เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 165

เดิมทีเธอไม่อยากทำให้ซูซี่ต้องผิดหวัง แค่อยากจะกระตุ้นหนานกงเฉินสักเล็กน้อย แต่เวลานี้เธอได้เห็นใบหน้าของหนานกงเฉินที่แล้วถึงความหึงหวง ในใจเธอกลับรู้สึกทนไม่ได้ เธอรู้ดีว่าหนานกงเฉินขี้หวงมาก และยังเชื่อเรื่องอะไรพวกนี้ง่ายๆ อีก

ถ้าหากเขาคิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา วันเวลาต่อไปนี้ของเธอคงจะไม่สงบสุขอีกต่อไปเป็นแน่ และจูจูก็คงจะเข้ามาแทรกแซงเวลาที่พวกเขาสองคนทะเลาะกัน

ทุกคนก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง ในเวลาที่ตนเองอ่อนแอ จู่ๆ ก็มีผู้ชายอาบอุ่นคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เดิมทีหัวใจที่เย็นชากลับกลายเป็นหัวใจที่อบอุ่น และความรู้สึกดีๆ ก็เริ่มเกินขึ้นในเวลานี้

เธอก้าวถอยหลังพลางจ้องมองเขาและพูดว่า "ฉันไม่ได้ไปดูหนังกับคุณชายรองเฉียวนะ ฉันไปกับเสียวเหม่ยและซูซี่ต่างหาก"

"โกหก! " เขาเพิ่งโทรหาซูซี่และซูซี่ไม่ได้อยู่กับเธอ

“ฉันไม่ได้โกหกคุณ”

“แล้วทำไมคุณถึงอยู่กับเฉียวเฟิงล่ะ? บังเอิญอีกแล้วงั้นเหรอ?”

"ใช่ มันเป็นเรื่องบังเอิญ ซูซี่ให้เขามาส่งฉันที่บ้าน"

"บนโลกนี้จะมีความบังเอิญมากขนาดนั้นเลยเหรอ? และจะต้องบังเอิญเป็นเขาทุกครั้งด้วยเหรอ? "หนานกงเฉินคว้าร่างของเธอและพูดด้วยความโกรธ "ถ้าคุณอยู่กับเหยาเหม่ยและคนอื่น ๆ ทำไมคุณถึงปิดโทรศัพท์มือถือล่ะ? ทำไมไม่ให้ซูซี่ส่งคุณกลับบ้าน? ก่อนหน้านี้เธอเป็นคนส่งตลอดไม่ใช่เหรอ?”

"ฉัน ... " ไป๋มู่ชิงจะอธิบายสถานการณ์นี้อย่างไร? ถ้าเธอบอกว่าซูซี่แอบปิดโทรศัพท์มือถือของเธอ เขาคงจะไม่เชื่อหรอกถูกไหม?

"ทำไมถึงไม่เถียงล่ะ? " ยิ่งเธอไม่สามารถโต้แย้งได้มากเท่าไหร่ หนานกงเฉินก็โกรธมากขึ้นเท่านั้น

ไป๋มู่ชิงผลักเขาออกไปจากร่างของเธอและพูดอย่างอารมณ์เสีย "ยังไงฉันก็ยืนยันคำเดิมว่าไม่มีอะไร ถ้าคุณไม่เชื่อก็ตรวจดูที่สะกดรอยตามฉันสิ"

"ฉันเห็นหมดแล้ว ยังต้องให้ฉันไปตรวจดูอีกเหรอ? "

“งั้นฉันก็เห็นคุณกินผลไม้ที่คุณไม่ชอบกับรักแรก ฉันก็ควรเดาบ้างไม่ใช่เหรอว่าคืนนั้นพวกคุณทั้งสองคนทำอะไรกันบ้าง ได้ทำในสิ่งที่คุณสองคนอยากทำมากที่สุด?”

“คุณหมายความว่าไง?”

“หรือมันไม่ใช่ล่ะ? ตอนที่ฉันอยู่เธอยังกล้ากอดคุณ กอดคุณแน่นๆ ทั้งคืน แล้วตอนที่ฉันไม่อยู่ล่ะ?”

"พูดให้มันดีๆ หน่อยนะ! " หนานกงเฉินโกรธมากจนแทบบ้า

"คุณเองยังทำไม่ดีเลย จะให้ฉันพูดดีๆ ได้ยังไง? "

หนานกงเฉินโกรธมากจนดึงคอเสื้อเธอ ไป๋มู่ชิงถูกเขาบีบจึงกระซิบเสียงต่ำ "หนานกงเฉิน คุณจะทำอะไร? "

“คุณอยากรู้ว่าฉันทำอะไรกับจูจูบ้างไม่ใช่เหรอ? ลองพิสูจน์ดูด้วยตัวเองเป็นยังไงล่ะ หืม?” หลังจากที่หนานกงเฉินพูดจบเขาก็ก้มศีรษะลงและจูบที่ริมฝีปากของเธออย่างดุเดือด

ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรและพูดอย่างกังวล "คุณอย่าทำแบบนี้ได้ไหม"

เรื่องแบบนี้สามารถพิสูจน์ได้ด้วยเหรอ? เธอไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน

ในช่วงเวลาสั้น ๆ เขาถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออกจากร่างกายของเธอ และจูบที่โกรธเกรี้ยวของเขาก็เคลื่อนไปทั่วลำคอของเธอ จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและอุ้มเธอขึ้นจากโซฟาและโยนเธอไปที่เตียง

ร่างของเขาเคลื่อนทับร่างของเธอ ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ทั้งสองคนบนเตียงหันมองไปทางประตูพร้อมกัน

หนานกงเฉินกำลังจะผละออกจากไป๋มู่ชิง แต่ทันใดนั้นไป๋มู่ชิงก็คว้าเอวของเขาไว้ด้วยมือข้างหนึ่งและจ้องมาที่เขาด้วยความเยาะเย้ย "คุณไม่ต้องการพิสูจน์ตัวเองไม่ใช่เหรอ? ให้เธอเข้ามาสินั่นเป็นหลักฐานอย่างดีเลยแหละ คุณกล้าหรือเปล่า? "

หนานกงเฉินมองเธอด้วยความงุนงงในสายตาของเขา ไป๋มู่ชิงเป็นคนหัวโบราณมาตลอด จริงๆ แล้วเธอต้องการให้คนภายนอกเข้ามาเห็นเธอในสภาพแบบนี้จริงๆ เหรอ?

“ไป๋มู่ชิง คุณไม่อายหรือยังไง?” หนานกงเฉินกัดฟันและดุเธอ

"ไม่" ไป๋มู่ชิงพูดออกมาอย่างดื้อ ๆ จากนั้นก็ดึงผ้านวมมาคลุมร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าของเธอพลางตะโกนไปที่ประตู "เข้ามา"

ประตูห้องนอนถูกผลักเปิดออกอย่างลังเลและร่างของจูจูก็ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา เมื่อเธอเห็นหนานกงเฉินที่ผมยุ่งกำลังคร่อมอยู่บนร่างเล็ก เธอก็ยกมือขึ้นปิดตาทันทีกรีดร้อง "กรี๊ด. .. ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ ... ฉันแค่อยากจะมาอธิบายกับมู่ชิงฉัน ... ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้ "

จูจูคร่ำครวญและถอยห่างจากนั้นก็หันหลังเดินออกไป

ประตูห้องนอนถูกปิดอีกครั้ง และหนานกงเฉินก็หันกลับมามองลงไปที่ไป๋มู่ชิงด้วยใบหน้าที่พึงพอใจ "คุณพอใจหรือยัง? "

“ไม่พอใจ ฉันอยากให้เขาไปให้พ้นสายตาของฉัน ยิ่งไกลยิ่งดี”

“น่าเสียดายที่ฉันคิดว่าคุณเป็นคนใจกว้างมากตลอด คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณจะไม่มีน้ำใจแบบนี้!” หนานกงเฉินผละออกจากเธอและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะออกจากห้องนอนไป

ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวในห้องนอน เธอสูดหายใจอย่างขมขื่นและจ้องมองเพดานเหนือศีรษะเป็นเวลานานก่อนจะลุกขึ้นนั่งจากเตียงและเดินเข้าไปในห้องน้ำ

เธอยืนอยู่ใต้ฝักบัวและอาบน้ำ ใส่ชุดนอนแล้วกลับไปที่เตียงเพื่อนอน

เธอนอนอยู่บนเตียงและได้รับข้อความจากซูซี่ว่าถ้าต้องการความช่วยเหลือมาหาฉันได้ทุกเมื่อนะ

ไป๋มู่ชิงปิดข้อความและกดโทรออกไปหาเธอ เสียงขี้เกียจของซูซี่ดังมาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ "มีอะไรเหรอ? จะขอความช่วยเหลือเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? "

"คุณหนูซู คราวหลังโปรดแจ้งฉันให้ทราบก่อนลงมือได้ไหม? ตกใจแทบแย่น่ะรู้ไหม? " ไป๋มู่ชิงรู้สึกกลัวเล็กน้อยเมื่อเธอนึกถึงการปรากฏตัวของหนานกงเฉินในตอนนี้

“มีอะไรเหรอ? เขาด่าเธอเหรอ?”

“ไม่ใช่แค่ด่า แต่เกือบจะฆ่าฉันตาย”

“เขาไม่ได้บังคับขืนใจเธอเหรอ? ผู้ชายสมัยนี้ชอบทำวิธีนี้กันนี่นา?”

“เกือบแล้ว”

"เกือบเหรอ? แค่เกือบเหรอ? "

“รักแรกมาเคาะประตูซะก่อน”

“บ้าจริง ยัยบ้านั่นรู้ทันแน่ๆ จะต้องมาขัดจังหวะในเวลาที่สำคัญตลอดเลย

ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และซูซี่ก็พูดอีกครั้ง "แต่นี่แสดงว่าหนานกงเฉินก็ยังแคร์เธออยู่ใช่ไหม? "

“น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”

"มิน่าล่ะเธอถึงมีอารมณ์มาคุยโทรศัพท์กับฉันน่ะ"ซูซี่หัวเราะเบา ๆ "ครั้งต่อไปขอแบบดุเดือดเลยนะ เอาให้เขากระอักเลือดตายไปเลย"

"อย่าสิ" ไป๋มู่ชิงพูดอย่างรีบร้อน"ที่ฉันโทรหาเธอก็เพื่อจะมาเตือนเธอ ครั้งต่อไปอย่าเล่นแบบนี้อีกนะ ต่อให้แกล้งเขาก็อย่าดึงคุณชายรองเฉียวเข้ามาเกี่ยวพันด้วย คนเขาขาพิการทั้งสองข้างก็น่าสงสารอยู่แล้ว พวกเราอยากกลั่นแกล้งเขาเลย”

"เธอคิดมาไปแล้ว วันนี้เขาบังเอิญอยู่ที่นั่นพอดี และ ... " ซูซี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย "เขาเต็มใจที่จะเล่นด้วย"

“เธอพูดอะไรน่ะ? เธอบอกว่าเขาอารมณ์ร้ายไม่ใช่เหรอ?”

"อารมณ์ร้ายกับแค่บางคนน่ะ ถ้าเป็นเธอละก็...ไม่แน่นอน "

"ทำไมล่ะ? "

"เพราะว่า ... เธอเป็นภรรยาขอคุณชายเฉินน่ะสิ"ซูซี่ยิ้ม "เอาล่ะ เธอค่อยๆ จัดการศึกในบ้านไปนะ ฉันจะนอนแล้ว"

"ยังไงครั้งหน้าก็ห้ามดึงคุณชายรองเฉียวเข้ามาเกี่ยวข้องอีกนะ หนานกงเฉินคิดจริงจัง" ไป๋มู่ชิงพูดก่อนจะวางสายโทรศัพท์

หลังจากวางสายโทรศัพท์ไป๋มู่ชิงก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะข้างเตียง ดึงผ้านวมคลุมร่างของเธอและหลับตาลง

แม้ว่าการทะเลาะกับหนานกงเฉินจะดุเดือดมาก แต่หลังจากคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็จริงอยู่ว่าพวกเขาจริงใจต่อกันมากเกินไป ซึ่งนำไปสู่สถานการณ์ปัจจุบัน เธอที่อยากจะเรียนรู้การเป็นศรีภรรยาที่ดีอย่างจูจู แต่ไม่คิดว่าจะยอมแพ้ตั้งแต่เจอเหตุการณ์เมื่อคืน

ทุกอย่างต้องโทษซูซี่ จะสร้างปัญหาก็ไม่ยอมบอกกับเธอก่อน

หลังจากนอนบนเตียงเป็นเวลานานโดยไม่รอให้หนานกงเฉินกลับห้อง ไป๋มู่ชิงเดาได้ว่าเขากำลังนอนอยู่ในห้องหนังสือหรือห้องนอนชั้นล่างแล้วก็หลับไป

เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นตอนเช้าก็เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่ง

เธอรีบลุกขึ้นนั่งจากเตียง จากนั้นหันศีรษะและเหลือบมองไปที่ด้านข้างของเธอ ไม่มีร่องรอยของใครนอนอยู่ซึ่งหมายความว่าหนานกงเฉินไม่ได้กลับมานอนที่ห้องเมื่อคืนนี้!

เพราะใกล้จะถึงเวลาทำงานเธอจึงไม่มีเวลากังวลกับปัญหานี้ หลังจากลงจากเตียงเธอก็ตรงเข้าไปในห้องน้ำแปรงฟันและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว

เมื่อเธอลงไปที่ชั้นหนึ่งเธอก็เห็นฉากที่ทำให้เธอแทบจะกระอักเลือด หนานกงเฉินและจูจูกำลังทานอาหารเช้าคุยกันและหัวเราะ ฉากนั้นดูอบอุ่นราวกับเป็นคู่รักกัน

ในทางกลับกันดูเหมือนว่าเธอจะเป็นบุคคลที่สามที่จะรบกวนพวกเขา หนานกงเฉินยังป้อนจูจูต่อหน้าเธอและพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมาก "กินเยอะๆ สิ"

จูจูมองไปที่หนานกงเฉินและไป๋มู่ชิงอีกครั้ง หลังจากขอบคุณหนานกงเฉินแล้วเขาก็มองไปที่ไป๋มู่ชิงด้วยรอยยิ้มและพูดว่า "มู่ชิง คุณตื่นแล้วเหรอ? "

"ใช่ ฉันขอโทษที่รบกวนพวกคุณ" ไป๋มู่ชิงดึงเก้าอี้และนั่งลงหยิบโต๊ะและตะเกียบจากด้านข้างเพื่อเริ่มทานอาหารเช้าโดยไม่ได้มองไปที่พวกเขาสองคนที่อยู่ข้างๆ เธอ

“มู่ชิง ล้อเล่นอะไรกันคะ ต้องเป็นฉันต่างหากที่รบกวนคุณกับเฉิน” จูจูยังคงแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา

ไป๋มู่ชิงมองไปที่หนานกงเฉินที่เงียบและยิ้ม "คุณเกรงใจเกินไปแล้ว ขอแค่เฉินไม่คิดว่ารบกวนก็ไม่เป็นไรค่ะ"

จูจูยิ้มและก้มหน้าทานอาหารเช้าต่อ

หนานกงเฉินวางชามและตะเกียบในมือลงแล้วพูดกับจูจู "รีบไปกันเถอะ ฉันมีประชุมตอนแปดโมงครึ่ง"

"อ้อ" จูจูเหลือบมองไป๋มู่ชิงวางจานและรีบเดินตามออกไป

หนานกงเฉินไม่รอให้ไป๋มู่ชิงขึ้นรถและขับรถออกจากคฤหาสน์หลังเล็ก เมื่อไป๋มู่ชิงถือแซนด์วิชวิ่งไล่ตามพวกเขาไป แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วรถของเขาขับออกไปทางประตู

เขารู้ดีว่าไม่มีรถบัสไปบริษัท เขาจึงไม่รอเธอ? ไป๋มู่ชิงโกรธมากยืนกระทืบอยู่ตรงนั้น

ฉันรู้ว่ายิ่งเธอแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งผลักหนานกงเฉินเข้าไปในอ้อมแขนของจูจู เธอสูดหายใจ โกรธจนทำอะไรไม่ถูก แต่เธอทำได้เพียงแค่กลั้นมันไว้

นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋มู่ชิงไปทำงานด้วยรถยนต์ของตนเอง หลังจากที่เธอเลี้ยวรถบัสแล้วเธอก็กลับรถไฟใต้ดินตอนนั้นเกือบสิบโมงกว่าที่เธอจะมาถึงบริษัท

เพื่อนร่วมงานทุกคนมองเธออย่างแปลกใจ เสี่ยวเถียนถามอย่างงง ๆ "เมื่อเช้าตอนที่ฉันมาถึง ฉันเห็นรถของคุณชายเฉินจอดอยู่ที่หน้าบริษัทแล้ว ทำไมเธอเพิ่งมาถึงล่ะ? "

“วันนี้ฉันมาเอง” ไป๋มู่ชิงยิ้มเจื่อน

เสี่ยวเถียนเหลือบมองไปรอบ ๆ และโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูไป๋มู่ชิง “มู่ชิง เมื่อวานตอนที่เลขาจูเริ่มเข้าทำงาน ทุกคนลือกันว่าเขาเป็นคนรักของคุณชายเฉิน วันนี้ยังลงจากรถของคุณชายเฉินอย่างสนิทสนมอีกด้วย ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไม่ใช่เธอยังไม่รู้เรื่องนี้หรอกนะ”

ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ คาดเดาว่าทุกคนก็คงหัวเราะเยาะในใจ คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างเธอได้แต่งงานกับคุณายเฉิน จุดจบก็คือหวานชื่นกันได้ไม่กี่วันก็กลายเป็นหมาหัวเน่า

เธอยิ้มและพูดกับเสี่ยวเถียน "อย่าเดามั่วสิ พวกเขาก็เป็นแค่เพื่อนสมัยเด็กกันน่ะ ไม่ได้เป็นคู่รักกันสักหน่อย"

"ฉันก็คิดแบบนั้นนะ คุณชายเฉินไม่เคยพาคนรักมาบริษัทเสียหน่อย" เสี่ยวเถียนยิ้มและปลอบเธอ "เธอย่าไปฟังข่าวลือพวกนั้นเลยนะ ยิ้มหน่อย"

"ฉันรู้แล้ว" ไป๋มู่ชิงตบไหล่เสียวเถียนเบาๆ จากนั้นหันกลับไปที่ที่นั่งของเธอ

ตั้งแต่มีข้อกำหนดเธอก็ขึ้นไปทานมื้อเที่ยงเองโดยที่เขาไม่ต้องเรียก แต่วันนี้เธอกลับไม่ได้

หนานกงเฉินทิ้งเธอและพาจูจูไปที่บริษัท เธอต้องไปหาเขาเพื่อทานอาหารกลางวันงั้นเหรอ? บางทีหลังจากที่เธอขึ้นไปเธออาจจะเห็นทั้งสองคนจงใจแสดงความรักกัน

ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจไปที่โรงอาหารกับเสี่ยวเถียนและคนอื่น ๆ

ทันทีที่เธอไปที่โรงอาหาร ทุกคนก็เริ่มคาดเดากันไปต่างๆ นานา บางคนถึงขั้นเดาว่าพวกเขาสองคนหย่าร้างกัน

แม้แต่เสี่ยวเถียนก็อดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง "มู่ชิง เกิดอะไรขึ้นกับเธอและคุณชายเฉินกันแน่? มันไม่เกี่ยวข้องกับเลขาจูจริงๆ เหรอ? "

"ไม่ อย่าเดามั่วสิ" ไป๋มู่ชิงพูดจนมุมพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ

เมื่อเห็นว่าเธอไม่อยากพูดมากกว่านี้ เสี่ยวเถียนก็ไม่สามารถถามต่อได้

ไป๋มู่ชิงรับโทรศัพท์จากซูซี่ทันทีที่เธอลงไปที่ชั้นหนึ่ง น้ำเสียงของเธอไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก "มีอะไรเหรอ? "

“เป็นอะไรน่ะ กินข้าวหรือยัง?”

"ต้องขอบคุณเธอนะ วันนี้ฉันยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย กำลังจะไปหาอะไรกินที่โรงอาหาร"

"ฉันรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้" ซูซี่ยิ้ม "ดูว่าฉันมองการณ์ไกลแค่ไหน ออกมาสิ"

"เธอจะทำอะไร? "

"ฉันอยากเลี้ยงข้าวเธอเป็นการไถ่โทษน่ะ" น้ำเสียงของซูซี่ไม่อาจต้านทานได้"ฉันอยู่ชั้นล่างแล้ว"

เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด ไป๋มู่ชิงก็ต้องเดินไปที่ประตูบริษัท ทันทีที่เธอขึ้นรถซูซี่มองเธอด้วยรอยยิ้มและถามว่า "หนานกงเฉินอยู่กับยัยนั่นเหรอ? "

ไป๋มู่ชิงส่ายหัว "ฉันจะไปรู้ได้ยังไง"

หนานกงเฉินจะรับประทานอาหารกลางวันกับจูจูหรือไม่? อาจจะเป็นเช่นนั้น จูจูจะพลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้ไปได้อย่างไร?

หลังจากพูดเสร็จเธอก็หันหน้าไปมองเธอด้วยความหวาดกลัว "จริงสิ คุณชายเฉียวของเธอก็ถูกเธอไล่แบบนี้ล่ะสิ? "

“พูดอะไรน่ะ คุณชายเฉียวของฉันโดนล่อลวงไปต่างหาก” ซูซี่สตาร์ทรถและขับรถออกไปจากประตูอาคาร

ไป๋มู่ชิงเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างเงียบ ๆ เธอควรจะฟังคำพูดของเหยาเหม่ยและไม่ควรพึ่งพาซูซี่ เพราะเหยาเหม่ยพูดถูก ผู้หญิงคนนี้แม้แต่สามีของตัวเองยังไม่สนใจ แล้วนับประสาอะไรจะสนใจสามีของคนอื่น?

เมื่อเห็นอาหารสองชุดที่วางอยู่ตรงหน้า หนานกงเฉินไม่รู้สึกอยากอาหารแม้แต่น้อย

เลขาเหยียนเห็นว่าเขาวางตะเกียบลงอีกครั้งจึงเดินไปมองเขาแล้วถามว่า "คุณเป็นอะไรหรือเปล่า? อาหารไม่ถูกใจคุณเหรอ? "

หนานกงเฉินส่ายหัวและเลขาเหยียนถามอีกครั้ง "กินคนเดียวไม่ได้เหรอคะ? "

หนานกงเฉินไม่ตอบรับเธอและหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นและพูดกับเธอว่า "นั่งลงและกินข้าวกับฉัน"

เลขาเหยียนไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะพูดอย่างนั้น เธอลังเลว่าควรนั่งลงหรือไม่ แต่ในที่สุดเธอก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของหนานกงเฉินได้และเดินไปนั่งตรงข้ามเขา

เมื่อเห็นเธอนั่งลงหนานกงเฉินก็หยิบตะเกียบขึ้นมาและกิน

เลขาเหยียนกินอาหารในชามหลังจากกินไปสองคำ ในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่เขา"คุณชายเฉิน คุณกังวลเกี่ยวกับการเลือกคุณหนูจูกับคุณหนูไป๋เหรอคะ? "

หนานกงเฉินเลิกคิ้วขึ้นและมองไปที่เธอและพูดอย่างใจเย็น "ฉันขอให้คุณนั่งทานอาหารด้วย ไม่ใช่มาถามฉัน"

“แต่ฉันคิดว่าตอนนี้คุณต้องการคำแนะนำนะคะ” เลขาเหยียนยิ้มเบา ๆ

“เธอไปไหนแล้ว?”

“ใครเหรอคะ? คุณหนูไป๋? ออกไปแล้วค่ะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด