สายตาของหนานกงเฉินแฝงด้วยความอันตราย "ตอนนั้นที่เธอแต่งเข้ามาในตระกูลหนานกงแทนไป๋ยิ่งอัน เธอยังสวมแหวนของตระกูลผมอีก ยังคลอดลูกของตระกูลหนานกง แถมยังรู้ความลับทั้งหมดของตระกูลหนานกง ถ้าเธอไม่แต่งงานกับผมแล้วจะแต่งกับใครอีก? แต่งกับหลินอันหนานเหรอ?"
"ไม่เกี่ยวอะไรกับหลินอันหนาน ฉันแค่……"
"แค่อะไร? แค่ไม่อยากแต่งงานกับผมหรอ?"
"ใช่" ไป๋มู่ชิงพยักหน้าอย่างไม่กลัวตาย
ตอนนี้เธอกับเขาเป็นอะไรกันแน่? เขาโกรธเกลียดเธอ เธอก็เคืองแค้นที่เขาทำให้คุณย่าตัวเองตาย ยังขังแม่กับน้องชายตัวเองอีก แล้วตระกูลไป๋ด้วย แน่นอน ตระกูลไป๋ก็มีความผิดก็ควรจะได้รับโทษ คุณพ่อไม่เคยมองเธอว่าเป็นลูกสาวแท้ๆเลย เธอไม่อะไรกับเขาก็ได้
ชีวิตในตระกูลหนานกง เธอกลัวมากแล้ว
เธอกลัวเขาแค่อารมณ์ร้อนชั่ววูบเลยแต่งงานกับเธอ เดี๋ยวอีกหน่อยเสียใจทีหลังขึ้นมาล่ะ
"เธอแน่ใจหรอ?" หนานกงเฉินจ้องมองไปที่เธอแล้วพูดกัดฟันไปด้วย
"นายเกลียดฉันไม่ใช่หรอ? ในเมื่อเกลียดทำไมต้องแต่งงานกับฉันอีก? ฉันคิดว่านายควรจะคิดพิจารณาให้ดีก่อน" ไป๋มู่ชิงพูดจบก็แอบถอนหายใจ ในใจคิดว่าเหตุผลนี้ก็ไม่เลวเลย
แต่หนานกงเฉินกลับพูดว่า "นี่เป็นเรื่องของผม คุณไม่ต้องมากังวลหรอก"
"แล้วเรื่องของฉันล่ะ?" ไป๋มู่ชิงมองเห็นสายตาที่เยือกเย็นของเขามองมาที่ตัวเอง ถึงแม้จะรู้สึกกลัวแต่ก็ยังอ้าปากพูด "จะให้ฉันแต่งงานกับนายก็ได้ แต่ต้องคืนเสี่ยวอี้กับแม่ของฉันมา"
เธอรู้ หนานกงเฉินคงโกรธอีกแน่ๆ
แล้วสุดท้าย เขาก็โกรธจริงๆ โกรธจนจ้องเธอไปสักพักค่อยเปิดประตูรถลงไป จากนั้นก็อ้อมไปทางอีกฝั่งแล้วดึงเธอออกมาจากประตูรถ
ไป๋มู่ชิงถูกเขาดึงเข้าไปกอดในอ้อมแขนแล้วเดินเข้าไปที่สำนักงานจดทะเบียนสมรส ดูเหมือนทุกอย่างจะทำติดต่อกันแล้วเกิดขึ้นเร็วมาก
ใช่ ผู้ชายคนนี้เป็นแบบนี้แหละ แม้แต่เรื่องแต่งงานก็เอาแต่ใจทำตามใจตัวเองคนเดียว!
เมื่อผู้ช่วยเหยียนเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาก็รีบเดินไปต้อนรับ "คุณชายเฉิน คุณหญิงน้อย เอกสารเขียนเรียบร้อยแล้วค่ะ พวกคุณแค่เข้าไปถ่ายรูปก็เสร็จแล้วค่ะ"
จากคำพูดของผู้ช่วยเหยียน หนานกงเฉินก็พาไป๋มู่ชิงเดินไปที่ห้องถ่ายรูป
นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว เมื่อช่างภาพตั้งกล้องเสร็จแล้วก็โบกมือไปทางไป๋มู่ชิง "เจ้าสาว ช่วยจัดหน้าม้าไปข้างๆหน่อยครับ"
ไป๋มู่ชิงรีบจัดหน้าหมาตัวเองไปข้างๆ ช่างภาพก็ประหลาดใจแล้วถามเธอ "เป็นอะไรครับ? ทำไมหน้าผากของเจ้าสาวถึงมีรอยแผลเป็น?"
"เออ……ฉันปล่อยหน้าม้าลงมาได้ไหมคะ?" ไป๋มู่ชิงใช้มือจับไปที่หน้าม้าตัวเอง รอยแผลบนหน้าผากเป็นแผลที่ชนขอบเตียงวันนั้น เพิ่งตกสเก็ดไปกำลังฟื้นฟูอยู่ เพื่อที่จะปิดบังรอยแผลนี้เธอเลยตั้งใจไปตัดหน้าม้า
หนานกงเฉินเห็นว่าเธอยิ่งจับก็ยิ่งยุ่ง ก็เลยจับมือเธอลงมาแล้วช่วยเธอจัดหน้าม้าอย่างอ่อนโยน แค่ปิดรอยแผลไม่โดนตาสักหน่อย
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ใบหน้าที่ตั้งใจของเขา ความต่อต้านในใจก็หายไปชั่วขณะแล้วก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
"ได้ครับ แบบนี้ได้ครับ" ช่างกล้องพูดชมขึ้น จากนั้นก็ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นเล็งไปที่ทั้งสองแล้วเอ่ยขึ้นด้วย "ทั้งสองคนยิ้มหน่อยนะครับ วันนี้เป็นวันมงคลของทั้งสองคน ถ้าเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงจะไม่มงคลนะครับ……"
"มา ยิ้มครับ……" ช่างกล้องรอไปครึ่งวันก็ยังไม่ได้รอยยิ้มที่น่าพึงพอใจก็เลยเอาแต่เร่งอยู่อย่างนั้น
หนานกงเฉินเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้วหันไปทางไป๋มู่ชิง "เธอจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม? ถ้าไม่ยิ้มก็ออกไปซะ!"
"……" ไป๋มู่ชิงน่าสงสารจนไม่รู้จะเอ่ยพูดอะไร
ช่างกล้องวางกล้องถ่ายรูปแล้วพูดไปทางหนานกงเฉิน "เจ้าบ่าว แล้วคุณล่ะ สรุปคุณจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม?"
หนานกงเฉินก็หมดคำพูดไปด้วย
สุดท้ายช่างกล้องก็ลุกขึ้นยืนตรงแล้วพูดไปทางทั้งสอง "พวกคุณมาแต่งงานไม่ใช่หรอ? ทำไมวันแต่งงานแบบนี้ยังต่อว่าเจ้าสาวอีก? ชีวิตหลังจากนี้จะผ่านไปได้ยังไง? ในฐานะที่เป็นพนักงานจัดทำเรื่องสมรส ถ้าท่าทางของคุณเป็นอย่างนี้ผมสามารถปฏิเสธถ่ายรูปใบสมรสของพวกคุณได้"
สีหน้าของหนานกงเฉินย่ำแย่ไปกว่าเดิม
ไป๋มู่ชิงก็พยายามกลั้นหัวเราะไว้แล้วแอบชูนิ้วโป้งไปให้
"คุณยังจะหัวเราะอีก" ช่างกล้องหันไปพูดกับไป๋มู่ชิง "เป็นผู้หญิงยุคสมัยใหม่แล้ว ทำไมเธอถึงไม่มีความคิดของตัวเองเลย คนอื่นให้เธอออกไปเธอยังจะดื้อดึงอยู่ที่นี่ ผู้ชายที่หน้าตาหล่อไม่มีแค่เขาคนเดียว ก็ออกไปอย่างกล้าหาญแล้วไปจับคนที่ดีกว่าเขามาสิ"
ผู้ช่วยเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆเห็นสีหน้าของหนานกงเฉินเยือกเย็นจนถึงจุดต่ำสุดแล้วก็เลยรีบเดินเข้าไปยิ้มกับช่างกล้อง "คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ เจ้านายทั้งสองคนของฉันปกติก็เป็นแบบนี้แล้วค่ะ ตีเพราะเป็นห่วงด่าเพราะรักไงคะ ช่วยถ่ายรูปให้เขาเร็วๆเถอะค่ะ"
ช่างกล้องมองไปที่ทั้งสอง ทำไมดูเหมือนเจ้าบ่าวไม่ค่อยใส่ใจเจ้าสาวเลย
ด้วยอาชีพของตัวเองก็เลยถามไป๋มู่ชิงว่า "คุณผู้หญิงครับ คุณแน่ใจหรอครับว่าจะแต่งงานกับผู้ชายที่เจ้าอารมณ์คนนี้?"
ไป๋มู่ชิงเงียบไปครู่นึงค่อยเอ่ยปากอย่างลังเล "ความจริงฉัน……" เธอหันไปมองหนานกงเฉิน เมื่อได้รับสายตาที่ขู่เตือนของเขาก็เลยจำใจต้องยิ้ม "แน่ใจค่ะ"
สุดท้ายสีหน้าของหนานกงเฉินก็ค่อยๆดูดีขึ้นมา
ช่างกล้องส่ายหัวด้วยท่าทางที่ยอมแพ้กับเธอ จากนั้นก็ยกกล้องขึ้นเล็งไปที่ทั้งสองอีกครั้ง
ครั้งนี้ เขาก็ไม่สนแล้วว่าทั้งสองจะยิ้มหรือไม่ยิ้มก็กดชัตเตอร์ที่กล้องถ่ายรูปแล้วบอกกับทั้งสอง "ได้แล้วครับ ไปรับรูปภาพฝั่งโน้นได้เลยครับ"
หลังจากที่ทำเอกสารเสร็จ ทั้งสองก็ได้สมรสกันตามกฏหมายแล้ว
เมื่อผู้ช่วยเหยียนยื่นใบสมรสสองเล่มเข้าไปในรถ มือไป๋มู่ชิงก็รับใบสมรสสีแดงไป แล้วความรู้สึกในใจก็พรุ่งพล่านไปหมด
ไม่คิดหรือว่าเธอจะแต่งงานจริงๆ แถมยังแต่งงานกับหนานกงเฉินอีก แต่ก่อนเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งเมืองจะหลบหลีก แต่วันนี้กลับเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งเมืองอยากจะจับจอง!
หนานกงเฉินเห็นว่าเธอเหม่อกับใบสมรสก็เลยเอ่ยเสียดสีขึ้น "ทำยังไงดี? จะไม่ตกลงตอนนี้ก็สายไปแล้ว"
"ถ้างั้น……ก็อยู่ไปอย่างนี้แหละ" เธอยื่นอีกเล่มให้เขา "นี่เป็นของนาย"
เมื่อเปิดเข้าไปดู ก็มีชื่อของหนานกงเฉินไป๋มู่ชิงของทั้งสองแล้ว มีตัวหนังสือที่เขียนไว้ว่าเป็นสามีภรรยาตามกฏหมายแล้ว
'สามีภรรยาตามกฏหมาย' ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่ตัวหนังสือเหล่านี้ในใจก็คิดว่าเหมือนความฝันเลย
แต่ก่อนบนนั้นเป็นชื่อของไป๋ยิ่งอัน แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นไป๋มู่ชิงของเธอแล้ว ตอนนั้น……มีบางเวลาหรือเปล่า ที่เธอเคยวาดฝันภาพเหตุการณ์แบบนี้? เธอจำได้ว่าเคย!
เมื่อเธอเห็นรูปภาพบนนั้นก็เผลอหัวเราะออกมา
เมื่อหนานกงเฉินรับใบสมรสไปแล้วก็ไม่ได้เปิดดูแต่กลับใส่เข้าไปในลิ้นชักเลย เมื่อได้ยินเธอหัวเราะออกมาทั้งๆที่เมื่อกี้ยังเศร้าเสียใจอยู่ก็เลยหันกลับไปมองที่เธอ จากนั้นสายตาก็มองไปที่ใบสมรส
ไป๋มู่ชิงยื่นใบสมรสไปต่อหน้าเขาแล้วอดพูดไม่ได้ "ฉันเพิ่งเห็นนายหน้าตาขี้เหร่ก็วันนี้แหล่ะ จริงๆเลย……ลุงช่างกล้องพูดถูก น่าจะออกจากสำนักงานแล้วจับสักคนที่หล่อกว่านาย"
ในรูปหนานกงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย รอยยิ้มที่ออกมายิ้มได้อย่างยากเย็นแต่กลับน่าเกลียดกว่าการร้องไห้ ขี้เหร่กว่าตัวจริงมากๆ
หนานกงเฉินมองไปที่รูปถ่ายบนนั้นแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแส "ทำไมเธอไม่หัวเราะตัวเองล่ะ?"
ไป๋มู่ชิงพยายามจะไม่พูดถึงรูปของตัวเอง "ฉันโดนบังคับให้แต่งงาน จะขี้เหร่ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว"
หนานกงเฉินไม่สนใจเธอแล้วสตาร์ทรถแล่นออกจากสำนักทะเบียนสมรส
ไป๋มู่ชิงเก็บหนังสือสมรสไปด้วยแล้วเอ่ยไปด้วย "ในเมื่อแต่งงานแล้ว ต่อไปนายก็เป็นของฉัน ฉันก็เป็นของนาย"
"ไม่ทราบว่าคุณมีอะไรบ้าง?"
"ฉันมีเสี่ยวอี้กับแม่" ไป๋มู่ชิงพูด
หนานกงเฉินหันไปมองเธอ "เธอกำลังจะพูดอะไร?"
"ฉันอยากจะบอกว่า ในเมื่อเราสองคนแต่งงานแล้ว เสี่ยวอี้ก็เป็นน้องชายของเราสองคน นายมีหน้าที่ต้องดูแลเขาดีๆ รักษาโรคของเขาให้หายไม่ใช่หรอ?" ไป๋มู่ชิงพูดอย่างระมัดระวังแต่ก็พูดอย่างหนักแน่น
"ตอนนั้นหลินอันหนานก็สัญญากับเธออย่างนี้หรอ?"
"ใช่ ไม่งั้นฉันก็คงไม่ตอบตกลงแต่งงานกับเขา"
หนานกงเฉินไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอีก ขับรถแล้วพาเธอไปทางที่ห้าง
เมื่อรถแล่นมาถึงหน้าประตูห้าง เลขาหลิ่วก็รออยู่ที่นั่นตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นรถของหนานกงเฉินก็เดินขึ้นไปตอนรับแล้วโค้งให้หนานกงเฉินในรถ "คุณชายเฉิน คุณหญิงน้อย พวกคุณถึงแล้วหรอคะ"
หนานกงเฉินพยักหน้ากับเธอแล้วพูดกับไป๋มู่ชิง "ตอนเที่ยงกินข้าวข้างนอกได้ ถ้าเดินจนเหนื่อยแล้วก็ไปรอผมเลิกงานพร้อมกับเลขาหลิ่วได้"
"ฉันรู้แล้ว" ไป๋มู่ชิงเปิดประตูรถลงไป
หลังจากที่หนานกงเฉินขับรถออกไป เลขาหลิ่วก็คล้องแขนไป๋มู่ชิงอย่างกระตือรือร้นแล้วยิ้ม "ไปกันเถอะค่ะคุณหญิงน้อย ฉันรู้จักที่นี่ดี อยากได้เสื้อผ้าอะไรฉันจะหาให้คุณหมดเลยค่ะ"
ไป๋มู่ชิงเพิ่งรู้จักเลขาหลิ่วเป็นครั้งแรก ก็เลยอึดอัดกับการกระทำที่กระตือรือร้นของเธอ แต่เมื่อคนอื่นกระตือรือร้นแบบนี้เธอก็เกรงใจที่จะปฏิเสธก็เลยยิ้มกับเธอ แล้วเดินเข้าไปข้างใน
เลขาหลิ่วเป็นลูกค้าประจำที่นี่จริงๆ รู้จักผลิตภัณฑ์ในนี้ดีมาก ก็เลยพาไปที่ร้านเสื้อผ้าที่สไตล์เรียบง่ายดูดีที่เหมาะกับเธอ
ไป๋มู่ชิงไม่ค่อยเลือกเสื้อผ้าอยู่แล้ว ก็เลยได้เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ซื้อเสื้อผ้าเสร็จ เลขาหลิ่วก็พาไป๋มู่ชิงไปนั่งที่ร้านกาแฟแล้วกินขนมกับดื่มชานม จากนั้นก็ยื่นชานมไปตรงหน้าเธอแล้วพูด "ชานมร้านนี้อร่อยมาก เราจะซื้อให้คุณชายเฉินด้วยมั้ยคะ?"
"ไม่ต้องหรอก เขาไม่ดื่มอะไรแบบนี้" จากที่เธอรู้มา หนานกงเฉินดื่มแค่กาแฟกับชาเขียวเท่านั้น อย่างอื่นไม่ดื่มเลย
"เปล่านะคะ ฉันเคยเห็นผู้ช่วยเหยียนซื้อชานมให้เขา"
"ใช่หรอ? เขาอาจจะดื่มเป็นบางครั้งคราวมั้ง"
เลขาหลิ่วพูดยิ้ม "แต่ว่าผู้ช่วยเหยียนดีกับคุณชายเฉินอยู่แล้ว อย่าว่าแต่ชานมเลย ไม่ว่าจะเจอของดีอะไรก็จะซื้อกลับมาให้คุณชายเฉินตลอด"
เลขาหลิ่วเปิดดูเมนูไปด้วยแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ
เมื่อไป๋มู่ชิงได้ยินเธอพูดอย่างนี้ ก็เลยยิ้มตอบไป ไม่ได้คิดมากอะไร
เลขาหลิ่วดูไปสักพักเงยหน้าขึ้น "ใช่สิ คุณหญิงน้อย คุณรู้จักผู้ช่วยเหยียนมากมั้ยคะ?"
"ไม่ค่อย ทำไมหรอ?"
"ความจริงพวกเราก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอมาก รู้สึกว่าเธอเป็นคนที่เยือกเย็นแล้วน่าค้นหา โดยเฉพาะความรู้สึกที่มีให้คุณชายเฉิน ช่าง……" เลขาหลิ่วรีบกลืนคำพูดแล้วใช้มือป้อมปากตัวเองไว้แล้วจ้องไปทางไป๋มู่ชิง
"ขอโทษค่ะ ฉันหมายถึง……"
"ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ" ไป๋มู่ชิงยิ้มให้เธอ
"คุณหญิงน้อยไม่เข้าใจผิดก็ดีแล้วค่ะ" เลขาหลิ่วโล่งอกไป "ความจริงเราก็ได้ยินเพื่อนร่วมงานพูดคุยกัน แต่อย่างว่านะ เราก็เชื่อในตัวของผู้ช่วยเหยียน เธอไม่มีทางคิดเกินเลยกับคุณชายเฉินแน่นอน"
ไป๋มู่ชิงพยักหน้าให้แล้วยิ้มอ่อนไปทางเธอ จากนั้นก็ก้มหน้าดื่มชานมในแก้ว
การกระทำของเลขาหลิ่วทำไมเธอจะดูไม่ออก ก็คงจะรู้สึกว่าผู้ช่วยเหยียนขัดตา ก็เลยอยากจะยืมมือเธอแล้วจัดการกับผู้ช่วยเหยียน
แต่เลขาคนนี้ช่างไม่รู้อะไรเลย ว่าเธอไม่มีน้ำหนักในสายตาของหนานกงเฉินเลย ถึงแม้จะมี เธอก็จะไม่ยุ่งเรื่องเกี่ยวกับบริษัท ไม่ใช่หน้าที่ที่เธอจะยุ่ง
หนานกงเฉินเตือนเธอไปตั้งนานแล้ว ถ้าเขาอยากได้ผู้หญิงคนไหนก็จะต้องได้ เธอไม่มีสิทธิ์ไปพูดอะไร
จนถึงทุกวันนี้เธอก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างหนานกงเฉินกับผู้ช่วยเหยียน แต่จากความรู้สึกของตัวเองบวกกับที่ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ช่วยเหยียน เธอคิดว่าผู้ช่วยไม่ใช่คนแบบนั้น
หลังจากที่ทานมื้อเที่ยงในร้านกาแฟ ทั้งสองก็เดินไปทั่วห้าง ไป๋มู่ชิงที่ไม่คิดที่จะซื้ออะไรอยู่แล้วก็เริ่มรู้สึกเบื่อก็เลยตัดสินใจกลับไปรอหนานกงเฉินที่ห้องทำงานของเขา
เมื่อเดินผ่านร้านกาแฟร้านนั้นก็ไป๋มู่ชิงคิดขึ้นมาได้ สุดท้ายก็เดินเข้าไปซื้อชานมสองแก้วออกมา
เมื่อกลับไปถึงห้องทำงานของหนานกงเฉิน ผู้ช่วยเหยียนก็กำลังพูดคุยเรื่องงานกับหนานกงเฉินพอดี
เลขาหลิ่วเอ่ยอย่างมีมารยาทกับหนานกงเฉิน "คุณชายเฉินคะ คุณหญิงน้อยบอกว่าเธอไม่อยากเดินแล้วจะกลับมารอคุณเลิกงานที่บริษัทค่ะ"
"เข้ามาเลย" หนานกงเฉินเอ่ยขึ้นอย่างเรียบนิ่ง
ไป๋มู่ชิงเดินเข้าไปแล้วมองกวาดทั้งสอง จากนั้นก็วางชานมทั้งสองแก้วลงบนโต๊ะทำงานของหนานกงเฉินแล้วยิ้มอ่อน "นี่เป็นชานมของพวกคุณสองคน รสชาติอร่อยมาก"
ผู้ช่วยเหยียนหยิบชานมไปหนึ่งแก้วแล้วยิ้มกับเธอ "ขอบคุนนะคะ"
"ไม่ต้องหรอก ฉันแค่เดินผ่านพอดีเลยซื้อกลับมาด้วย"
"แต่ว่า……" ผู้ช่วยเหยียนมองไปที่ชานมอีกแก้วแล้วเอ่ย "คุณชายไม่ดื่มชานมนะคะ"
ไป๋มู่ชิงประหลาดใจไป เมื่อกี้เลขาหลิ่วเพิ่งพูดไปว่าปกติผู้ช่วยเหยียนก็จะซื้อชานมมาให้ด้วย เธอมองไปที่ชานมแล้วมองไปทางหนานกงเฉินเลยยิ้มอย่างแห้งๆ "ไม่เป็นไร ถ้าไม่ดื่มก็โยนทิ้งไปเถอะ ไม่แพง"
ไม่รู้ความชอบส่วนตัวของสามีตัวเองนี่ก็รู้สึกยังไงๆอยู่
"ถ้าโยนทิ้งก็คงเสียดาย เดี๋ยวฉันเอาไปให้ผู้ช่วยหวงก็ได้ค่ะ" ผู้ช่วยเหยียนลุกขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วพูด "พวกคุณคุยกันเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันออกไปทำงานก่อนนะคะ"
"ออกไปทำงานได้ แต่เก็บชานมไว้ที่นี่" หนานกงเฉินใช้นิ้วชี้ไปที่หนึ่งในแก้วชานมในมือเธอ
ผู้ช่วยเหยียนรู้สึกประหลาดใจไป จากนั้นก็ยิ้มอ่อนแล้ววาง ชานมกลับไปบนโต๊ะเหมือนเดิม จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องทำงานเขา
หลังจากที่ผู้ช่วยเหยียนออกไป ไป๋มู่ชิงก็มองไปที่ชานมบนโต๊ะแล้วถามขึ้นอย่างสงสัย "แล้วไม่ทราบว่าคุณชายดื่มหรือไม่ดื่มชานมคะ?"
"แต่ก่อนไม่" หนานกงเฉินยกชานมขึ้นแล้วมองไปที่เธอ "แต่ในเมื่อเป็นของขวัญชิ้นแรกที่เจ้าสาวให้ ถึงแม้ผมจะไม่ชอบแต่ก็ลองชิมดูได้ไม่ใช่หรอ?"
เขาดูดชานมไปคำนึงแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย "รสชาติไม่เท่าไหร่"
"ถ้าดื่มไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืนใจ"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...