบีบคั้นของไป๋ยิ่งอันเธอจำต้องทนเสียใจสละลูกตัวเองแทน เธอคิดว่าคุณจะดูแลลูกได้เป็นอย่างดี เธอไม่คิดว่าไป๋ยิ่งอันจะเป็นบ้าถึงขนาดฆ่าลูกเธอเพื่อเก็บซ่อนถานะที่แท้จริงของตัวเอง เสียลูกน้อยไปเธอก็เสียใจมากไม่แพ้คุณ ฉะนั้นคุณอย่าเอาเรื่องที่ลูกตายมาลงโทษเธอแบบนี้เลย"

"อีกอย่าง พอคลอดลูกเสร็จซูวหยาหยงก็อุ้มเด็กไปทันที ไป๋มู่ชิงเองยังไม่ทันได้เห็นหน้าลูกด้วยซ้ำ และไม่รู้ว่าเด็กใช่ลูกของตัวเองหรือเปล่า...."

พูดถึงตรงนี้ซูซี่ก็เงียบลง มองดูปฏิกิริยาของหนานกงเฉิน เขากำลังหุบตาลงเล็กน้อยเพื่อเก็บความรู้สึก ก่อนที่เธอจะแอบเม้มปากแล้วพูด "ยังมีอีกเรื่องที่คุณไม่รู้ ไป๋ยิ่งอันต้องการตัดปัญหา หลังจากที่ไป๋มู่ชิงคลอดลูกได้สองวันก็เอาเธอไปกักขังไว้ในห้องใต้หลังคา ต่อมาหลินอันหนานได้ไปช่วยเธอไว้ ถ้าไม่ได้หลินอันหนานไปช่วยป่านี้เธอคงโดนสองแม่ลูกนั้นฆ่าตายไปแล้ว"

ซูซี่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่น แอบสำรวจดูปฏิกิริยาของหนานกงเฉินชั่วครู่ เธอลังเลเล็กน้อยว่าจะบอกเรื่องที่เด็กอาจจะถูกสลับตัวให้กับหนานกงเฉินรู้ดีมั้ย

พูดถึงเด็ก เธอก็นึกถึงเรื่องที่ผลตรวจร่างกายโดนสลับ ก่อนจะนั่งตัวตรงแล้วจ้องมองไปที่เขา: "หนานกงเฉิน อย่าว่าแต่คนอื่นเลย คุณเองก็นักบุญคนบาปเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ถ้าตอนนั้นคุณไม่ไปทำอะไรกับผลตรวจครรภ์ของไป๋มู่ชิง เธอก็คงไม่ต้องมาเจอความทุกข์ยากมากมายแบบนี้"

หนานกงเฉินจ้องมองเธอ "ผลตรวจครรภ์?"

"คุณจะบอกว่าคุณไม่เคยทำอะไรกับผลตรวจครรภ์?"

"ฉันจะทำแบบนั้นเพื่ออะไร?"

"ก็คุณไม่อยากให้ไป๋มู่ชิงคลอดลูกของคุณไง"

"ถ้าฉันไม่อยากเก็บลูกไว้ ต่อให้ไป๋มู่ชิงจะกระโดดสะพานสักร้อยครั้งก็ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้น......" หนานกงเฉินยิ้มเย็น "ฉันไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปทำเรื่องน่าละอายแบบนั้น"

ขณะที่ฟังเขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ในใจซูซี่รู้สึกแปลกใจอย่างมาก หนานกงเฉินไม่เคยทำอะไรกับผลตรวจครรภ์ งั้นก็แปลว่าเธอเข้าใจผิดเองเหรอ?

นี่เรื่องมันยังไงกันแน่ จากตอนแรกที่เธอคิดจะบอกเรื่องลูกกับเขา ตอนนี้ความคิดดังกล่าวได้มลายหายไปหมด

หนานกงเฉินดูแล้วไม่น่าโกหก และไม่จำเป็นต้องโกหก

ผ่านไปครู่ใหญ่ เธอถึงได้ค่อยๆพูดขึ้น "ขอให้เป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่งั้นไป๋มู่ชิงไม่มีวันให้อภัยคุณแน่"

ทั้งสองต่างเงียบไป

หนานกงเฉินยังคงหุบตาเล็กน้อย ทำให้ไม่สามารถเดาได้ว่าเขากำกังคิดอะไรอยู่ สักพักใหญ่กว่าเขาจะเงยหน้าขึ้น จ้องมองหน้าซูซี่ "ความหมายของคุณซูซี่ก็คือ ไป๋มู่ชิงทำไปเพราะจำใจ โดนบังคับ อยากให้ฉันเห็นใจและยอมให้เธอกับหลินอันหนานได้สมหวังกันเหรอ?"

"ไม่ใช่ คุณเข้าใจฉันผิดแล้ว" ซู่ซี่รีบตอบ "หลินอันหนานเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร ตอนที่ไป๋มู่ชิงโดนบังคับให้แต่งงานถึงเขาจะไม่ใช่ผู้บงการโดยตรงแต่ก็มีส่วนช่วย ที่จริงแล้วไป๋มู่ชิงเองก็ไม่ได้รักเขาแล้ว แต่ที่ต้องแต่งงานด้วยก็เพราะเป็นเงื่อนไขที่เขาตั้งขึ้นตอนที่ไปช่วยไป๋มู่ชิงในห้องใต้หลังคา"

ซูซี่มองเขาที่ยังคงเงียบอยู่ ก่อนจะไหวไหล่เล็กน้อย "ฉันไม่รู้ว่าคุณรู้อะไรกับเรื่องนี้แค่ไหน แต่ไม่ว่าจะมองในแง่มุมไหน ไป๋มู่ชิงก็เป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในเรื่องนี้"

ที่จริงแล้วไป๋มู่ชิงเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง คุณจะนำเอาความเคียดแค้นมาบดบังหัวใจตัวเอง แล้วกล่าวโทษเธอ กักขังเธอ แม้กระทั้งเอาชีวิตของเสี่ยวอี้มาข่มขู่เธอแบบนี้ไม่ได้ หลังจากที่ซูซี่พูดจบไปพักใหญ่ เขาก็ยังคงไม่พูดตอบอะไรเธอ ซู่ซี่จึงรีบถามขึ้น: "คุณชายเฉินคุณได้ฟังฉันพูดอยู่หรือเปล่า? หรือว่าฉันยังพูดไม่ชัดเจนพอ?"

ในที่สุดหนานกงเฉินก็เงยหน้าขึ้นมามองเธอ ก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย "ไม่เลย คุณหนูซูซี่พูดได้น่าสนใจมาก ซาบซึ้งมาก เกินกว่าที่ฉันคาดไว้"

"คุณหมายความว่าไง?" ซูซี่หน้าเสีย

หนานกงเฉินลุกขึ้นจากโซฟา ปรายตามองอาหารที่เพิ่งขึ้นโต๊ะเล็กน้อย : "วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า คุณหนูซูซี่ค่อยๆทาน"

"เดี๋ยว! หนานกงเฉินนี่คุณหมายความว่าไง?" ซูซี่พูดตามหลังเขาด้วยอารมณ์โมโห "คุณไม่เชื่อใช่มั้ย? คุณคิดว่าฉันแต่งเรื่องขึ้นมาเองใช่มั้ย?"

หนานกงเฉินหยุดตามเสียงเรียกของเธอ ก่อนจะค่อยๆหันกลับมา "คนประเภทเดียวกัน เธอกับไป๋มู่ชิงจอมโกหกเป็นเพื่อนกัน ทำไมฉันต้องเชื่อเธอด้วย?"

"คุณ......!" ซูซี่จี๊ดถึงขีดสุด เธอไม่สนใจแล้วว่าที่นี่เป็นร้านอาหารฝรั่งเศส เธอด่าตามหลังเขาไปติดๆ: "ถึงว่าทำไมไป๋มู่ชิงถึงไม่ยอมบอกอะไรคุณเลย ที่แท้คุณมันก็เป็นคนที่ไม่มีความสามารถในแยกแยะนี่เอง ต่อให้เธอพูดจนปากฉีกคุณก็ไม่มีวันเชื่อใช่มั้ย?"

หนานกงเฉินเอาเงินยื่นให้พนักงานที่ยืนอยู่ : "ไม่ต้องทอน" แล้วเดินไปยันประตูทางออก

ซูซี่วิ่งตามหนานกงเฉินออกมาทางหน้าร้าน ก่อนที่เขาจะดึงประตูกระจกออกไปเธอก็รีบจับแขนเขาไว้ : "หนานกงเฉินฉันขอเตือนคุณนะ คุณทำแบบนี้มันผิดกฎหมาย ฉันไปฟ้องคุณได้ อีกอย่างตอนนี้ไป๋มู่ชิงยังรักคุณอยู่ก็ช่วยทำดีกับเธอหน่อย ไม่งั้นถ้าเธอหมดใจเมื่อไหร่ ระวังคุณจะเสียเธอไปไม่รู้ตัว"

"เสียเธอไป.....มันน่ากลัวมากเหรอ?" หนานกงเฉินหันกลับมาทิ้งท้ายให้เธอ

ซูซี่เจอคำถามนี้เข้าก็พูดอะไรไม่ออก

หนานกงเฉินเห็นเธออ้างปากค้าง ก็ยกมือขึ้นตบเบาๆบนหลังมือที่จับแขนเขาอยู่ ก่อนจะยิ้มบาง: "คุณซูซี่ ถ้าว่างนะก็เอาเวลาไปดูคุณชายเฉียวดีกว่า ข่าวลือที่ว่าเขาไปมีลูกอยู่ข้างนอกนั้น ในงานเมื่อคืนคุณก็ได้ยินแล้วไม่ใช่หรือ"

พูดจบหนานกงเฉินก็ออกแรงดันมือเธอออกจากแขนเขา

ซูซี่อยู่ๆก็ไม่รู้จะพูดอะไรขึ้นมา

ไม่ใช่สิ ในงานวันเกิดของคุณผู้หญิงเฉียว เธอได้ยินกับหูจริงๆว่าเฉียวซือเหิงมีลูกนอกบ้านแล้วจริงๆ!

เธอยืนนิ่งอยู่หน้าประตูครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจและเดินออกจากร้านไป

เธอเดินออกมาได้ไม่ไกล ก็มีรถที่คุ้นเคยมาจอดขวางหน้าไว้ เธอเงยหน้ามองเข้าไปในที่นั่งคนขับเห็นเฉียวซือเหิงนั่งอยู่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด