เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 144

ประตูรั้วลวดลายสไตล์ยุโรปของคฤหาสน์ ปกติแล้วยามที่เข้าเวรจะล็อคเอาไว้ตลอด วันนี้เนื่องจากฝนตกหนักยามเลยไม่ทันได้ล็อค

ยามที่ดูแลความปลอดภัยเห็นไป๋มู่ชิงกำลังจะเปิดประตูออกไปข้างนอก ก็วิ่งเข้ามาจับแขนเธอไว้ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ "คุณหนูไป๋คุณออกไปไม่ได้ รีบกลับเข้าไปข้างในเถอะ!"

ถ้าเป็นเวลาปกติ ไป๋มู่ชิงจะไม่ทำให้พี่ยามลำบากใจเลย เพราะเธอรู้จักนิสัยของหนานกงเฉินดี และเข้าใจว่ามันเป็นหน้าที่ของเขา

แต่วันนี้ เธอจะมัวคำนึงแต่ความลำบากของเขาไม่ได้แล้ว เธอทั้งดิ้นรนและกรีดร้อง:"ปล่อยฉัน! วันนี้ฉันต้องออกไป! ปล่อย!"

"คุณหนูไป๋ ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้ผมจะไม่เกรงใจแล้วนะ!" พี่ยามโยนร่มลงพื้น แล้วใช้สองมือจับเธอไว้

ฝนเทลงมาจนทั้งสองเปียกไปทั้งตัว

ไป๋มู่ชิงไม่ได้ตื่นตกใจไปกับคำขู่ของยาม เธอจับราวประตูเหล็กไว้แน่น ก่อนจะพูดข่มขู่เขา: "ถ้าพี่ยังไม่ปล่อยฉัน ฉันจะตายให้ดู ฉันจะโขกหัวให้ตายอยู่ตรงนี้เลย........!"

ไป๋มู่ชิงพูดขู่เสร็จก็เอาหัวโขกเข้ากับประตู ยามที่เข้าเวรตกใจจนรีบเอามือไปรองรับหัวเธอไว้

หัวของไป๋มู่ชิงโขกเข้ากับหลังมือเขา พี่ยามเห็นว่าเธอเอาจริงเขาตกใจช็อคยืนนิ่งกับที่ ไป๋มู่ชิงใช้โอกาศนี้เบียดตัวออกไปด้านข้าง แล้ววิ่งหายไปท่ามกลางสายฝน

เลขาเหยียนเดินเข้ามาในห้องประชุม ตรงไปกระซิบข้างหูหนานกงเฉิน "คุณชายเฉิน ยามที่คฤหาสน์โทรฯมาแจ้งว่า นายหญิงน้อยหนีออกไปแล้วค่ะ"

ดวงตาหนานกงเฉินเข้มขึ้น: "คุณว่าอะไรนะ?"

"ทางโน้นแจ้งว่าเมื่อเช้าขณะที่นายหญิงน้อยทานข้าวเช้าอยู่ก็เห็นรายงานข่าวสองแม่ลูกกระโดดน้ำฆ่าตัวตายที่แม่น้ำปินช่วงถนนหงลี่ หลังจากนั้นเธอก็วิ่งออกไปเหมือนคนบ้าเลยค่ะ" เลขาเหยียนพูดต่อ: "ฉันให้คุณหวางไปหาตามทางที่ไปคฤหาสน์แล้วค่ะ และยังให้เสี่ยวหลินลองไปดูที่ริมแม่น้ำด้วย ฝนตกหนักขนาดนี้ คุณจะ......ไปดูเองมั้ยคะ?"

