เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 166

สรุปบท บทที่ 166 บาดเจ็บ: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

สรุปตอน บทที่ 166 บาดเจ็บ – จากเรื่อง เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด โดย เยว่กวางจู่อวี

ตอน บทที่ 166 บาดเจ็บ ของนิยายInternetเรื่องดัง เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด โดยนักเขียน เยว่กวางจู่อวี เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

เขาหันกลับไปปิดประตูห้องจากนั้นก็กดแขนเธอลงให้แนบชิดกับประตู ส่วนมืออีกข้างก็กอดตัวเธอไว้ให้ใกล้ชิดตัวเองด้วย

"คุณจะทำอะไร? เอาแต่ทำแบบนี้ไม่เบื่อหรอ?" ไป๋มู่ชิงปัดมือของเขาข้างที่จับคางตัวเองไว้ออก

"วันๆคุณเอาแต่ทำหน้าตึงแบบนี้ไม่เบื่อหรอไง" หนานกงเฉินยกมือข้างที่เธอปัดลงขึ้นแล้วหยุดลงที่คอเสื้อเธอ จากนั้นก็ปลดกระดุมทีละเม็ด

"แล้วคุณล่ะ? วันๆเอาแต่สวีทกับรักแรกของคุณต่อหน้าฉันไม่เบื่อหรอ?"

"ไม่เบื่อ พรุ่งนี้ก็จะสวิตต่อหน้าคุณอีกจนคุณทนไม่ไหว" กระดุมเสื้อของเธอถูกปลดโดยนิ้วของเขาทีละเม็ดจนเห็นเรือนร่างที่สวยของเธอ

ไป๋มู่ชิงรู้สึกถึงความเย็นที่สัมผัสกับผิวกายแล้วปลายนิ้วที่อุ่นร้อนของเขาที่ลากผ่านร่างกายเธอไป จนไป๋มู่ชิงรู้สึกขนลุกขึ้นมาทั้งตัว

เธอพยายามผลักเขาออกพร้อมขู่เสียงเข้มว่า "ถ้าคุณยังไม่หยุดอีก ฉันก็จะตะโกนเรียกรักแรกของคุณมาดู"

"เอาเลย คุณตะโกนสิ" หนานกงเฉินยิ้มอ่อนแล้วจับคางเธอขึ้นจากนั้นก็ก้มลงไปจุมพิตลงที่ริมฝีปากเธอ แล้วขยับไปกัดติ่งหูของเธอ "ถ้าคุณไม่รู้สึกอายแล้วทำไมผมต้องรู้สึกอายด้วย"

"คุณ……ไม่กลัวเธอโกรธจนไปจากคุณหรอ?" ไป๋มู่ชิงถูกเขาจูบจนหายใจไม่เป็นจังหวะ น้ำเสียงก็ไม่อ่อนโยนเหมือนเดิม

"ข้างกายมีภรรยาแบบคุณโผล่มา เธอคงเสียใจพอแล้วล่ะ แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก" หนานกงเฉินใช้แรงกัดไปที่หูเธออีกครั้ง "แต่ผมขอเตือนคุณไว้เลย อย่าใช้นิสัยของคุณมาทดสอบความอดทนของผม โดยเฉพาะตอนที่อยู่ต่อหน้าจูจู ไม่งั้นคุณได้เสียใจทีหลังแน่!"

เมื่อหนานกงเฉินพูดจบ จากนั้นก็กระชากเสื้อเธอออกแล้วอุ้มเธอขึ้นบนตัวเขา

เวลานี้เธอไม่มีกระจิตกระใจมาฟังคำเตือนเขาหรอก เธอเอาแต่ใช้กำปั้นทุบไปที่ไหลเขาพร้อมพูดว่า "คุณปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้ ฉันจะล้มแล้ว"

แต่น่าเสียดาย คำขู่ของเธอไม่มีผลอะไรกับหนานกงเฉินเลย เขาไม่ได้ปล่อยเธอ แต่กลับลงโทษเธอหนักกว่าเดิม

ไป๋มู่ชิงรู้ว่าตัวเองขอร้องเขาก็คงไม่มีประโยชน์ก็เลยไม่ขอร้องดีกว่า แต่ในใจ……ค่อยๆเปลี่ยนจากการต่อต้านมาเป็นการยอมรับแทน

"ถ้าคุณสัญญากับผมว่าต่อไปจะไม่เจอหน้ากับเฉียวเฟิงอีก ผมก็จะให้อภัยคุณ" หนานกงเฉินพูด

ไป๋มู่ชิงลืมตาขึ้นแล้วพูดอย่างเอาแต่ใจ "ถ้าคุณสัญญากับฉันได้ว่าอีกหน่อยจะไม่เจอหน้ากับคุณหนูจู ฉันก็จะตกลง"

หนานกงเฉินเริ่มหงุดหงิดจากนั้นกดตัวเธอลงไป "คุณรู้อยู่แล้วว่าผมทิ้งเธอแบบนั้นไม่ได้"

ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ไม่เกรงกลัว "คุณก็รู้อยู่แล้วว่าฉันกับคุณชายรองตระกูลเฉียวเป็นไปไม่ได้ แต่คุณก็ยังบังคับฉันอีก"

"คุณ……"

"ฉันทำไม?" ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นนั่งจากบนเตียงแล้วจองเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิด "อย่าคิดว่าตอนนี้คุณมีรักแรกนี้เข้ามาแล้วฉันจะกลัวคุณ กลัวว่าจะเสียคุณไป ฉันบอกคุณไว้เลยฉันคิดได้ตั้งนานแล้ว ถ้าคุณจะหย่าฉันพร้อมตลอดเวลา ถ้าคุณจะแต่งงานกับรักแรกของคุณฉันก็พร้อมจะสละตำแหน่งนี้ให้ แต่ถ้าคุณอยากให้ฉันอยู่อย่างสงบสุขกับรักก็ได้ของคุณ ปรนนิบัติสามีคนเดียวกัน ฉันทำไม่ได้! แล้วฉันก็ไม่ได้ต่ำขนาดนั้นด้วย!"

หนานกงเฉินโกรธจนต้องสูดหายใจเข้า จากนั้นก็ใช้สายตาที่โมโหถามขึ้น "คุณพูดอีกรอบหนึ่งสิ?"

"ฉันพูดว่า……"

"คุณยังกล้าพูดอีก!" หนานกงเฉินโกรธจนจูบปิดริมฝีปากเธอ จนเธอต้องกลืนคำพูดกับไป

เขาทนกับอารมณ์งี่เง่าของเธอได้ แต่คำพูดที่เธอพูดออกมาโดยไม่คิด เขาไม่สามารถทนได้กับการที่เธอเอาแต่พูดว่าจะหย่า ในใจเธอเขาไม่สำคัญขนาดนั้นเลยหรอ? แค่ทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆก็ทำให้มีความคิดที่จะหย่าร้าง?

แต่เขาล่ะ? ไม่ว่าเธอกับหลินอันหนานจะเป็นยังไงหรือกับคุณชายรองตระกูลเฉียวจะเป็นยังไง นอกจากโกรธแล้วเขาก็ไม่เคยเอ่ยว่าจะหย่ากับเธอ ไม่เคยเลยสักครั้ง!

ไป๋มู่ชิงถูกเขาผลักลงไปบนเตียงแล้วจูบอย่างหนักหน่วงจนต้องหุบปากไป เธอจ้องตาขึ้นโตมองผู้ชายที่สีหน้าหงุดหงิดตรงหน้า ไม่คิดหรือว่าแค่คำพูดเดียวของตัวเองจะทำให้เขาโมโหได้ขนาดนี้ ต่อจากนี้คงต้องสู้รบกันอีกแน่ๆ

รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีทางไล่จูจูออกไป ถ้ารู้อย่างนี้ก็คงไม่พูดออกไปโดยที่ไม่คิดหรอก

ทั้งสองพัวพันกันอยู่อีกครั้ง

เช้าวันต่อมาไป๋มู่ชิงตื่นขึ้นที่ห้องทำงานเพราะมีเสียงเคาะประตูดังจนทำให้สะดุ้งตื่น

เธอขยับตัวค่อยๆแล้วลืมตาขึ้นมองก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองนอนเปลือยกายอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเฉิน

เสียงเคาะประตูดังขึ้นไม่หยุดเธอเลยใช้มือผลักไปที่ตัวหนานกงเฉิน หนานกงเฉินขยับตัวแล้วพูดเอ่ยไปทางประตู "มีอะไร?"

เสียงของจูจูดังขึ้นจากประตู "เฉิน มู่ชิง ตื่นไปทำงานได้แล้ว"

น้ำเสียงของเธอดูสดใสมากในยามเช้า ดูเหมือนอารมณ์จะดี ลำบากเธอมากที่ต้องแกล้งทำเสียงแบบนี้ ไป๋มู่ชิงยิ้มเยาะเย้ยในใจแล้วลุกขึ้นจากเตียง

เธอมองกว่าไปรอบๆก็เห็นว่าเสื้อผ้าตัวเองกระจัดกระจายอยู่ที่ประตู นึกถึงภาพเมื่อวานที่หนานกงเฉินกดเธอลงกับประตู ใบหน้าเธอก็ร้อนแดงขึ้นมาทันที

เธอก้มลงมองตัวเองที่เปลือยกายอยู่ จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาไว้บนตัวกำลังจะไปเก็บเสื้อผ้าตัวเอง แต่ผ้าห่มกลับถูกหนานกงเฉินนอนทับอยู่

เธอใช้แรงดึงผ้าห่มแต่ก็ไม่ขยับเลย จากนั้นเลยหันหน้ากลับไปดู

หนานกงเฉินตื่นแล้ว รู้ว่าเธอกำลังจะทำอะไรแต่ก็ไม่ขยับร่างกายแถมยังใช้สายตาที่ยั่วอารมณ์จ้องมองไปที่เธออีก

ไป๋มู่ชิงหงุดหงิดแล้วโยนผ้าห่มกลับไปที่ตัวเขา จากนั้นก็เดินไปเก็บเสื้อผ้าทั้งที่ยังเปลือยกายอยู่ ในเมื่อเขาเห็นหมดแล้วก็ไม่ต้องใส่ใจกับครั้งนี้หรอก เธอพยายามปลอบใจตัวเองที่รู้สึกอายมากในใจ

หลังจากสวมเสื้อผ้าตัวเองเสร็จเธอก็เปิดประตูห้องทำงานเดินออกไปโดยที่ไม่หันกลับมามองเลย

จากนั้นก็รีบไปอาบน้ำแปรงฟัน แล้วลงมาหยิบขนมปังจากโต๊ะอาหารกินไปด้วยแล้วเดินออกไปข้างนอกด้วย

จูจูรีบตามขึ้นมาแล้วดึงแขนเธอด้วยสีหน้าจริงจัง "มู่ชิง เธอนั่งรถของเฉินไปบริษัทเถอะ ฉันจะนั่งรถเมย์ไป"

ไป๋มู้ชิงก้มลงไปมองกวาดมือที่เธอจับแขนตัวเองไว้ เธอรู้ว่ากำลังแสดงให้หนานกงเฉินดู จากนั้นเธอก็ยิ้มอ่อนให้ "ไม่ต้อง ร่างกายเธอไม่แข็งแรงไม่ควรไปเบียดในรถเมล์"

"มู่ชิง เธอให้อภัยเถอะ ฉันกับเขาไม่มีอะไรจริงๆ เขาแค่คิดกับฉันแค่น้องสาว"

"ฉันรู้ ฉันก็คิดว่าเธอเป็นน้องสาวเหมือนกัน" ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นตบที่บ่าเธอเบาๆ "รีบไปทานอาหารเช้าเถอะ ฉันไปก่อนล่ะ"

พูดจบ เธอก็ไม่สนใจหนานกงเฉินที่เดินลงมาด้วยสีหน้าอารมณ์เสีย จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปทางประตู

มองตามแผ่นหลังของไป๋มู่ชิงที่เดินออกไป จูจูก็หันกลับมาแล้วจ้องไปที่หนานกงเฉินด้วยสีหน้าลำบากใจ "ทำยังไงดีเฉิน มู่ชิงยังเข้าใจเราผิดอยู่"

"ไม่เป็นไร ให้เธองี่เง่าไม่กี่วันก็หายแล้ว" หนานกงเฉินมองไปทางประตูแว็บเดียวแล้วพูดว่า "ไปทานอาหารเช้าเถอะ"

จูจูตามเขาเดินเข้าไปในห้องอาหารแล้วนั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามเขา จากนั้นก็พูดด้วยรู้สึกผิด "เฉิน ฉันย้ายไปที่ที่พักพนักงานเถอะ เอาแต่อยู่ที่นี่ก็จะทำให้มู่ชิงเข้าใจผิดเปล่าๆ"

"ก็บอกกับคุณแล้วไม่ใช่หรอว่าให้เธองี่เง่าไปไม่กี่วันก็หายแล้ว"

"แต่พอเธอเห็นฉันก็ไม่มีความสุข ฉันคิดว่าฉันย้ายออกไปดีกว่า"

"คุณไม่กลัวว่าแม่ของคุณจะจับคุณไปแต่งงานกับตาแก่นั่นหรอ?"

หนานกงเฉินพูดจบ จูจูก็สะดุ้งไป สายตามีแต่ความกังวลกลัว "ฉันกลัวสิแต่ว่า……"

"ถ้ากลัวก็อยู่ที่นี่เถอะ ส่วนมู่ชิงเดี๋ยวผมจัดการเอง"

"คุณจะจัดการยังไง?"

"เธอ……" อยู่ๆหนานกงเฉินก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยขึ้น "ผมไม่เคยใส่ใจความหงุดหงิดของเธอหรอก"

ตามใจเธอเถอะ ก็คิดซะว่าให้โอกาสเธอระบายความไม่พอใจในใจออกมา พอเธอระบายหมดแล้วก็คงจะดีขึ้น

จูจูพูดยิ้มยิ้ม "เขาว่ากันว่าถ้าตีเพราะห่วง ถ้าด่าก็เป็นเพราะรัก ดูเหมือนพวกคุณจะเป็นอย่างนี้สินะ"

เดินจากบ้านมาที่ป้ายรถเมล์ต้องใช้เวลาประมาณสิบนาที เพราะว่าเมื่อคืนฝนเพิ่งตกบนถนนเลยเปียกลื่น เธอเลยเดินไปกินแซนด์วิชในมือไปด้วยแล้วเดินอย่างระมัดระวัง

เมื่อได้ยินเสียงรถดังมาจากข้างหลัง เธอก็ขยับยืนไปชิดข้างทาง

รถแล่นผ่านข้างตัวเธอไปอย่างรวดเร็วแล้วทำให้น้ำที่พื้นก็กระเด็นใส่ตัวเธอจนกางเกงเธอเปียกหมด

เธอยืนนี่อยู่กับที่แล้วมองตามหลังรถที่แล่นผ่านไปอย่างคุ้นเคยแล้วโวยวายออกมาว่า "หนานกงเฉิน! มีรถแล้วจะทำไม? ไอ้บ้า!"

ภาพที่เธอยืนกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิดถูกสะท้อนให้เห็นที่กระจกมองหลังรถของหนานกงเฉิน มุมปากเขาเลิกขึ้นแฝงด้วยความเยาะเย้ย

ถูกหนานกงเฉินทำแบบนี้ใส่ ไป๋มู่ชิงก็ต้องจำใจกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน เมื่อเธอออกมาจากบ้านอีกครั้ง ขึ้นรถเมล์แล้วนั่งรถไฟฟ้าไปถึงบริษัทก็เลยเวลาทำงานมายี่สิบนาทีแล้ว

ผู้จัดการหวงพูดกับเธอด้วยสีหน้าเข้มงวด "มู่ชิงเดือนนี้เธอมาสายสองครั้งแล้ว ยังมีโอกาสอีกหนึ่งครั้ง"

ไป๋มู่ชิงเข้ามาในบริษัทวันแรกก็อ่านกฎของบริษัทอย่างครบถ้วนแล้ว ภายในหนึ่งเดือนถ้ามาสายเกินหนึ่งครั้งก็จะถูกหักเบี้ยขยันไป ถ้ามาสายมากกว่าสองครั้งก็จะถูกทำทัณฑ์บน ถ้ามาสายเกินสามครั้งก็จะเลิกจ้างทันที เมื่อเธอเห็นกฎของบริษัทอย่างนี้ก็คิดว่าหนานกงเฉินช่างใจดำเหลือเกิน แม้แต่กฎบริษัทยังต้องเข้มงวดขนาดนี้

เธอก้มหน้าลงไปอย่างรู้สึกผิด "ขอโทษค่ะ ต่อไปฉันจะมาเร็วกว่านี้ค่ะ"

"อื้อ" ผู้จัดการหวงรู้สึกอึดอัด "เป็นเพราะคุณชายเฉินเคยบอกว่า ถึงแม้เจ้านายจะทำผิดก็ต้องใช้กฎบริษัทเดียวกับพนักงานในบริษัท เพราะฉะนั้น……"

นี่กำลังจงใจแกล้งเธอชัดๆ ไป๋มู่ชิงคิดอย่างหงุดหงิด ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเซิ่งเคอมาสายจะถูกลงโทษเหมือนพนักงานทั่วไปหรอ? ไม่มีทาง!

"ฉันรู้แล้วค่ะ" เธอยิ้มกับผู้จัดการหวงจากนั้นก็กลับไปที่ที่นั่งของตัวเอง

หลังจากกลับมาบ้านตอนบ่ายก็เห็นในบ้านมีคนแปลกหน้าเดินเข้าเดินออก ดูเหมือนจะเป็นพนักงานของที่ไหนสักที่ แถมที่หน้าประตูบ้านยังจอดรถขนของคันใหญ่อยู่

เธอถามเสี่ยวหยวนว่าคนเหล่านี้มาทำอะไร เสี่ยวหยวนก็ตอบยิ้มยิ้มไปว่า "คุณชายซื้อเปียโนให้คุณหนูจู พนักงานมาส่งเปียโนพอดีค่ะ"

ไป๋มู่ชิงมองกวาดไปที่หลังรถขนของเลยเห็นว่ามีเปียโนสีขาวงาช้างอยู่เครื่องหนึ่ง ดูไปแล้วคงแพงน่าดู

"เปียโนนี้น่าจะแพงมากเลยใช่ไหม" เธอถามแฝงด้วยความหึง

"แพงมากค่ะสามแสนกว่าหยวนมั้งคะ" เสี่ยวหยวนพูด

"อื้อ" ไป๋มู่ชิงพยักหน้าให้แล้วหันหลังเดินเข้าบ้านไป จูจูก็เดินออกมาจากบ้านพอดีแล้วพูดยิ้มยิ้มว่า "อย่าฟังที่เสี่ยวหยวนพูดไปเรื่อยเลย เงินที่ซื้อเปียโนฉันยืมจากเฉิน ฉันคุยกับเขาแล้วว่าจะใช้เงินเดือนค่อยๆคืนเขา"

ไป๋มู่ชิงมองไปที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอนั้น เป็นสีหน้าที่กำลังยั่วอารมณ์ชัดๆ

เธอยิ้มอ่อน "สามแสนกว่าหยวน เธอคงต้องทำงานที่บริษัทหนานกงสามปีค่อยคืนจนครบ"

"ไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าจะสามปีหรือห้าปีฉันก็จะคืนแน่" จูจูก็ยังยิ้มแย้มเหมือนเดิม "อยู่ฟรีกินฟรีที่นี่ฉันก็รู้สึกเกรงใจมากแล้ว จะให้เฉินซื้อของที่แพงขนาดนี้ให้ฉันได้ยังไง"

"ไม่ต้องเกรงใจหรอก เธอเป็นน้องสาวของเฉิน ซื้อให้เธอก็ไม่เห็นแปลกอะไร" ไป๋มู่ชิงยิ้มอ่อนให้เธอ ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วเดินผ่านตัวเธอเข้าไปในบ้าน

พอเธอเดินเข้าไปในบ้านก็เห็นหนานกงเฉินถือแก้วน้ำเดินลงมาพอดี

ทั้งสองเจอกันที่บันไดเธอมองตาขวางใส่เขาจากนั้นก็เดินผ่านตัวเขาไป

หนานกงเฉินเรียกเธอไว้ด้วยน้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน "ชอบหรอ? ซื้อให้เธออีกเครื่องเอาไหม?"

"ฉันจะเอามาทำซากอะไร" ไป๋มู่ชิงพูดใส่อารมณ์ตอบเขาไป

หนานกงเฉินขมวดคิ้ว "หยาบคายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?"

"ตั้งแต่เกิด!" ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่หน้าเขาอีกครั้งจากนั้นก็หันหลังเดินก้าวขึ้นไปต่อ

เปียโนสามแสนหยวนสำหรับหนานกงเฉินเป็นแค่อะไรเล็กๆน้อยๆ เขาให้เธออยู่ที่นี่ได้ ให้เธอไปทำงานที่บริษัทได้ นี่ก็แค่เปียโนเครื่องหนึ่งไม่ใช่เหรอ?

ไป๋มู่ชิงก้มมองไปที่สองแขนสองขาของตัวเองอย่างหงุดหงิด ไป๋ยิ่งอันเต้นรำเป็น คุณหนูจูเล่นเปียโนเป็น แต่เธอเป็นถึงคุณหญิงน้อยของตระกูลหนานกงกลับทำอะไรไม่เป็นเลย

เธอส่ายหัวไปมา คิดในใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่? ทุกคนมีค่าที่แตกต่างกันเด็กๆยังชื่นชมที่เธอวาดรูปเป็นเลย เธอไม่ใช่คนที่ไม่เอาไหน!

วันหยุดหนานกงเฉินก็กลับไปทานข้าวกับคุณหญิงที่บ้านใหญ่ ไป๋มู่ชิงก็นอนเล่นอยู่บนเตียงแต่ก็ได้ยินเสียงเปียโนที่ดังมาจากข้างนอก ไป๋มู่ชิงนำหมอนที่ปิดหัวตัวเองออก จากนั้นก็ลุกขึ้นมานั่ง

เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูเวลา ตอนนี้เก้าโมงแล้ว ถ้าจะนอนต่อก็คงนอนไม่หลับลุกดีกว่า

อยู่ในบ้านก็รู้สึกอึดอัด ไป๋มู่ชิงเลยโทรไปหาเหยาเหม่ยแล้วนัดเธอออกมาข้างนอก

เมื่อวางโทรศัพท์แล้วก็รีบแต่งหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นก็เปิดประตูห้องเดินออกมา

ไม่รู้ว่าเสียงเปียโนหยุดดังเมื่อไหร่ จูจูก็เดินออกมาจากห้องเวลานี้พอดี เห็นเธอใส่ชุดที่จะออกไปข้างนอกแล้วถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย "มู่ชิง เธอไม่ได้กลับไปทานข้าวกับเฉินที่บ้านใหญ่หรอ?"

ไป๋มู่ชิงมองกวาดไปที่เธอแล้วยิ้มอ่อน "ไม่ไป"

"ทำไม? ขนาดนี้แล้วคุณหญิงยังไม่ให้อภัยเธออีกหรอ?" จูจูพูดจบก็สังเกตุเห็นสีหน้าของไป๋มู่ชิงเปลี่ยนไปแล้วพูดขึ้นอีกว่า "ขอโทษ ฉันก็ได้ยินคนอื่นพูดขึ้น ฉันไม่ควรถามเรื่องเธอใช่ไหม?"

"ได้ยินเสี่ยวหยวนพูดล่ะสิ?" ไป๋มู่ชิงมองผ่านไหล่เธอไปแล้วหยุดสายตาลงที่เสี่ยวหยวน

ตอนนี้ทั้งสองใกล้ชิดกันจนจะเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่แล้ว ยังคลุกเล่นด้วยกันในห้อง

เสี่ยวหยวนรับรู้ถึงสายตาของไป๋มู่ชิงที่มองกวาดมา ก็รีบก้มหน้าลงไปอย่างลนลาน

มุมปากไป๋มู่ชิงเลิกขึ้นแล้วยิ้มไปทางเธอ "ถ้าอยู่ที่บ้านใหญ่ เธอคงโดนไล่ออกไปแล้ว อย่าเอาความเมตตาที่ฉันมีต่อเธอมาทำร้ายฉัน อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเธอแอบทำอะไรลับหลังฉันบ้าง แค่ฉันไม่อยากเปิดโปงแค่นั้น ไม่ใช่ไม่กล้า"

ไป๋มู่ลิงรู้สึกว่าเจ็บร้อนขึ้นที่ขา แต่จูจูกลับโอดร้องขึ้นเสียงดัง ถ้วยชาก็ตกลงพื้นไปด้วย

"มู่ชิง เราไปกันเถอะ ถ้าอยู่ที่นี่ต่อฉันคงจะอ้วก!" ซูซีทดึงแขนของไป๋มู่ชิงแล้วให้เธอลุกขึ้นจากโซฟา

"บอกเธอแล้วว่าไม่ต้องเข้ามา จนตอนนี้รู้สึกสะอิดสะเอียนไหมล่ะ!" เหยาเหม่ยก็ถือกระเป๋าขึ้นแล้วลุกออกไป

เมื่อทั้งสามขึ้นมาบนรถ ซูซี่ก็พูดด้วยสีหน้าโมโห "ดูเหมือนเราจะดูถูกเธอไป ปากของผู้หญิงคนนี้ช่างร้ายกาจเหลือเกิน"

"บอกกับพวกเธอตั้งนานแล้ว ถ้าใครได้ต่อปากต่อคำกับเธอก็ต้องหงุดหงิดแบบนี้แหละ" ไป๋มู่ชิงกลับสงบสติอารมณ์ได้ ความเสแสร้งของเธอเห็นจนชินแล้ว วันนี้ไม่ใช่ครั้งแรกแล้วด้วย

"เธอก็ด้วย ทำไมถึงอ่อนแอขนาดนี้? ถ้าเป็นฉันฉันคงตบหน้าไปแล้ว" ซูซี่หันกลับมาตำหนิไป๋มู่ชิง

"ถ้าตบเธอไปแล้วเธอไปฟ้องหนานกงเฉิน คนที่เสียเปรียบก็ต้องเป็นมู่ชิงสิ?" เหยาเหม่ยตบบ่าเธอ "บอกตั้งนานแล้วว่าเธอไม่ใช่คู่แข่งของมือที่สามนั้นหรอก เธอก็หยุดสร้างเรื่องให้มู่ชิงได้แล้ว"

"นั่นแหละ ไปกันเถอะ วันนี้ทั้งวันฉันยังไม่ได้กินอะไรเลย" ไป๋มู่ชิงพูดเร่งขึ้นมา

หนานกงเฉินไม่คิดว่าคุณหญิงจะสนใจเรื่องงานประจำปีของบริษัท เขาเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจแล้วมองสำรวจคุณหญิง "คุณย่าครับ คุณย่าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ไม่ใช่หรอครับ?"

"ตอนนี้ฉันก็ไม่คิดที่จะสนใจหรอก" คุณหญิงพูด "ตอนนี้แกไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ในเมื่อเปิดเผยต่อหน้าสาธารณะชนแล้วก็ไม่มีข้ออ้างที่จะไม่เข้าร่วมงานประจำปี เพราะฉะนั้นปีนี้แกต้องเข้าร่วมด้วย"

"คุณย่าครับ เซิ่งเคอจะเข้าร่วมแทนผม"

"เซิ่งเคอไม่ใช่แก" คุณหญิงมองไปที่เขา "ทำไม? ไม่ว่างหรอ?"

"เปล่าครับ"

"งั้นก็ไปโผล่หน้าซะ แค่ขึ้นกล่าวอะไรก็ยังดี"

หนานกงเฉินคิดไปคิดมาแล้วพยักหน้า "ครับ ผมขอคิดดูก่อน"

"เรื่องเล็กขนาดนี้ยังต้องคิดอีกหรอ?"คุณหญิงพูดอย่างอารมณ์เสีย "แกทำอะไรชักช้าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ฉันว่าแกโดนผู้หญิงคนนั้นทำให้เสียการซะแล้ว"

"คุณย่าครับ ผู้หญิงคนนั้นเป็นหลานสะใภ้คุณย่านะครับ" หนานกงเฉินพูดเตือนขึ้นด้วยรอยยิ้ม

"ฉันไม่เคยนับว่าเธอเป็นหลานสะใภ้" พูดถึงเรื่องนี้สีหน้าคุณหญิงก็เข้มขึ้นแล้วพูดกับเขา "ฉันอยากจะถามแก เมื่อไหร่แกจะแยกจากเธอซะ? แล้วแต่งงานกับคนที่แกควรจะแต่งงานด้วย?"

"คุณย่าครับผมอิ่มแล้ว" หนานกงเฉินวางตะเกียบลงแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้

คุณหญิงเห็นว่าเขากำลังจะหลีกเลี่ยงคำถามนี้เลยวางตะเกียบตามอย่างหงุดหงิด "แกหยุดเดี๋ยวนี้!"

"คุณย่าครับ ทำไมคุณย่าอารมณ์เสียอีกแล้ว?" หนานกงเฉินเดินเข้าไปตบบ่าท่านเบาเบา "คุณหมอบอกว่าคุณย่าต้องทำใจโล่งๆไว้แบบนี้อายุจะได้ยืนร้อยปี"

"แกหุบปากเดี๋ยวนี้!" คุณหญิงผลักมือเขาออกแล้วมองเขาด้วยสีหน้าเข้มงวด "ตอนนี้แกบอกฉันมาตรงๆเลย จะกลับมาเมื่อไหร่? จะแยกกับผู้หญิงคนนั้นเมื่อไหร่?"

สีหน้าของหนานกงเฉินก็เข้มงวดขึ้นแล้วพูดว่า "คุณย่าครับ ผมก็บอกกับคุณย่าไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรอครับ? ผมจะไม่หย่ากับยิ่งอัน คุณย่ายอมรับเธอเมื่อไหร่ผมก็จะย้ายกลับมาพร้อมเธอเมื่อนั้นครับ"

"แก……"

"คุณย่าครับ เหมือนทุกครั้งที่ผมกลับมาก็จะทำให้คุณย่าอารมณ์เสีย ถ้าอย่างนั้นอาทิตย์หน้าผมจะกลับมาดีไหมครับ?"

"แกคิดที่ ไม่กลับมาทั้งชีวิตเลยหรอ?"

"ผมก็ไม่ได้ใจดำขนาดนั้น เพราะยังไงคุณย่าก็เป็นครอบครัวของผม ผมแค่คิดว่าทุกครั้งที่ผมกลับมาก็จะทำให้คุณย่าอารมณ์เสียก็เลยรู้สึกผิดครับ" หนานกงเฉินถอนหายใจออกเบาแล้วตบบ่าท่าน "คุณย่าครับ อย่าบังคับผมเลย อย่าทำให้ตัวเองอารมณ์เสียด้วย"

"ถ้าแกไม่อยากให้ฉันอารมณ์เสียจนตาย แกก็ทำตามใจตัวเองไปเลย!" คุณหญิงพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

หนานกงเฉินเห็นว่าท่านก็ยังหัวแข็งเหมือนเดิมก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรต่อเลยก้าวเดินออกจากห้องอาหาร

ไป๋มู่ชิงทานข้าวเที่ยงกับพวกเธอข้างนอกแล้วกลับมา จากนั้นก็นอนกลางวันอย่างสบายใจ ไม่ได้ยินเสียงเปียโนที่ลอยมาจากข้างห้อง แล้วก็ไม่มีใครมารบกวนด้วย

จนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็นก็ถูกเสี่ยวหยวนปลุกจากความฝันโดยบอกกับเธอว่าควรจะลงไปทานอาหารแล้ว เธอค่อยลุกขึ้นจากเตียงแล้วไปล้างหน้าจากนั้นก็เดินลงไปข้างล่าง

บนโต๊ะอาหารวางอาหารไว้เต็มโต๊ะ ดูเหมือนจะทำสำหรับหลายหลายคน แต่ก็ไม่เห็นเงาของจูจูเลย

ตอนนั้นเธอก็ไม่มีอารมณ์ที่จะไปถามถึงคนอื่น ถึงเธอจะไม่ลงมากินก็คงมีคนยกเข้าไปให้เธอถึงห้อง

เธอเพิ่งนั่งลงแล้วหยิบตะเกียบขึ้นกำลังจะเริ่มทาน ที่หน้าประตูก็มีเสียงรถยนต์ดังขึ้น

"เหมือนคุณชายจะกลับมาแล้วค่ะ" เสี่ยวหยวนพูดขึ้น

ไป๋มู่ชิงมองไปที่อาหารบนโต๊ะอาหาร ยังดี ยังพอสำหรับเขา

เมื่อหนานกงเฉินเดินเข้ามา เสี่ยวหยวนก็รีบถามขึ้นอย่างมีมารยาทว่า "คุณชายทานข้าวหรือยังคะ?"

"ยัง" หนานกงเฉินมองกวาดไปที่โต๊ะอาหาร เมื่อไม่เห็นเงาของจูจูเลยถามขึ้นว่า "คุณหนูจูล่ะ?"

เขาใช้สายตาที่สงสัยจ้องมองไปที่เสี่ยวหยวน แล้วเสี่ยวหยวนก็มองไปทางไป๋มู่ชิง แล้วทำท่าทางเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง

ไป๋มู่ลิงสังเกตุเห็นสายตาที่เธอมองมาในใจก็รู้สึกมีลางสังหรณ์แปลกๆแล้วจ้องพูดกับเธอว่า "เธอจะมองฉันทำไม?"

เสี่ยวหยวนพูดอย่างระมัดระวัง "มือของคุณหนูจูถูกน้ำร้อนลวก เธออาจจะร่วมการแสดงที่งานเลี้ยงประจำปีไม่ได้ เธอร้องไห้เสียใจมากเลยค่ะ"

สมองของไป๋มู่ชิงเหมือนถูกระเบิดโยนมาใส่ งงไปหมด

"มือของเธอถูกน้ำร้อนลวกได้ยังไง?" หนานกงเฉินถามขึ้นอย่างขมวดคิ้ว

"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ คุณหนูจูบอกว่าเธอกำลังลินชาให้คุณหญิงน้อยไม่ระวังเลยโดนน้ำร้อนลวก……" เสี่ยวหยวนทำท่าทางที่จะพูดอะไรบางอย่างอีกครั้ง

ไป๋มู่ชิงเข้าใจสักที คุณหนูจะเล่นแบบนี้หรอ เธอไม่สังเกตุเห็นเลยแถมยังออกไปกินข้าวกับซูซี่ด้วยแล้วยังนอนหลับอย่างสบายใจ

เธอโง่ขนาดไหนกันนะ ถึงรู้สึกถึงความอันตรายนี้ไม่ได้?

ชาที่จูจูยื่นมาให้เธอเป็นชาที่เสี่ยวหยวนชงเสร็จตั้งนานแล้ว ไม่ได้ร้อนอะไรขนาดนั้นแล้วถ้วยชานั่นก็สาดลงที่ขาของตัวเองเหมือนกัน ตอนนั้นแค่รู้สึกร้อนนิดหน่อยแต่ไม่ถึงขั้นลวก

เธอเงยหน้าขึ้นก็เพิ่งรู้ว่าไม่เห็นเงาของหนานกงเฉินแล้ว คงขึ้นไปดูคุณหนูจูของเขาแล้วล่ะ

ไป๋มู่ชิงสูดหายใจเข้าเบาๆ จนทำให้เธอไม่มีความรู้สึกหิวทันที จากนั้นก็วางตะเกียบแล้วเดินขึ้นบ้านไป

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด