เขาหันกลับไปปิดประตูห้องจากนั้นก็กดแขนเธอลงให้แนบชิดกับประตู ส่วนมืออีกข้างก็กอดตัวเธอไว้ให้ใกล้ชิดตัวเองด้วย
"คุณจะทำอะไร? เอาแต่ทำแบบนี้ไม่เบื่อหรอ?" ไป๋มู่ชิงปัดมือของเขาข้างที่จับคางตัวเองไว้ออก
"วันๆคุณเอาแต่ทำหน้าตึงแบบนี้ไม่เบื่อหรอไง" หนานกงเฉินยกมือข้างที่เธอปัดลงขึ้นแล้วหยุดลงที่คอเสื้อเธอ จากนั้นก็ปลดกระดุมทีละเม็ด
"แล้วคุณล่ะ? วันๆเอาแต่สวีทกับรักแรกของคุณต่อหน้าฉันไม่เบื่อหรอ?"
"ไม่เบื่อ พรุ่งนี้ก็จะสวิตต่อหน้าคุณอีกจนคุณทนไม่ไหว" กระดุมเสื้อของเธอถูกปลดโดยนิ้วของเขาทีละเม็ดจนเห็นเรือนร่างที่สวยของเธอ
ไป๋มู่ชิงรู้สึกถึงความเย็นที่สัมผัสกับผิวกายแล้วปลายนิ้วที่อุ่นร้อนของเขาที่ลากผ่านร่างกายเธอไป จนไป๋มู่ชิงรู้สึกขนลุกขึ้นมาทั้งตัว
เธอพยายามผลักเขาออกพร้อมขู่เสียงเข้มว่า "ถ้าคุณยังไม่หยุดอีก ฉันก็จะตะโกนเรียกรักแรกของคุณมาดู"
"เอาเลย คุณตะโกนสิ" หนานกงเฉินยิ้มอ่อนแล้วจับคางเธอขึ้นจากนั้นก็ก้มลงไปจุมพิตลงที่ริมฝีปากเธอ แล้วขยับไปกัดติ่งหูของเธอ "ถ้าคุณไม่รู้สึกอายแล้วทำไมผมต้องรู้สึกอายด้วย"
"คุณ……ไม่กลัวเธอโกรธจนไปจากคุณหรอ?" ไป๋มู่ชิงถูกเขาจูบจนหายใจไม่เป็นจังหวะ น้ำเสียงก็ไม่อ่อนโยนเหมือนเดิม
"ข้างกายมีภรรยาแบบคุณโผล่มา เธอคงเสียใจพอแล้วล่ะ แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก" หนานกงเฉินใช้แรงกัดไปที่หูเธออีกครั้ง "แต่ผมขอเตือนคุณไว้เลย อย่าใช้นิสัยของคุณมาทดสอบความอดทนของผม โดยเฉพาะตอนที่อยู่ต่อหน้าจูจู ไม่งั้นคุณได้เสียใจทีหลังแน่!"
เมื่อหนานกงเฉินพูดจบ จากนั้นก็กระชากเสื้อเธอออกแล้วอุ้มเธอขึ้นบนตัวเขา
เวลานี้เธอไม่มีกระจิตกระใจมาฟังคำเตือนเขาหรอก เธอเอาแต่ใช้กำปั้นทุบไปที่ไหลเขาพร้อมพูดว่า "คุณปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้ ฉันจะล้มแล้ว"
แต่น่าเสียดาย คำขู่ของเธอไม่มีผลอะไรกับหนานกงเฉินเลย เขาไม่ได้ปล่อยเธอ แต่กลับลงโทษเธอหนักกว่าเดิม
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าตัวเองขอร้องเขาก็คงไม่มีประโยชน์ก็เลยไม่ขอร้องดีกว่า แต่ในใจ……ค่อยๆเปลี่ยนจากการต่อต้านมาเป็นการยอมรับแทน
"ถ้าคุณสัญญากับผมว่าต่อไปจะไม่เจอหน้ากับเฉียวเฟิงอีก ผมก็จะให้อภัยคุณ" หนานกงเฉินพูด
ไป๋มู่ชิงลืมตาขึ้นแล้วพูดอย่างเอาแต่ใจ "ถ้าคุณสัญญากับฉันได้ว่าอีกหน่อยจะไม่เจอหน้ากับคุณหนูจู ฉันก็จะตกลง"
หนานกงเฉินเริ่มหงุดหงิดจากนั้นกดตัวเธอลงไป "คุณรู้อยู่แล้วว่าผมทิ้งเธอแบบนั้นไม่ได้"
ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ไม่เกรงกลัว "คุณก็รู้อยู่แล้วว่าฉันกับคุณชายรองตระกูลเฉียวเป็นไปไม่ได้ แต่คุณก็ยังบังคับฉันอีก"
"คุณ……"
"ฉันทำไม?" ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นนั่งจากบนเตียงแล้วจองเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิด "อย่าคิดว่าตอนนี้คุณมีรักแรกนี้เข้ามาแล้วฉันจะกลัวคุณ กลัวว่าจะเสียคุณไป ฉันบอกคุณไว้เลยฉันคิดได้ตั้งนานแล้ว ถ้าคุณจะหย่าฉันพร้อมตลอดเวลา ถ้าคุณจะแต่งงานกับรักแรกของคุณฉันก็พร้อมจะสละตำแหน่งนี้ให้ แต่ถ้าคุณอยากให้ฉันอยู่อย่างสงบสุขกับรักก็ได้ของคุณ ปรนนิบัติสามีคนเดียวกัน ฉันทำไม่ได้! แล้วฉันก็ไม่ได้ต่ำขนาดนั้นด้วย!"
หนานกงเฉินโกรธจนต้องสูดหายใจเข้า จากนั้นก็ใช้สายตาที่โมโหถามขึ้น "คุณพูดอีกรอบหนึ่งสิ?"
"ฉันพูดว่า……"
"คุณยังกล้าพูดอีก!" หนานกงเฉินโกรธจนจูบปิดริมฝีปากเธอ จนเธอต้องกลืนคำพูดกับไป
เขาทนกับอารมณ์งี่เง่าของเธอได้ แต่คำพูดที่เธอพูดออกมาโดยไม่คิด เขาไม่สามารถทนได้กับการที่เธอเอาแต่พูดว่าจะหย่า ในใจเธอเขาไม่สำคัญขนาดนั้นเลยหรอ? แค่ทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆก็ทำให้มีความคิดที่จะหย่าร้าง?
แต่เขาล่ะ? ไม่ว่าเธอกับหลินอันหนานจะเป็นยังไงหรือกับคุณชายรองตระกูลเฉียวจะเป็นยังไง นอกจากโกรธแล้วเขาก็ไม่เคยเอ่ยว่าจะหย่ากับเธอ ไม่เคยเลยสักครั้ง!
ไป๋มู่ชิงถูกเขาผลักลงไปบนเตียงแล้วจูบอย่างหนักหน่วงจนต้องหุบปากไป เธอจ้องตาขึ้นโตมองผู้ชายที่สีหน้าหงุดหงิดตรงหน้า ไม่คิดหรือว่าแค่คำพูดเดียวของตัวเองจะทำให้เขาโมโหได้ขนาดนี้ ต่อจากนี้คงต้องสู้รบกันอีกแน่ๆ
รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีทางไล่จูจูออกไป ถ้ารู้อย่างนี้ก็คงไม่พูดออกไปโดยที่ไม่คิดหรอก
ทั้งสองพัวพันกันอยู่อีกครั้ง
เช้าวันต่อมาไป๋มู่ชิงตื่นขึ้นที่ห้องทำงานเพราะมีเสียงเคาะประตูดังจนทำให้สะดุ้งตื่น
เธอขยับตัวค่อยๆแล้วลืมตาขึ้นมองก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองนอนเปลือยกายอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเฉิน
เสียงเคาะประตูดังขึ้นไม่หยุดเธอเลยใช้มือผลักไปที่ตัวหนานกงเฉิน หนานกงเฉินขยับตัวแล้วพูดเอ่ยไปทางประตู "มีอะไร?"
เสียงของจูจูดังขึ้นจากประตู "เฉิน มู่ชิง ตื่นไปทำงานได้แล้ว"
น้ำเสียงของเธอดูสดใสมากในยามเช้า ดูเหมือนอารมณ์จะดี ลำบากเธอมากที่ต้องแกล้งทำเสียงแบบนี้ ไป๋มู่ชิงยิ้มเยาะเย้ยในใจแล้วลุกขึ้นจากเตียง
เธอมองกว่าไปรอบๆก็เห็นว่าเสื้อผ้าตัวเองกระจัดกระจายอยู่ที่ประตู นึกถึงภาพเมื่อวานที่หนานกงเฉินกดเธอลงกับประตู ใบหน้าเธอก็ร้อนแดงขึ้นมาทันที
เธอก้มลงมองตัวเองที่เปลือยกายอยู่ จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาไว้บนตัวกำลังจะไปเก็บเสื้อผ้าตัวเอง แต่ผ้าห่มกลับถูกหนานกงเฉินนอนทับอยู่
เธอใช้แรงดึงผ้าห่มแต่ก็ไม่ขยับเลย จากนั้นเลยหันหน้ากลับไปดู
หนานกงเฉินตื่นแล้ว รู้ว่าเธอกำลังจะทำอะไรแต่ก็ไม่ขยับร่างกายแถมยังใช้สายตาที่ยั่วอารมณ์จ้องมองไปที่เธออีก
ไป๋มู่ชิงหงุดหงิดแล้วโยนผ้าห่มกลับไปที่ตัวเขา จากนั้นก็เดินไปเก็บเสื้อผ้าทั้งที่ยังเปลือยกายอยู่ ในเมื่อเขาเห็นหมดแล้วก็ไม่ต้องใส่ใจกับครั้งนี้หรอก เธอพยายามปลอบใจตัวเองที่รู้สึกอายมากในใจ
หลังจากสวมเสื้อผ้าตัวเองเสร็จเธอก็เปิดประตูห้องทำงานเดินออกไปโดยที่ไม่หันกลับมามองเลย
จากนั้นก็รีบไปอาบน้ำแปรงฟัน แล้วลงมาหยิบขนมปังจากโต๊ะอาหารกินไปด้วยแล้วเดินออกไปข้างนอกด้วย
จูจูรีบตามขึ้นมาแล้วดึงแขนเธอด้วยสีหน้าจริงจัง "มู่ชิง เธอนั่งรถของเฉินไปบริษัทเถอะ ฉันจะนั่งรถเมย์ไป"
ไป๋มู้ชิงก้มลงไปมองกวาดมือที่เธอจับแขนตัวเองไว้ เธอรู้ว่ากำลังแสดงให้หนานกงเฉินดู จากนั้นเธอก็ยิ้มอ่อนให้ "ไม่ต้อง ร่างกายเธอไม่แข็งแรงไม่ควรไปเบียดในรถเมล์"
"มู่ชิง เธอให้อภัยเถอะ ฉันกับเขาไม่มีอะไรจริงๆ เขาแค่คิดกับฉันแค่น้องสาว"
"ฉันรู้ ฉันก็คิดว่าเธอเป็นน้องสาวเหมือนกัน" ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นตบที่บ่าเธอเบาๆ "รีบไปทานอาหารเช้าเถอะ ฉันไปก่อนล่ะ"
พูดจบ เธอก็ไม่สนใจหนานกงเฉินที่เดินลงมาด้วยสีหน้าอารมณ์เสีย จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปทางประตู
มองตามแผ่นหลังของไป๋มู่ชิงที่เดินออกไป จูจูก็หันกลับมาแล้วจ้องไปที่หนานกงเฉินด้วยสีหน้าลำบากใจ "ทำยังไงดีเฉิน มู่ชิงยังเข้าใจเราผิดอยู่"
"ไม่เป็นไร ให้เธองี่เง่าไม่กี่วันก็หายแล้ว" หนานกงเฉินมองไปทางประตูแว็บเดียวแล้วพูดว่า "ไปทานอาหารเช้าเถอะ"
จูจูตามเขาเดินเข้าไปในห้องอาหารแล้วนั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามเขา จากนั้นก็พูดด้วยรู้สึกผิด "เฉิน ฉันย้ายไปที่ที่พักพนักงานเถอะ เอาแต่อยู่ที่นี่ก็จะทำให้มู่ชิงเข้าใจผิดเปล่าๆ"
"ก็บอกกับคุณแล้วไม่ใช่หรอว่าให้เธองี่เง่าไปไม่กี่วันก็หายแล้ว"
"แต่พอเธอเห็นฉันก็ไม่มีความสุข ฉันคิดว่าฉันย้ายออกไปดีกว่า"
"คุณไม่กลัวว่าแม่ของคุณจะจับคุณไปแต่งงานกับตาแก่นั่นหรอ?"
หนานกงเฉินพูดจบ จูจูก็สะดุ้งไป สายตามีแต่ความกังวลกลัว "ฉันกลัวสิแต่ว่า……"
"ถ้ากลัวก็อยู่ที่นี่เถอะ ส่วนมู่ชิงเดี๋ยวผมจัดการเอง"
"คุณจะจัดการยังไง?"
"เธอ……" อยู่ๆหนานกงเฉินก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยขึ้น "ผมไม่เคยใส่ใจความหงุดหงิดของเธอหรอก"
ตามใจเธอเถอะ ก็คิดซะว่าให้โอกาสเธอระบายความไม่พอใจในใจออกมา พอเธอระบายหมดแล้วก็คงจะดีขึ้น
จูจูพูดยิ้มยิ้ม "เขาว่ากันว่าถ้าตีเพราะห่วง ถ้าด่าก็เป็นเพราะรัก ดูเหมือนพวกคุณจะเป็นอย่างนี้สินะ"
เดินจากบ้านมาที่ป้ายรถเมล์ต้องใช้เวลาประมาณสิบนาที เพราะว่าเมื่อคืนฝนเพิ่งตกบนถนนเลยเปียกลื่น เธอเลยเดินไปกินแซนด์วิชในมือไปด้วยแล้วเดินอย่างระมัดระวัง
เมื่อได้ยินเสียงรถดังมาจากข้างหลัง เธอก็ขยับยืนไปชิดข้างทาง
รถแล่นผ่านข้างตัวเธอไปอย่างรวดเร็วแล้วทำให้น้ำที่พื้นก็กระเด็นใส่ตัวเธอจนกางเกงเธอเปียกหมด
เธอยืนนี่อยู่กับที่แล้วมองตามหลังรถที่แล่นผ่านไปอย่างคุ้นเคยแล้วโวยวายออกมาว่า "หนานกงเฉิน! มีรถแล้วจะทำไม? ไอ้บ้า!"
ภาพที่เธอยืนกระทืบเท้าอย่างหงุดหงิดถูกสะท้อนให้เห็นที่กระจกมองหลังรถของหนานกงเฉิน มุมปากเขาเลิกขึ้นแฝงด้วยความเยาะเย้ย
ถูกหนานกงเฉินทำแบบนี้ใส่ ไป๋มู่ชิงก็ต้องจำใจกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน เมื่อเธอออกมาจากบ้านอีกครั้ง ขึ้นรถเมล์แล้วนั่งรถไฟฟ้าไปถึงบริษัทก็เลยเวลาทำงานมายี่สิบนาทีแล้ว
ผู้จัดการหวงพูดกับเธอด้วยสีหน้าเข้มงวด "มู่ชิงเดือนนี้เธอมาสายสองครั้งแล้ว ยังมีโอกาสอีกหนึ่งครั้ง"
ไป๋มู่ชิงเข้ามาในบริษัทวันแรกก็อ่านกฎของบริษัทอย่างครบถ้วนแล้ว ภายในหนึ่งเดือนถ้ามาสายเกินหนึ่งครั้งก็จะถูกหักเบี้ยขยันไป ถ้ามาสายมากกว่าสองครั้งก็จะถูกทำทัณฑ์บน ถ้ามาสายเกินสามครั้งก็จะเลิกจ้างทันที เมื่อเธอเห็นกฎของบริษัทอย่างนี้ก็คิดว่าหนานกงเฉินช่างใจดำเหลือเกิน แม้แต่กฎบริษัทยังต้องเข้มงวดขนาดนี้
เธอก้มหน้าลงไปอย่างรู้สึกผิด "ขอโทษค่ะ ต่อไปฉันจะมาเร็วกว่านี้ค่ะ"
"อื้อ" ผู้จัดการหวงรู้สึกอึดอัด "เป็นเพราะคุณชายเฉินเคยบอกว่า ถึงแม้เจ้านายจะทำผิดก็ต้องใช้กฎบริษัทเดียวกับพนักงานในบริษัท เพราะฉะนั้น……"
นี่กำลังจงใจแกล้งเธอชัดๆ ไป๋มู่ชิงคิดอย่างหงุดหงิด ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเซิ่งเคอมาสายจะถูกลงโทษเหมือนพนักงานทั่วไปหรอ? ไม่มีทาง!
"ฉันรู้แล้วค่ะ" เธอยิ้มกับผู้จัดการหวงจากนั้นก็กลับไปที่ที่นั่งของตัวเอง
หลังจากกลับมาบ้านตอนบ่ายก็เห็นในบ้านมีคนแปลกหน้าเดินเข้าเดินออก ดูเหมือนจะเป็นพนักงานของที่ไหนสักที่ แถมที่หน้าประตูบ้านยังจอดรถขนของคันใหญ่อยู่
เธอถามเสี่ยวหยวนว่าคนเหล่านี้มาทำอะไร เสี่ยวหยวนก็ตอบยิ้มยิ้มไปว่า "คุณชายซื้อเปียโนให้คุณหนูจู พนักงานมาส่งเปียโนพอดีค่ะ"
ไป๋มู่ชิงมองกวาดไปที่หลังรถขนของเลยเห็นว่ามีเปียโนสีขาวงาช้างอยู่เครื่องหนึ่ง ดูไปแล้วคงแพงน่าดู
"เปียโนนี้น่าจะแพงมากเลยใช่ไหม" เธอถามแฝงด้วยความหึง
"แพงมากค่ะสามแสนกว่าหยวนมั้งคะ" เสี่ยวหยวนพูด
"อื้อ" ไป๋มู่ชิงพยักหน้าให้แล้วหันหลังเดินเข้าบ้านไป จูจูก็เดินออกมาจากบ้านพอดีแล้วพูดยิ้มยิ้มว่า "อย่าฟังที่เสี่ยวหยวนพูดไปเรื่อยเลย เงินที่ซื้อเปียโนฉันยืมจากเฉิน ฉันคุยกับเขาแล้วว่าจะใช้เงินเดือนค่อยๆคืนเขา"
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอนั้น เป็นสีหน้าที่กำลังยั่วอารมณ์ชัดๆ
เธอยิ้มอ่อน "สามแสนกว่าหยวน เธอคงต้องทำงานที่บริษัทหนานกงสามปีค่อยคืนจนครบ"
"ไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าจะสามปีหรือห้าปีฉันก็จะคืนแน่" จูจูก็ยังยิ้มแย้มเหมือนเดิม "อยู่ฟรีกินฟรีที่นี่ฉันก็รู้สึกเกรงใจมากแล้ว จะให้เฉินซื้อของที่แพงขนาดนี้ให้ฉันได้ยังไง"
"ไม่ต้องเกรงใจหรอก เธอเป็นน้องสาวของเฉิน ซื้อให้เธอก็ไม่เห็นแปลกอะไร" ไป๋มู่ชิงยิ้มอ่อนให้เธอ ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วเดินผ่านตัวเธอเข้าไปในบ้าน
พอเธอเดินเข้าไปในบ้านก็เห็นหนานกงเฉินถือแก้วน้ำเดินลงมาพอดี
ทั้งสองเจอกันที่บันไดเธอมองตาขวางใส่เขาจากนั้นก็เดินผ่านตัวเขาไป
หนานกงเฉินเรียกเธอไว้ด้วยน้ำเสียงไม่รีบไม่ร้อน "ชอบหรอ? ซื้อให้เธออีกเครื่องเอาไหม?"
"ฉันจะเอามาทำซากอะไร" ไป๋มู่ชิงพูดใส่อารมณ์ตอบเขาไป
หนานกงเฉินขมวดคิ้ว "หยาบคายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?"
"ตั้งแต่เกิด!" ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่หน้าเขาอีกครั้งจากนั้นก็หันหลังเดินก้าวขึ้นไปต่อ
เปียโนสามแสนหยวนสำหรับหนานกงเฉินเป็นแค่อะไรเล็กๆน้อยๆ เขาให้เธออยู่ที่นี่ได้ ให้เธอไปทำงานที่บริษัทได้ นี่ก็แค่เปียโนเครื่องหนึ่งไม่ใช่เหรอ?
ไป๋มู่ชิงก้มมองไปที่สองแขนสองขาของตัวเองอย่างหงุดหงิด ไป๋ยิ่งอันเต้นรำเป็น คุณหนูจูเล่นเปียโนเป็น แต่เธอเป็นถึงคุณหญิงน้อยของตระกูลหนานกงกลับทำอะไรไม่เป็นเลย
เธอส่ายหัวไปมา คิดในใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่? ทุกคนมีค่าที่แตกต่างกันเด็กๆยังชื่นชมที่เธอวาดรูปเป็นเลย เธอไม่ใช่คนที่ไม่เอาไหน!
วันหยุดหนานกงเฉินก็กลับไปทานข้าวกับคุณหญิงที่บ้านใหญ่ ไป๋มู่ชิงก็นอนเล่นอยู่บนเตียงแต่ก็ได้ยินเสียงเปียโนที่ดังมาจากข้างนอก ไป๋มู่ชิงนำหมอนที่ปิดหัวตัวเองออก จากนั้นก็ลุกขึ้นมานั่ง
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูเวลา ตอนนี้เก้าโมงแล้ว ถ้าจะนอนต่อก็คงนอนไม่หลับลุกดีกว่า
อยู่ในบ้านก็รู้สึกอึดอัด ไป๋มู่ชิงเลยโทรไปหาเหยาเหม่ยแล้วนัดเธอออกมาข้างนอก
เมื่อวางโทรศัพท์แล้วก็รีบแต่งหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นก็เปิดประตูห้องเดินออกมา
ไม่รู้ว่าเสียงเปียโนหยุดดังเมื่อไหร่ จูจูก็เดินออกมาจากห้องเวลานี้พอดี เห็นเธอใส่ชุดที่จะออกไปข้างนอกแล้วถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย "มู่ชิง เธอไม่ได้กลับไปทานข้าวกับเฉินที่บ้านใหญ่หรอ?"
ไป๋มู่ชิงมองกวาดไปที่เธอแล้วยิ้มอ่อน "ไม่ไป"
"ทำไม? ขนาดนี้แล้วคุณหญิงยังไม่ให้อภัยเธออีกหรอ?" จูจูพูดจบก็สังเกตุเห็นสีหน้าของไป๋มู่ชิงเปลี่ยนไปแล้วพูดขึ้นอีกว่า "ขอโทษ ฉันก็ได้ยินคนอื่นพูดขึ้น ฉันไม่ควรถามเรื่องเธอใช่ไหม?"
"ได้ยินเสี่ยวหยวนพูดล่ะสิ?" ไป๋มู่ชิงมองผ่านไหล่เธอไปแล้วหยุดสายตาลงที่เสี่ยวหยวน
ตอนนี้ทั้งสองใกล้ชิดกันจนจะเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่แล้ว ยังคลุกเล่นด้วยกันในห้อง
เสี่ยวหยวนรับรู้ถึงสายตาของไป๋มู่ชิงที่มองกวาดมา ก็รีบก้มหน้าลงไปอย่างลนลาน
มุมปากไป๋มู่ชิงเลิกขึ้นแล้วยิ้มไปทางเธอ "ถ้าอยู่ที่บ้านใหญ่ เธอคงโดนไล่ออกไปแล้ว อย่าเอาความเมตตาที่ฉันมีต่อเธอมาทำร้ายฉัน อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเธอแอบทำอะไรลับหลังฉันบ้าง แค่ฉันไม่อยากเปิดโปงแค่นั้น ไม่ใช่ไม่กล้า"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...