หนานกงเฉินนิ่งขรึม ก่อนพูด: "คุณช่วยประชุมต่อหน่อย"

"ได้ค่ะ" เลขาเหยียนตอบรับ

ไป๋มู่ชิงจำทางได้ตั้งแต่ออกมาครั้งที่แล้วเมื่อสองวันก่อน จากคฤหาสน์เดินอ้อมไปตามทางเลียบริมทะเลก็เจอกับถนนใหญ่ เธอโบกรถแท็กซี่และขึ้นไปนั่งทันที

คนขับแท็กซี่มองเธอในสภาพที่เปียกไปทั้งตัว ก่อนขับรถออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก

ไป๋มู่ชิงมาถึงริมแม่น้ำ ถึงแม้ว่าฟ้าจะค่อนข้างมืดสลัว แต่เธอก็ยังคงมองเห็นร่างของสองแม่ลูกที่ถูกนำขึ้นมาไว้บนฝั่งแล้ว อีกทั้งยังใช้ผ้าขาวคลุกร่างไว้ด้วย

เธอตกใจจนเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งร้องไห้โฮกับพื้น จนคนขับรถแท็กซี่ที่วิ่งตามมาทวนค่ารถยังต้องถอย

ด้วยว่าฝนตกหนักมาก คนที่มามุงดูเลยไม่มาก เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นเธอนั่งร้องไห้เสียใจมากจึงเดินเข้ามาถาม: "คุณครับ ไม่ทราบว่าเป็นญาติกับผู้ตายใช่มั้ยครับ?"

"ฉันไม่รู้ ฉันก็ไม่รู้.........." ไป๋มู่ชิงส่ายหัวร้องไห้ไม่หยุด

"ไม่ทราบว่าคนที่บ้านมีใครหายตัวไปมั้ยครับ?"

ไป๋มู่ชิงเปลี่ยนเป็นพยักหน้าแทน

"ไม่งั้นคุณไปดูหน้าศพหน่อยมั้ยครับ?" เจ้าหน้าที่ตำรวจประคองเธอลุกขึ้นจากพื้น

ไป๋มู่ชิงมองศพที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาวทั้งสองร่าง ก่อนจะพยักหน้าและตามด้วยส่ายหน้า เธอไม่กล้าพอที่จะเข้าไปดู เธอกลัวว่าจะเป็นแม่และเสี่ยวอี้จริงๆ

"คุณไปดูหน่อยเถอะ" เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดด้วยความหนักใจ

"ฉันไม่กล้า......"

"แล้วจะทำยังไงดี? คุณยังมีญาติคนอื่นอีกมั้ย? เรียกพวกเขามาได้มั้ย?"

"ไม่มีแล้ว ฉันไม่มีญาติที่ไหนแล้ว เหลือแค่ฉันคนเดียว......" เธอยืนพิงตำรวจอย่างไร้เรี่ยวแรง ร้องไห้ปานจะขาดใจ

"ถ้าคุณไม่เข้าไปดู เราจะส่งศพไปที่ห้องดับจิตแล้วนะครับ"

"ไม่! ฉันดู ฉันดู......" ไป๋มู่ชิงกำเสื้อเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้แน่น ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคอยประคองและกึ่งจุงเธอเข้าไปในเขตกั้นพื้นที่เกิดเหตุ

ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะข้ามเชือกกั้นเขต แขนอีกข้างของไป๋มู่ชิงก็ถูกจับไว้และดึงตัวเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของคนคนหนึ่ง

เธอเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำฝนและน้ำตาขึ้นมอง เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของหนานกงเฉินอยู่ตรงหน้า

"เธอมาทำอะไรที่นี่?" มือข้างหนึ่งของหนานกงเฉินโอบเอวบางไว้ มืออีกข้างถือร่มคันใหญ่ สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

"แม่กับเสี่ยวอี้พวกเขา......" ไป๋มู่ชิงเสียใจจนพูดไม่ออก

เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นหนานกงเฉินกอดไป๋มู่ชิงไว้ จึงถามเขา: "คุณผู้ชาย ไม่ทราบว่าเป็นเพื่อนกับเธอคนนี้ใช่มั้ยครับ?"

"ผมเป็นสามีเธอ" หนานกงเฉินพูด

"งั้นก็ดีเลย คุณผู้หญิงท่านนี้ไม่กล้าเข้าไปดูร่างผู้เสียชีวิต คุณไปดูแทนเธอหน่อยเถอะครับ"

หนานกงเฉินปรายตามองเข้าไปในเขตพื้นที่เกิดเหตุที่มีเชือกกั้นไว้ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเยือกเย็น: "ไม่ต้องดูก็ได้ ไม่ใช่คนในครอบครัวเราครับ"

"แต่เมื่อครู่เธอบอกว่า.....แม่และน้องเธอหายตัวไปนะครับ" เจ้าหน้าที่ตำรวจมองทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ

หนานกงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเดิม: "เธอจำผิดครับ แม่และน้องชายเธอไม่ได้หายไปไหน"

"อ้าว...........?" เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้สึกแปลกใจ

ไป๋มู่ชิงได้ยินหนานกงเฉินพูดแบบนั้น ก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะจ้องมองเขานิ่งด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา

พักใหญ่กว่าเธอจะเปล่งเสียงออกมาถาม: "เป็นเรื่องจริงเหรอ?"

"จริง" หนานกงเฉินโอบตัวเธอเข้าหาอีกนิด เพื่อไม่ให้ตัวเธอโดนฝน

ไป๋มู่ชิงส่ายหน้าไปมา: "ฉันไม่เชื่อ คุณโกหกฉัน"

"ถ้าเธอไม่เชื่อก็เข้าไปดูเอาเอง" หนานกงเฉินพูดขึ้นพร้อมทำท่าจะพาเธอเข้าไปดู เธอรีบกอดตัวเขาไว้แน่นไม่ยอมก้าวเข้าไป หนานกงเฉินมองท่าทางเธอที่อยากเข้าไปดูแต่ก็กลัวที่จะเข้าไป เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ : "ไป๋มู่ชิงฉันไม่ใช่คนที่ไม่มีความละอายอย่างเธอ ยิ่งไม่ใช่คนขี้โกหกเหมือนเธอ ฉันบอกว่าไม่ใช่พวกเขาก็คือไม่ใช่"

ได้ยินที่เขาพูด ไป๋มู่ชิงก็หยุดร้องไห้โวยวาย เธอยังคงสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดเขาสักครู่ก่อนจะค่อยๆนิ่งไปในที่สุด

ไป๋มู่ชิงที่ตกใจจนเข่าทรุด อีกทั้งยังร้องให้เสียใจอย่างหนัก ตอนนี้เธอแทบจะอ่อนแรงไปทั้งตัว ถึงขนาดว่าหนานกงเฉินพาเธอกลับมาถึงคอนโดแล้วเธอยังไม่รู้สึกตัว

คอนโดเซียงตี๋ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิน เนื่องจากทั้งสองเปียกปอนไปทั้งตัว หนานกงเฉินกลัวว่าเธอจะเป็นหวัดจึงหาที่ใกล้ๆสำหรับอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

หลังกลับมาถึงคอนโด หนานกงเฉินก็พาเธอเข้าไปในห้องน้ำทันที ก่อนจะเปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำและถอดเสื้อผ้าเปียกชื้นบนตัวเธอให้

ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขาจะทำอะไร จึงกำเสื้อไว้ก่อนพูด: "ฉันถอดเอง"

อาจเป็นเพราะร่างกายที่อ่อนแรง ทำให้เธอเอื้อมมือไปรูดซิปด้านหลังไม่ได้ หนานกงเฉินเห็นว่าเธอรูดซิปลงไม่ได้ เลยยกมือไปช่วยดึงซิปลงพร้อมแกะตะขอเสื้อในให้เธอด้วย

ชุดที่สวมอยู่รูดลงไปกองอยู่ที่พื้น ไป๋มู่ชิงเขินอายจนต้องรีบหลบเข้าไปนั่งกอดเข่าในอ่างอาบน้ำ เธอก้มหน้ารอเขาเดินออกจากห้องน้ำ แต่ผ่านไปพักใหญ่ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเธอจึงเงยหน้าขึ้น พบว่าหนานกงเฉินตั้งเนื้อตั้งตัวเหลือแค่กางเกงในตัวเดียว

ไม่ทันเธอจะร้องกรี๊ด หนากงเฉินก็ก้าวเข้ามานั่งในอ่างอาบน้ำเรียบร้อย

ไป๋มู่ชิงตกใจจนอ้างปากค้าง หนานกงเฉินกลับไม่รู้สึกว่าแปลกอะไร ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย : "ที่นี่มีอ่างอาบน้ำอันเดียว ฉันกลัวเป็นหวัดมากกว่าเธออีก มีอะไรน่าตกใจ?"

"คุณก็บอกฉันซิ ฉันจะได้ให้คุณใช้ก่อน" ไป๋มู่ชิงพูดฮึมฮัมพร้อมกอดเข่าไว้แน่น

ฉันรอเธออยู่ตั้งนานก็ไม่เห็นเธอจะยอมให้ฉันใช้ก่อน หนานกงเฉินขยับตัวเข้าใกล้: "แสดงว่าเธอไม่เป็นห่วงฉันเลยใช่มั้ย?"

ไป๋มู่ชิงไม่ตอบ ก็เมื่อกี้เธอยังรู้สึกมึนงงอยู่เลยไม่ทันได้คำนึงถึงเรื่องนี้

หนานกงเฉินมองดูตัวเธอที่อยู่ใต้น้ำ ร่างกายเริ่มตึงเครียดขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะรีบหยิบที่ขัดตัวจากชั้นวางโยนให้เธอ: "ขัดหลังให้ฉัน"

พูดเสร็จก็หันหลังให้เธอ

อ่างอาบน้ำใหญ่พอสำหรับแช่สองคนได้สบายๆ

ไป๋มู่ชิงอยากจะลุกขึ้นสวมเสื้อแล้วหนีออกไป แต่ในเมื่อเขาออกปากให้เธอช่วยขัดหลังให้แล้วยังหันหลังรอแบบนี้ เธอจะปฏิเสธได้ยังไง

เธอจึงค่อยๆขยับเข้าใกล้ไปช่วยเขาขัดหลัง

ไป๋มู่ชิงไม่ได้ตั้งใจขัดนัก และลืมความเขินอายชั่วขณะ ในหัวเธอตอนนี้ยังคงมีแต่ภาพร่างของสองแม่ลูกที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาววางอยู่บนริมแม่น้ำ

เธอถอนหายใจเบาๆ จ้องมองไปที่หลังของหนานกงเฉิน: "คุณชายใหญ่ คุณจะไม่ทำร้ายเสี่ยวอี้ใช่มั้ย? เสี่ยวอี้ชอบคุณขนาดนั้น เถิดทูนคุณมาก และยังส่งข้าวเช้าให้คุณทุกวัน"

หนานกงเฉินค่อยๆลืมตาขึ้น แล้วหันกลับมาหาเธอ ไป๋มู่ชิงรีบลดตัวลงไปใต้น้ำ

"เปลี่ยนเป็นแผนขอความเห็นใจเหรอ?"

ไป๋มู่ชิงไม่ตอบ หนานกงเฉินยื่นมือไปดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอด ใช้มือข้างหนึ่งล็อคเอวเธอไว้ มืออีกข้างจับปลายคางเธอเงยขึ้น: "ฉันเคยเตือนเธอแล้วว่าอย่าพูดชื่อ 'เสี่ยวอี้' ต่อหน้าฉัน"

ร่างกายทั้งสองเบียดเสียดแนบชิดกันจนไป๋มู่ชิงรู้สึกได้ถึงตัวตนของเขา นึกถึงเหตุการณ์ตรงบันไดสองวันก่อน เธอไม่แปลกใจเลยหากหนานกงเฉินจะมีอะไรกับเธอตอนนี้

เพื่อป้องกันไม่ไห้เกิดเรื่องอย่างว่าขึ้น เธอรีบพูด: "ฉันรู้สึกไม่สบาย คุณปล่อยฉันก่อนได้มั้ย?"

"ไม่สบายตรงไหน?" หนานกงเฉินปรายตามองเธอ ก่อนใช้นิ้วแตะไปตรงแผลบนหน้าผากที่เริ่มแห้ง: "ตรงนี้? หรือว่าตรงนี้?" และไล้นิ้วไปแตะตรงรอยกัดบนหัวไหล่

ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขามีทำท่ายิ้มเยาะ รู้สึกไม่รู้จะพูดอะไร: "เห็นแผลเป็นมากมายบนตัวฉันที่คุณเป็นคนทำแล้วรู้สึกได้ใจมากใช่มั้ย?"

"ไม่มากเลย" หนานกงเฉินส่ายหัวไปมา มองสำรวจตัวเธออีกรอบ: "ต่อไปฉันจะทำให้เธอเต็มไปด้วยแผลเป็นจนไม่มีพื้นที่บนผิวว่างเลย"

ไป๋มู่ชิงตกใจจนตัวชา เธอรีบดิ้นรนออกจากอ้อมกอดเขา

หนานกงเฉินไม่ได้ดึงตัวเธอไว้ ปล่อยให้เธอหยิบผ้าเช็คตัวผืนใหญ่ห่อตัวและเดินหนีออกจากห้องน้ำไป

หลังออกจากห้องน้ำ ไป๋มู่ชิงถอนหายใจโล่งอก เธอหันกลับไปมองที่ห้องน้ำไม่น่าเชื่อว่าหนานกงเฉินจะปล่อยให้เธอออกมาง่ายๆแบบนี้ ถ้าเป็นช่วงก่อนเขาคงจะรังแกเธอในนั้นไปแล้ว

หรือเป็นเพราะว่าวันนี้เขาเหนื่อยมาก จนไม่อยากทำอะไรแล้ว

หนีออกมาจากห้องน้ำได้แล้ว ไป๋มู่ชิงถึงรู้ว่าเธอไม่มีเสื้อผ้าใส่ ในตู้เสื้อผ้าก็มีแต่เสื้อของหนานกงเฉิน ไม่มีเสื้อผู้หญิงแม้แต่ตัวเดียว

ทั้งตัวจะมีแค่ผ้าขนหนูพันรอบตัวแบบนี้ไม่ได้ เธอรื้อดูเสื้อผ้าในตู้อยู่พักใหญ่จนได้เสื้อเชิ้ตสีขาวของหนานกงเฉินมาตัวหนึ่งโชคดีที่เสื้อตัวใหญ่ทำให้ใส่แล้วปิดไปถึงต้นขาได้

ใส่เสื้อเสร็จเธอก็เดินไปยืนอยู่ตรงหน้าต่างกระจกใสบานใหญ่ มองออกไปด้านนอกที่ฝนยังตกอยู่ มองลงไปในแม่น้ำที่มืดสนิท เธออธิฐานในใจเงียบๆขอให้เสี่ยวอี้อย่าเป็นอะไรเลย

หนานกงเฉินที่เดินออกมาจากห้องน้ำเห็นเธอใส่เสื้อเชิ้ตเขายืนอยู่ตรงหน้ากระจกใสบานใหญ่ สองมือคอยดึงปลายเสื้อลงไม่หยุด แต่ต่อให้เธอพยายามดึงแค่ไหนเรียวขาขาวผ่องก็ยังโผล่กออกมาให้เห็นอยู่ดี

ไป๋มู่ชิงถูกเขาจ้องมองจนรู้สึกอึดอัด ก่อนจะรีบพูด: "ฉันไม่มีเสื้อใส่ ขอ.....ยืมใส่คืนหนึ่ง พรุ่งนี้เสื้อแห้งแล้วฉันจะคืนให้ค่ะ"

หนานกงเฉินดึงสายตาจากตัวเธอ ก่อนจะเดินเช็ดผมไปทางห้องรับแขกโดยไม่สนใจเธอ

ไป๋มู่ชิงอยู่ในห้องนอนสักพัก ก็ได้ยินหนานกงเฉินโทรฯสั่งอาหาร เธอจึงรีบเดินออกไปแย่งโทรศัพท์มาคุยกับปลายสาย: "รบกวนสั่งขิงสดให้ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ"

พนักงานรับออเดอร์เสร็จ เธอก็แจ้งที่อยู่สำหรับจัดส่งก่อนจะยื่นโทรศัพท์คืนให้หนานกงเฉิน

หนานกงเฉินรับโทรศัพท์ไปพร้อมถาม: "เอาขิงสดมาทำอะไร?"

"ต้มน้ำขิงดื่มป้องกันเป็นหวัด" ไป๋มู่ชิงมองดูโทรศัพท์ที่ถูกเขาโยนลงไปไว้บนโซฟา ในใจกำลังคิดว่าจะขอยืมโทรศัพท์เขามาใช้ได้ยังไง

เห็นเธอยังคงดึงปลายเสื้อเซิ้ตไม่หยุด หนานกงเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนขึ้น "ดึงไม่หยุดแบบนั้นเสื้อเชิ้ตฉันจะเสียทรงหมด"

พร้อมพูดต่ออีก: "อีกอย่างนะ คืนนี้ฉันไม่มีอารมณ์ ไม่ต้องทำเป็นอ่อยฉัน"

ไป๋มู่ชิงจนไม่รู้จะพูดอะไร ทำอย่างกับเธอจงใจทำอย่างงั้น

แต่ก็ดีถ้าเขาพูดแบบนี้ เธอเองก็จะได้สบายใจ คิดได้ดังนั้นก็เดินเข้าไปซักเสื้อของทั้งสองในห้องน้ำ

ไม่ช้าอาหารที่สั่งก็ส่งมาถึง ไป๋มู่ชิงนำขิงสดหั่นเป็นชิ้นก่อนจะต้มใส่น้ำ แล้วเดินออกไปนั่นทานข้าวกับเขา

หนานกงเฉินดูยุ่งมาก ขนาดนั่งกินข้าวยังต้องดูเอกสารไปด้วย ระหว่างมื้ออาหารทั้งสองแทบไม่ได้คุยอะไรกัน

กินข้าวเสร็จ หนานกงเฉินก็ย้ายไปนั่งทำงานอยู่หน้าคอมฯ ไป๋มู่ชิงเอาน้ำขิงสดที่เพิ่งต้มเสร็จไปวางไว้มุมโต๊ะทำงานให้เขา: "ดื่มตอนยังร้อนๆนะคะ เย็นแล้วจะไม่ค่อยได้ผล"

"เธอดื่มหรือยัง?" หนานกงเฉินถามโดยไม่เงยหน้ามองเธอ

"เดี๋ยวฉันค่อยดื่ม"

หนานกงเฉินไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่เห็นเธอยังคงยืนอยู่ไม่ไปไหนจึงเงยหน้าขึ้นจ้องมองเธอด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรเท่าไหร่: "มีอะไรก็พูดมา"

"ไม่มีอะไรค่ะ" ไป๋มู่ชิงเห็นสีหน้าเขาแล้วก็ล้มเลิกความคิดที่จะขอยืมใช้โทรศัพท์เขาทันที

"ถ้าไง.....ฉันไปนอนก่อนนะคะ" เธอชี้ไปทางห้องนอนก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องหนังสือ

ไป๋มู่ชิงขึ้นมานอนบนเตียงในห้องนอนแขก แต่นอนยังไงก็นอนไม่หลับ หลังข้างๆเป็นที่ที่เธอกับแม่และเสี่ยวอี้เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน วันนั้นเธอก็แต่งออกจากบ้านหลังข้างๆนี้

ตอนนั้นเธอยังสัญญากับเสี่ยวอี้อยู่เลยว่า หลังแต่งงานเธอจะกลับมาทำปีกไก่ทอดให้กินอีก ไม่คิดว่าพอแต่งงานเสร็จ เธอก็ไม่ได้เจอเสี่ยวอี้อีกเลย ไม่รู้แม้กระทั่งเขาไปอยู่ไหนด้วยซ้ำ

คิดได้เช่นนั้น เธอก็จัดเตียงให้เหมือนมีคนนอนอยู่ ก่อนจะค่อยๆล็อคประตูห้องนอน แล้วเดินไปดูทางห้องรับแขก พอเห็นว่าไม่ใครอยู่ เธอก็แอบหนีออกไปทางประตูทันที

ที่น่าแปลกคือรหัสประตูของบ้านหลังข้างๆยังไม่ได้เปลี่ยน เธอค่อยๆเปิดประตูเข้าไป ด้านในมืดสนิท เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนอยู่เลย

ที่นี่ไม่มีคนอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้ไม่มีคนอยู่ก็ไม่แปลก เธอยกมือเปิดไฟจนห้องสว่างขึ้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด