เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 220

หลังจากที่จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จ เธอก็โทรไปหาเสี่ยวหว่านชิงที่อยู่ต่างประเทศแล้วได้รับคำอวยพรพร้อมจูบของเธอ

เสี่ยวหว่านชิงรู้สึกมีความสุขมาก เอาแต่พูดว่าจะโทรหาคุณพ่อแล้วร้องเพลงสุขสันต์วันเกิด

ไป๋มู่ชิงยิ้มเอ่ย "เดี๋ยวเพลงที่หนูร้องคุณแม่จะส่งให้คุณพ่อดูดีมั้ยคะ?"

"ค่ะ" อยู่ๆเสี่ยวหว่านชิงก็เศร้า "คุณแม่คะ หนูคิดถึงคุณแม่กับคุณพ่อมากเลยค่ะ"

ขอบตาของไป๋มู่ชิงก็อุ่นขึ้นมาแล้วรีบกระกระพริบตา "คุณแม่ก็คิดถึงหนูเหมือนกัน"

"แล้วคุณแม่จะมารับหนูเมื่อไหร่คะ?"

"รอคุณแม่ยุ่งเรื่องงานเสร็จก็จะไปรับหนู แล้วอีกหน่อยเราก็จะไม่แยกจากกันดีมั้ยคะ?"

ไดีค่ะ"

"หว่านชิงเก่งมากเลย ต้องเป็นเด็กดีนะคะ"

"หนูจะเป็นเด็กดีค่ะ" เสี่ยวหว่านชิงพยักหน้าแล้วพูด

ไป๋มู่ชิงจำใจต้องวางโทรศัพท์ไป เมื่อโทรศัพท์ยังไม่ห่างออกจากมือก็ดังขึ้นอีก เธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดู หนานกงเฉินโทรมานั่นเอง

เขาโทรมาเวลานี้ทำไม?

เธอลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปิดเสียงโทรศัพท์โยนลงไปที่โซฟาแล้วจัดเตรียมห้องต่อ

--

หนานกงเฉินไม่รอให้เสียงรอสายดังนานก็วางสาย เพราะว่าไม่อยากให้ไป๋มู่ชิงรู้สึกรำคาญ

ความจริงเขาแค่อยากจะโทรหาไป๋มู่ชิงแล้วบอกกับเธอว่าไม่ต้องเป็นห่วงเขา เขาสบายดี

ถึงแม้ไป๋มู่ชิงจะไม่ยอมรับตรงๆ แต่ในใจเขาเข้าใจแล้วเชื่อว่า เมื่อเธอเห็นข่าวแล้วก็ต้องเป็นห่วงแน่นอน

ในเวลานี้หน้าบริษัทหนานกงก็คงมีผู้คนแล้วก็นักข่าวมารอเต็มแล้ว หนานกงเฉินไม่อยากออกไป ก็เลยย้ายประชุมตอนบ่ายมาประชุมที่โรงแรมหยางกวง

เมื่อประชุมตอนเช้าเสร็จแล้ว หนานกงเฉินมาที่ชั้นหนึ่งของโรงแรมแล้วหาที่นั่งตรงมุมของร้านอาหารตะวันตก

ผู้ช่วยเหยียนก็มาหาเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามโซฟาเขาแล้วเอ่ย "เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ? คุณชายที่มีชื่อเสียงของเราแค่ไม่เจอกันกี่วันก็ตกอับซะแล้ว"

"คุณสะกดรอยตามผมมาที่นี่เพื่อที่จะมาเยาะเย้ยผมงั้นหรอ?" หนานกงเฉินมองไปที่เธอ

"แค่มาดูว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือหรือเปล่าค่ะ"

"ตอนนี้ยังไม่ต้อง"

"เรื่องนี้ต้องเป็นตาแก่เซิ่งก่อเรื่องแน่นอน" ผู้ช่วยเหยียนมองไปที่เขา "ฉันบอกกับคุณแล้ว เก็บเขาไว้ยังไงก็เป็นภาระ ควรจะหาข้ออ้างอะไรสักอย่างแล้วไล่เขาออกจากบริษัท"

หนานกงเฉินส่ายหัวอย่างเอื้อมระอา "ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ถึงเขาจะมีหุ้นแค่ห้าเปอร์เซนต์ แต่ยังไงก็เป็นหุ้นส่วน มีสิทธิ์ที่จะทำงานในบริษัท"

"เขาวางแผนใส่ร้ายคุณได้ คุณก็ทำกับเขาไม่ได้หรอ?"

"นี่ก็กำลังรอโอกาสอยู่ไม่ใช่หรอ?"

"ถ้ารอโอกาสของคุณมา คนอื่นคงทำให้บริษัทล้มละลายไปแล้ว" ผู้ช่วยเหยียนเอ่ย "ถ้าปล่อยให้เขาทำตัวแบบนี้อีก ชื่อเสียงของบริษัทจะไม่เสื่อมเสียได้ยังไง หุ้นจะไม่ตกได้ยังไงคะ? แล้วลูกค้าจะไม่หนีได้ยังไงคะ?"

"ผมคิดว่าเขาจะคำนึงถึงโอกาสพัฒนาของเซิ่งเคอในบริษัทแล้วจะยั้งมือกับเรื่องนี้ แต่ว่า……ผมคิดผิด ตาแก่นั่นไม่สนใจเซิ่งเคอเลย" หนานกงเฉินพูด "อาจจะเป็นเพราะเซิ่งเคอไม่ยอมทำตัวต่ำช้าเหมือนเขา ถึงแม้จะให้อยู่ในบริษัทก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขามาก"

"แล้วจะทำยังไงต่อคะ? ตอนนี้นักข่าวเขียนคุณเป็นฆาตกรแล้วนะคะ"

"ให้เขาเขียนไปเถอะ ไม่เป็นไร"

"คุณชายเฉินคะ ตอนนี้กระแสข่าวกำลังโจมตีคุณ คุณจะไม่สนใจไม่ได้" ผู้ช่วยเหยียนลังเลไปครู่หนึ่ง "ฉันช่วยคุณติดต่อสำนักข่าวหนึ่งแล้ว พวกเขาพร้อมที่จะให้สัมภาษณ์คุณ"

"คุณพูดอะไรนะ?"

"ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบการสัมภาษณ์ แต่นี่เป็นเวลาเร่งด่วนคุณจะทำตามใจตัวเองไม่ได้นะคะ"

หนานกงเฉินยิ้มเยาะเย้ยแล้วยักไหล่ "ผมพูดอะไรได้ เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับผม ทุกคนก็พูดแล้ว บริษัทหนานกงมีเงินขนาดนี้แต่ไม่อยากชดใช้ค่าเสียหายแล้วยังบีบบังคับจนคนอื่นตายอีก"

"แต่ก็ยังดีกว่าไม่พูดอะไรนะคะ"

"ช่างเถอะ ให้แผนกสื่อจัดการเถอะ" หนานกงเฉินพูด

ผู้ช่วยเหยียนเห็นท่าทางของเขาที่ไม่ยอมให้สัมภาษณ์แล้วรู้จักนิสัยเขาดี ก็เลยไม่ได้พูดอะไรต่อ

--

ตอนบ่ายหนานกงเฉินก็เลยเลือกที่จะทำงานที่ร้านกาแฟ

ในระหว่างนั้นเซิ่งเคอมาหาแล้วก้มหัวให้เขาอย่างรู้สึกผิด "พี่ชายครับ ผมทำให้พี่ผิดหวัง แต่ว่าพี่ไว้ใจได้นะครับ ผมจะรับผิดชอบด้วยกันลาออกเองครับ"

หนานกงเฉินมองไปที่เขาแล้วส่ายหน้า "เรื่องนี้แกทำได้ไม่ดีจริง แล้วก็สมควรที่จะลาออกด้วย แต่ว่าก่อนที่ประธานหลิ่วจะฟื้นแล้วออกมาจากโรงพยาบาล แกต้องอยู่ในตำแหน่งนั้นก่อน"

เซิ่งเคอพยักหน้า "ผมรู้ครับ รอประธานหลิ่วออกมาจากโรงพยาบาล ผมก็จะไปทันทีครับ"

หนานกงเฉินก้มลงไปตอบอีเมลต่อ พอเงยหน้าขึ้นมาเซิ่งเคอก็ยังอยู่ก็เลยถามว่า "มีเรื่องอะไรอีก?"

เซิ่งเคอลังเลยไปครู่นึงสุดท้ายก็ส่ายหน้า "ไม่มีอะไรครับ"

หนานกงเฉินคิดไปคิดมาแล้วใช้คางชี้ไปที่โซฟาตรงข้าม "นั่งลงดื่มกาแฟก่อนไหม?"

เซิ่งเคอนั่งลงตรงข้ามเขา จากนั้นก็ชงกาแฟให้ตัวเองแล้วจ้องไปที่เขา "พี่ชาย พี่คงรู้แล้วใช่ไหมครับว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะคุณพ่อผม ใช่ไหมครับ?"

หนานกงเฉินพยักหน้า "ใช่ แต่ว่าแกไม่ต้องกังวลหรอก ฉันรู้ว่าไม่เกี่ยวอะไรกับแก"

"ขอบคุณครับ" เซิ่งเคอค่อยโล่งอกไป

หลังจากที่ต่างคนต่างเงียบไป หนานกงเฉินก็ยกกาแฟขึ้นดื่มแล้วเอ่ยถามขึ้น "ใช่สิ เหมือนฉันจะไม่เคยถามแกเลยว่าแกกับเหลียนเหยาคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วคิดจะแต่งงานเมื่อไหร่?"

เซิ่งเคอไม่คิดเลยว่าหนานกงเฉินที่ไม่ค่อยถามเรื่องส่วนตัวของคนอื่นจะเอ่ยถามเรื่องเขากับผู่เหลียนเหยา สีหน้าก็รู้สึกประหลาดใจไป

หนานกงเฉินก็เลยพูดขึ้นอีกว่า "พี่คิดว่าเราสองคนอายุไม่น้อยแล้ว ถึงเวลาที่พี่ควรจะจัดงานให้พวกเธอได้แล้ว"

"ขอบคุณครับพี่ชาย" เซิ่งเคอพูดยิ้ม "แต่ว่าเหลียนเหยายังไม่อยากแต่งงาน เรื่องของเรายังไม่ได้วางแผนเลยครับ"

"นายเคยเจอคนในครอบครัวเธอหรือยัง?"

"ยังครับ"

หนานกงเฉินแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจ "หรือว่านายไม่รู้แม้แต่ว่าบ้านเธออยู่ไหน ทำอะไร มีใครบ้างก็ไม่รู้ใช่ไหม?"

เซิ่งเคอส่ายหัว "ผมรู้ว่าบ้านของเธออยู่เมืองเยว่ แล้วพ่อแม่ก็เสียไปนานแล้ว เธอโตมากับคุณป้า แต่ว่าเรื่องพวกนี้ไม่สำคัญ ผมไม่สนใจอยู่แล้ว ผมชอบที่ตัวเธอ"

"แล้วพวกแกรู้จักกันได้ยังไง?"

"เมื่อห้าปีก่อนที่กิจกรรมในมหาลัยครับ ผมเพิ่งรู้ว่าพวกเราเรียนมหาลัยเดียวกัน แค่ต่างปีต่างคณะก็เลยไม่เคยเจอกัน" เมื่อพูดถึงผู่เหลียนเหยา สีหน้าของเซิ่งเคอก็ไม่ได้เกร็งขนาดนั้นแต่กลับยิ้มอย่างอ่อนโยน

ได้อยู่กับคนที่ตัวเองรักเป็นเรื่องที่มีความสุขมาก หนานกงเฉินมองไปที่รอยยิ้มบนใบหน้าเขา ในใจก็รู้สึกข่มขืน ไม่รู้ว่าผู่เหลียนเหยารักเขาจริงหรือเปล่า

"ความรักบังตาได้ง่าย บางครั้งถ้าจะมองใครสักคนก็ต้องมองให้ละเอียดหน่อย"

เซิ่งเคอไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ว่าก็พยักหน้า "ครับพี่ชาย ขอบคุณที่พี่ชายเตือนนะครับ"

--

ตอนบ่าย ไป๋มู่ชิงมองไปที่เวลาจากนั้นก็เขียนโพสต์อิทให้เฉียวเฟิงแล้วออกไปรับเค้ก

เมื่อเธอมาถึงโรงแรม เค้กก็ทำเสร็จแล้ว ผู้จัดการโรงแรมก็เอ่ยยิ้ม "คุณหญิงเฉียว ช่วยบอกอาเฟิงแทนฉันด้วยนะคะว่าสุขสันต์วันเกิด"

"ได้ค่ะ" ไป๋มู่ชิงพยักหน้า

นี่เป็นผู้จัดการหญิงที่เป็นเพื่อนมัธยมของเฉียวเฟิง แล้วเฉียวเฟิงก็แนะนำให้เธอมาจองเค้กที่โรงแรมนี้ด้วย

"พอคิดดูแล้ว ฉันก็ไม่ได้เจออาเฟิงหลายปีแล้ว เค้กนี้ก็ถือว่าฉันให้เขาแล้วกันค่ะ"

"ได้ยังไงกันคะ?" ไป๋มู่ชิงล้วงกระเป๋าตังค์ออกมาแล้วจ่ายตังค์กับแคชเชียร์พร้อมเอ่ยกับผู้จัดการ" ฉันรับความหวังดีของคุณหนูจงไว้นะคะ แต่เค้กเรารับไว้ไม่ได้จริงๆขอโทษด้วยนะคะ"

"งั้นก็ได้ค่ะ ฉันไม่บังคับคุณก็ได้ค่ะ "คุณหนูจงทำมือกับเธอ "ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันส่งคุณออกไป"

ทีแรกไป๋มู่ชิงอยากจะพูดว่าไม่ต้อง แต่ปฏิเสธทุกเรื่องก็คงไม่ดีก็เลยตามใจเธอ

--

หนานกงเฉินเดินออกมาจากร้านกาแฟกำลังจะเตรียมตัวกลับบ้าน แต่ยังเดินไม่ถึงไปหน้าโรงแรมก็มีนักข่าวมาดักรอแล้ว

เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์แล้วฝีเท้าก็ต้องหยุดลง

เมื่อนักข่าวตรงหน้าเห็นเงาของเขาก็รีบตะโกนขึ้น "หนานกงเฉิน! หนานกงเฉินอยู่ที่โรงแรมนี้จริงด้วย……"

ตามมาด้วยผู้คนที่ล้อมเข้ามา ผู้ช่วยหลินก็รีบเอ่ยขึ้น "คุณชายคุณไปประตูหลังดีกว่าครับ ผมไปห้ามพวกเขาไว้"

หนานกงเฉินไม่ได้คิดอะไรมาก หันหลังแล้วเดินเข้าไปในโรงแรม

เมื่อนักข่าวเห็นเขาหันหลังจะเดินหนี ก็รีบเร่งฝีเท้าไปด้วยแล้วตะโกนไปด้วย แม้แต่ยามก็ห้ามไม่อยู่

ผู้ช่วยหลินที่ห้ามฝูงชนไว้ก็เอ่ย "คุณชายเฉินไม่มีอะไรจะพูด ขอให้ทุกคนอย่ารบกวนท่านได้ไหม? ขอบคุณ……!"

"คุณชายเฉิน คุณก็พูดกับพวกเราสักหน่อยสิครับว่าพนักงานจางรู้สึกกระทบกระเทือนใจกับคำพูดของคุณก็เลยกระโดดตึกใช่ไหมครับ? เขา……"

"ไม่ใช่ ไม่ใช่" ผู้ช่วยหลินพูดแทรก พูดปฏิเสธพวกเขา

หนานกงเฉินไม่รู้ว่าประตูหลังของโรงแรมอยู่ไหน เขาก็เดินไปตามทางเดิน

เมื่อไป๋มู่ชิงเดินออกมาจากลิฟท์ก็เห็นหนานกงเฉินกำลังถูกนักข่าวตาม เธอคิดไปคิดมาแล้วหันไปเอ่ยกับผู้จัดการจง "คุณหนูจงคะ ช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหมคะ? ช่วยพาพวกเราหลบนักข่าวหน่อย"

พูดจบ เธอก็ก้าวเดินไปดึงข้อมือของหนานกงเฉินมา

"เขาเป็นคุณชายเฉินไม่ใช่หรอคะ?" ผู้จัดการจงมองไปที่หนานกงเฉินอย่างประหลาดใจ

"ใช่ค่ะ เขาเป็นคุณชายเฉิน เป็นเพื่อนของฉัน" ไป๋มู่ชิงอธิบายสั้นๆง่ายๆ

"ตามฉันมาเลยค่ะ" ถึงแม้ผู้จัดการจงจะไม่เข้าใจสถานการณ์มากนัก แต่ก็ไม่ถามอะไรต่อก็เลยพาพวกเขาทั้งสองคนเดินไปทางบันไดหนีไฟ

"มู่ชิง เธออยู่ที่นี่ได้ยังไง?" หนานกงเฉินถามขึ้นอย่างสงสัย

"ฉันมารับของ" ไป๋มู่ชิงก็ยังจับข้อมือของเขาไว้แล้วเอ่ย "ถ้าไม่อยากถูกล้อมก็รีบหน่อย"

ชั้นล่างมีเสียงฝีเท้าที่ลอยมา ทั้งสามคนก็เลยเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

ผู้จัดการจงใช้คีย์การ์ดเปิดห้องวีไอพีแล้วเอ่ยกับหนานกงเฉิน "คุณชายเฉินคุณเข้าไปหลบก่อนเถอะค่ะ ฉันไปห้ามพวกเขาไว้"

"ได้ ขอบคุณครับ" หนานกงเฉินพูดตามหลังเธอ

ไป๋มู่ชิงก็เห็นว่าหนานกงเฉินยังยืนอยู่หน้าประตูเลยผลักเขาเข้าไปในห้องแล้วเอ่ยว่า "ยังยืนอยู่ทำไม? รีบเข้าไปสิ"

"นี่ พวกคุณเข้าไปไม่ได้……" เสียงของผู้จัดการจงดังขึ้นจากทางบันไดหนีไฟ

หนานกงเฉินรู้ว่านักข่าวตามาแล้ว เขาก้มมองไปที่ไป๋มู่ชิงแล้วรีบชิงปิดประตูห้องก่อนเธอ

"นี่ รอฉันออกไปก่อนนายค่อยปิด" ไป๋มู่ชิงยื่นมือไปจะไปเปิดประตู หนานกงเฉินก็ใช้มือจับลูกบิดไว้ "อย่าเปิด"

ทันใดนั้นก็มีเสียงตบประตูกับเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตามมาแล้ว

ไป๋มู่ชิงเงยหน้ามองไปทางหนานกงเฉินแล้วพูดเสียงเบา "ทำยังไงดี? ฉันต้องออกไป"

หนานกงเฉินทำท่าทางไร้เดียงสา "ทำยังไงได้อีกล่ะ? ก็อยู่กับผมที่นี่ไง"

"จะอยู่ได้ยังไง ฉันต้องรีบกลับบ้าน" ไป๋มู่ชิงเริ่มร้อนรน

"เธออยากขึ้นหน้าหนึ่งหรอ? แล้วด้วยฐานะคนรักของผม?" หนานกงเฉินพูดขู่อย่างใจเย็น "ผมเตือนเธอไว้เลย ตาแก่เซิ่งอยากจะโยนความผิดทุกอย่างมาบนตัวผม ถ้าเห็นว่าพวกเราสองคนอยู่ห้องเดียวกันก็คงทำให้เรื่องดังแน่นอน"

เขาเอนตัวลงมาแล้วลมหายใจก็กระทบใบหน้าเธอ "ที่รัก เธอไม่กลัวแต่ผมกลัวนะ"

"แล้วจะทำยังไง?" ไป๋มู่ชิงเริ่มหงุดหงิด เธอต้องรีบกลับไปจัดงานวันเกิดให้เฉียวเฟิง

"รอก่อนแล้วกัน" หนานกงเฉินล็อกประตูแล้วลากมือเธอเดินเข้าไปในห้องให้เธอนั่งลงบนโซฟา "นั่งก่อนเถอะ"

ไป๋มู่ชิงถูกเขาผลักแบบนี้เค้กในมือก็หล่นลงไปที่โซฟา เธอกลัวว่าเค้กจะเสียหายก็จับเชือกในมือไว้แน่

หนานกงเฉินมองไปที่เค้กในมือเธอแล้วนำเค้กวางไปบนโต๊ะ จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วไปกดน้ำให้เธอแล้วใช้มือเช็ดเหงื่อบนหน้าผากเธอ "อย่ากังวลไปเลย รอพวกเขาไปก็พอแล้ว"

"ฉันไม่ได้กังวล ฉันแค่ต้องรีบไปจากที่นี่"

"รีบกลับไปจัดงานวันเกิดให้เขา?" หนานกงเฉินมองไปที่เค้กบนโต๊ะด้วยสีหน้าไม่ดีมากนัก

ไป๋มู่ชิงไม่ได้ตอบเขา แค่หันตัวไปแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

หนานกงเฉินมองไปที่เธอแล้วลุกขึ้นเดินไปนั่งลงบนเตียง จากนั้นมืออีกข้างก็หยิบรีโมทขึ้นเปิดโทรทัศน์ดู

เมื่อเปิดโทรทัศน์ดูก็มีแต่ข่าวที่เกี่ยวกับเขา เขาก็เลยเปลี่ยนช่อง

หนานกงเฉินพิงอยู่หัวเตียงแล้วดูโทรทัศน์ ไม่รู้สึกอะไรกับนักข่าวข้างนอกเลย แต่ไป๋มู่ชิงยิ่งรอไปยิ่งร้อนรนแล้วไม่สบายใจเลยเริ่มเดินวนไปวนมาในห้อง

เธอยกข้อมือขึ้นดูเวลา นี่ก็หกโมงเย็นแล้ว เฉียวเฟิงคงกลับบ้านแล้ว ถ้าเฉียวเฟิงเห็นว่าเธอไม่อยู่บ้านก็คงต้องเป็นห่วงแล้วจะคิดมาก เธอมองไปทางประตู ทำยังไงดี? ดูเหมือนว่าคนข้างนอกก็ยังอยู่เธอออกไปไม่ได้

"ถึงแม้ผมจะรักคุณแล้วชอบมองคุณ แต่ขอให้คุณอย่าเดินวนไปวนมาต่อหน้าผมได้ไหม ผมเวียนหัว" เสียงของหนานกงเฉินลอยมา

ไป๋มู่ชิงหยุดก้าวเท้าแล้วหันไปมองเขา จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟา พอนั่งได้ไม่ถึงสองนาทีก็ลุกขึ้นมาใหม่ เดินไปที่ประตูแล้วส่องตาแมวมองไปข้างนอกจากนั้นก็รีบปิดทันที

"ยังไม่ไปอีกหรอ?" หนานกงเฉินเอ่ยถามขึ้น

ไป๋มู่ชิงเดินไปจ้องเขา "หนานกงเฉิน นายคิดวิธีหน่อยได้ไหม ฉันอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว"

เธอไม่เชื่อว่าด้วยอำนาจของเขาแค่นักข่าวพวกนี้ก็ยังจัดการไม่ได้? แล้วยังยอมให้พวกเขามาดักอยู่ที่นี่ด้วย?

"ผมไม่ใช่ดาราคนดังสักหน่อย แค่นักธุรกิจคนหนึ่ง ในวันวันเดียวก็มีนักข่าวเยอะขนาดนี้คุณไม่รู้สึกแปลกใจหรอ?"

"เพราะฉะนั้น?"

"เพราะฉะนั้นคุณก็ควรจะเข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดนี้มีคนจงใจวางแผนไว้ ในเมื่อจงใจคงไม่ยอมให้ผมออกไปได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้น……" หนานกงเฉินเลิกคิ้วมองไปที่เธอ "จำเป็นต้องทำให้คุณลำบากอีกสักครู่"

เขารู้สึกดื่มดำกับความรู้สึกที่โดนขังมาก ขังเขาอีกสักสองวันก็ไม่เป็นอะไร เขาอยากจะขอบคุณพวกเขาด้วยซ้ำ

"นายหมายความว่า ยังไงคืนนี้ฉันก็จะไม่ได้ออกไป?"

"ผมคิดว่าอาจจะเป็นไปได้"

"อะไรกัน……" ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองด้วยสีหน้าเสียใจ "ถ้ารู้อย่างนี้ฉันไม่ช่วยนายหรอก ทำยังไงดี ฉันควรจะทำยังไง……"

หนานกงเฉินมองไปที่เธอจากนั้นก็ยื่นมือไปจับมือของเธอ ไป๋มู่ชิงก็ยกนิ้วชี้หน้าเขาทันที "นายกล้า……!"

หนานกงเฉินรีบเก็บมือของตัวเอง จากนั้นก็เอ่ยกับเธอ "ขอบคุณที่คุณช่วยเหลือ……"

"ไม่ต้องขอบคุณฉัน ฉันไม่ได้อยากจะช่วยคุณ" ไป๋มู่ชิงพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด

"คุณไม่ได้ตั้งใจ แค่เสแสร้ง" หนานกงเฉินเอ่ยอย่างเสียดสีจากนั้นก็หยิบรีโมทขึ้นเปลี่ยนช่อง

ไป๋มู่ชิงไม่ได้สนใจเขาเดินกลับไปที่โซฟาแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้น ลังเลไปครู่หนึ่งค่อยส่งข้อความหาเฉียวเฟิงแล้วบอกเขาว่าตัวเองอาจจะกลับดึกหน่อย

ในระหว่างนี้เธอไม่กล้าโทรหาหรือส่งข้อความให้เฉียวเฟิง เพราะไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด เพราะคิดว่าตัวเองอาจจะได้ออกไปจากที่นี่เร็วๆ แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้เธอคงออกไปไม่ได้แน่นอน

เธอไม่มีความกล้าเลยที่จะโทรไปหาเฉียวเฟิง เพราะว่าเธอไม่รู้ว่าจะใช้เหตุผลอะไรถึงจะเหมาะสม

แล้วอีกฝั่งของโทรศัพท์ เฉียวเฟิงก็กำลังรอเธอกลับบ้าน

นั่งอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ตั้งแต่เฉียวเฟิงกลับมาจนตอนนี้รอเธอสามชั่วโมงแล้ว

ในห้องครัวมีวัตถุดิบที่ไป๋มู่ชิงเพิ่งซื้อกลับมาแล้วบนโต๊ะก็มีโพสต์อิทที่เธอให้ด้วย บอกกับเขาว่าเธอจะออกไปรับเค้กจะรีบกลับมา แต่เขารอแล้วรออีก ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วเธอก็ยังไม่กลับมา

เมื่อได้ยินเสียงข้อความเข้า เขาก็หันไปมองโทรศัพท์จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์แล้วเปิดดูข้อความ ข้อความสั้นๆง่ายๆบอกว่าให้เขาหาอะไรรองท้องก่อน เธอคงจะกลับดึกหน่อย

เฉียวเฟิงคิดไปคิดมาก็คิดไม่ออก นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับหนานกงเฉินเธอยังจะมีเรื่องอะไรอีก เพราะว่าด้วยตัวเธอตอนนี้ที่นี่ก็ไม่มีเพื่อนอะไรแล้วไม่มีกิจกรรมอะไรต้องทำด้วย

เขาเปิดไปที่รายชื่อในโทรศัพท์แล้วโทรหาคุณหนูจง โทรศัพท์ก็ถูกรับอย่างรวดเร็วเสียงที่ดูมีชีวิตชีวาของคุณหนูจงดังขึ้น "อาเฟิง สุขสันต์วันเกิดนะ!"

"ขอบใจ" เฉียวเฟิงยิ้มอ่อนแล้วถาม "เสี่ยวหย่า ผมอยากจะถามหน่อยว่าเค้กที่ภรรยาของผมสั่งจองกับโรงแรมรับไปหรือยัง?"

"รับไปแล้ว รับไปตั้งแต่ห้าโมงแล้ว"

"หรอ? แต่ว่าตอนนี้เธอก็ยังไม่กลับ"

"อ๋อ ตอนที่เธอรับเค้กเสร็จก็เจอกับคุณชายเฉินที่กำลังโดนนักข่าวไล่ตามแล้วยังบอกว่าคุณชายเฉินเป็นเพื่อนเธอให้ฉันช่วยหลบซ่อนหน่อย จากนั้นฉันก็พาพวกเขาไปโซนห้องพัก ทำไมหรอ? จนตอนนี้ภรรยานายก็ยังไม่กลับอีกหรอ?"

"ใช่"

"ฉันเลิกงานตั้งแต่หกโมงแล้ว เดี๋ยวฉันโทรไปถามเพื่อนร่วมงานให้คุณดีไหม?"

เฉียวเฟิงคิดไปคิดมาแล้วส่ายหัว "ไม่ต้อง เธอคงจะไปซื้อผักด้วย เดี๋ยวผมรออีกหน่อย"

"ได้ สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งนะ"

"ขอบใจ" เฉียวเฟิงวางสายไป

เมื่อนำโทรศัพท์ออกจากข้างหู สีหน้าที่ยิ้มแย้มของเขาก็ค่อยๆหายไป จากนั้นก็เป็นก็มีสีหน้าแห่งความเสียใจแทนที่

เขารู้ คนที่ทำให้ไป๋มู่ชิงผิดปกติไปได้ นอกจากหนานกงเฉินคงไม่มีใครอีก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันจริงๆด้วย!

เขามองไปรอบๆบ้านที่ถูกตกแต่งอย่างอบอุ่น สวยขนาดนี้ แต่มีแค่เขาคนเดียว ในใจเขาก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมาทันที

--

นาฬิกาชี้ไปที่เลขเก้าแล้ว ไป๋มู่ชิงก็รอจนหมดหวังแล้ว

เธอใช้ทั้งสองมือกอดเข่าตัวเองไว้แล้วนั่งอยู่บนโซฟา ในมือก็กำโทรศัพท์ไว้อยากจะโทรหาเฉียวเฟิง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีก็เลยไม่โทรดีกว่า

หนานกงเฉินเดินมาจากที่เตียงแล้วนั่งลงข้างตัวเธอ "เธอหิวหรือเปล่า?"

"ไม่ค่อย" ไป๋มู่ชิงพูด

"แต่ผมหิวจะแย่แล้ว" หนานกงเฉินจับไปที่ท้องตัวเอง วันนี้ที่ร้านกาแฟก็แค่กินอะไรรองท้องไปนิดหน่อยแล้วนี่ก็ควรจะหิวตั้งนานแล้ว

"ฉันไปดูอยู่ก่อนว่ามีอะไรกินหรือเปล่า" ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์ บนเคาน์เตอร์บาร์มีคุกกี้ บะหมี่สำเร็จรูปกับเครื่องดื่มต่างๆ เธอหยิบคุกกี้กับบะหมี่ขึ้นถามเขา "ที่นี่มีบะหมี่กับคุกกี้ นายจะกินอะไร……?"

เธอหันหน้าไปก็เห็นพอดีว่าหนานกงเฉินกำลังแกะเค้กบนโต๊ะของเธอ เธอรีบเดินไปแล้วปิดกล่องเค้ก "นี่เป็นของฉัน นายกินไม่ได้!"

"ยังไงเธอก็ออกไปไม่ได้ ถ้าไม่รีบกินก็คงจะเสียแล้ว" หนานกงเฉินปัดมือทั้งสองข้างของเธอที่ฝากล่องออก

"บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ ถ้าอีกแป๊บเดี๋ยวก็ได้ออกไปล่ะ……นี่……!"

หนานกงเฉินปัดฝากล่องเค้กไปด้านข้างๆ

เค้กรสชีทแล้วตกแต่งได้สวยงามมาก แล้วตรงกลางก็ยังมีดอกกุหลาบสีชมพูที่เด่นตา แต่ยังมีสิ่งที่เด่นตามากกว่าดอกกุหลาบสีชมพูก็คือตัวหนังสือที่ใช้ช็อกโกแลตเขียนไว้ 'สุขสันต์วันเกิดคุณสามี'

เมื่อมองเห็นตัวหนังสือพวกนี้ หนานกงเฉินก็เกิดหลงว่าเค้กนี้ ไป๋มู่ชิงซื้อให้เขา

เขาจ้องไปที่ตัวหนังสือนี้อย่างเนิ่นนาน

ตอนที่เปิดกล่องเค้ก ไป๋มู่ชิงก็เห็นตัวหนังสือข้างบนทันที เธอแอบมองไปทางหนานกงเฉินก็เห็นว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ก็เลยรีบหยิบฝากล่องขึ้นแล้วปิดกลับไปเหมือนเดิม หนานกงเฉินจงใจเงยหน้าถามเธอ "นี่เป็นเค้กที่สัญญาว่าจะสั่งให้ผมหรอ?"

"ไม่ใช่……"

"ขอบใจ งั้นผมไม่เกรงใจละนะ" หนานกงเฉินพูดแทรกเธอแล้วหยิบส้มขึ้นแล้วตักไปที่ตัวหนังสือกี่ตัวนั้นแล้วยัดเข้าปากพร้อมพยักหน้าบอกว่า "รสชาติอร่อยดี ขอบคุณนะที่รัก"

ไป๋มู่ชิงเห็นเขาตักเค้กจนเป็นรูเลยหมดคำพูดไปเลย

ดูเหมือนว่าแพลนที่จะจัดงานวันเกิดให้เฉียวเฟิงคงเป็นไปไม่ได้แล้ว!

"เธอก็กินสิ" หนานกงเฉินตักเค้กก้อนหนึ่งไปที่ปากเธอ

"ฉันไม่กิน" ไป๋มู่ชิงเบี่ยงหน้าหนีอย่างหงุดหงิด

"ขี้งก" หนานกงเฉินใช้นิ้วปาดวิปครีมแล้วแตะจมูกเธอ "ก็แค่เค้กก้อนหนึ่งเดี๋ยวผมให้คนอื่นส่งไปให้เขาก็ได้"

"……"

"ผมรู้ว่าเธอคงหิวจะแย่แล้ว รีบกินเหอะ" หนานกงเฉินวางส้อมลงแล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์ ข้างบนนั้นมีเหล้าต่างประเทศแล้วก็ไวน์ เขาหยิบไวน์ขึ้นดูแล้วหยิบแก้วสองใบเดินมา เขาเปิดขวดไปด้วยแล้วเอ่ยขึ้นด้วย "ไวน์นี้ไม่เท่าไหร่เลย เราก็ดื่มไปก่อนแล้วกัน"

"นายดื่มไม่ได้ไม่ใช่หรอ?" ไป๋มู่ชิงมองสำรวจเขา สีหน้าก็ยังไม่พอใจเหมือนเดิม

"วันนี้เธอจัดงานวันเกิดให้ผม ผมดีใจ ก็ต้องดื่มสิ"

"ใครจัดงานวันเกิดให้นาย? ฉัน……"

"ชู่ว……" หนานกงเฉินทำมือให้เธอเบาเสียงแล้วชี้ไปหน้าประตู

ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าตัวเองจะกระอักเลือดแล้ว

หนานกงเฉินเทไวน์ไปที่ทั้งสองแก้วแล้วตักเค้กให้เธอพร้อมกับยกแก้วขึ้น "มาเถอะ เราชนแก้วกันก่อน สุขสันต์วันเกิดของผม"

ไป๋มู่ชิงมองไปที่แก้วตรงหน้าแล้วมองไปที่เขา ก็สังเกตเห็นเขาตั้งตารอเธอยกแก้วขึ้นด้วยถึงจะยอมถอดใจ สุดท้ายก็เลยยกแก้วขึ้นแล้วชนแก้วกับเขาพร้อมจิบไวน์ไปคำเล็กๆ

"เลือกเค้กได้ดีมาก หน้าตาดูสวยแล้วรสชาติก็อร่อย ผมชอบ" หนานกงเฉินใช้ส้อมตักเค้กแล้วยื่นไปที่ปากเธออีกครั้ง ไป๋มู่ชิงเลี่ยงไปข้างๆ หนานกงเฉินก็เลยใช้มืออีกข้างจับหน้าของเธอหันมา

"ยังไงก็เค้กก็ตักแล้ว ก็ต้องกินสิ" หนานกงเฉินพูด

ไป๋มู่ชิงมองไปที่เค้กที่ถูกเขาตักจนเละ ก็ใช่ ยังไงเขาก็ตักเค้กแล้ว ถ้าไม่กินก็คงเสียดายแล้วตอนนี้เธอก็รู้สึกหิวด้วย

"ฉันกินเองได้" เธอยื่นมือไปรับจานจากเขาแล้วเริ่มกินคำเล็กๆ

รสชาติของเค้กอร่อยมาก แต่ว่าทุกคำที่เธอกินก็รู้สึกใจหาย เมื่อนึกถึงเฉียวเฟิงยังรอเธออยู่ที่บ้าน แต่เธอกลับกินเค้กของเขากับผู้ชายคนอื่นที่นี่ เธอรู้สึกเสียใจมาก

--

ผู้ช่วยเหยียนจอดรถหน้าประตูบ้านเฉียว เธอก้มลงมองเข้าไปในบ้าน เมื่อเห็นไฟยังเปิดอยู่ค่อยเปิดประตูแล้วขับรถเข้าไป

ด้านหลังรถเธอมีเค้กก้อนใหญ่ เธอยกมือขึ้นกดกริ่ง ในบ้านก็มีเงาคนปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นเฉียวเฟิงที่เอาแต่รอไป๋มู่ชิงกลับมา เมื่อเขาเห็นผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าประตูไม่ใช่ไป๋มู่ชิงแต่เป็นผู้ช่วยเหยียน สีหน้าก็รู้สึกผิดหวังทันที

ผู้ช่วยเหยียนเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปเองพร้อมยิ้มอ่อนให้เขา "คุณชายเฉียวคะ ฉันมาส่งเค้กวันเกิดให้คุณค่ะ"

"เออ……สุขสันต์วันเกิดนะคะ" เธอพูดอีกคำ

"ขอบใจ แต่ว่าไม่ต้องรบกวนคุณผู้ช่วยหรอก" สีหน้าของเฉียวเฟิงกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิมแล้วแล้วเอ่ยอย่างมีมารยาท

"คุณชายเฉียวคะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ" เมื่อผู้ช่วยเหยียนรู้สึกถึงความผิดหวังของเขาก็ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

เฉียวเฟิงมองไปที่เธอ สายตาก็หยุดลงที่เค้กของเธอ "คุณหนูเหยียนมาอวดแทนคุณชายเฉียวของคุณหรอ?"

"คุณชายเฉียวเข้าใจผิดแล้วค่ะ" ผู้ช่วยเหยียนรีบส่ายหน้าแล้วอธิบาย "วันนี้ตอนที่คุณหนูไป๋ไปรับเค้กที่โรงแรมหยางกวงแล้วเจอกับคุณชายเฉินที่กำลังโดนคนตาม ก็เลยช่วยเขา สุดท้ายทั้งสองก็ถูกนักข่าวดักรออยู่ที่……ห้องรับรอง"

เธอไม่กล้าบอกว่าหนานกงเฉินกับไป๋มู่ชิงอยู่ในห้องพักวีไอพี กลัวว่าเขาจะคิดมาก

"คุณหนูไป๋อยากกลับมามาก แต่ว่าเธอออกโรงแรมไม่ได้ก็เลยให้ดิฉันมาส่งเค้กให้คุณ" ผู้ช่วยเหยียนเดินเข้าไปในบ้าน เมื่อเธอเดินเข้าไปก็เห็นภาพที่อบอุ่นสะดุดตาแล้วยืนมองอยู่หน้าประตู

"ทั้งหมดนี้มู่ชิงเป็นคนเตรียม" เฉียวเฟิงหันหลังมาแล้วค่อยๆเข็นรถเข็นเข้ามา

"จัดเตรียมได้สวยมากเลยค่ะ" ผู้ช่วยเหยียนยิ้ม จากนั้นก็วางเค้กลงแล้วมองไปรอบๆ สายตาก็ตกอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ บนนั้นมีวัตถุดิบของอาหารเย็นแล้วก็บะหมี่อายุยืนด้วย

"คุณยังไม่ได้ทานข้าวเย็นหรอคะ?" เธอเอ่ยถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

เฉียวเฟิงไม่ได้ตอบคำถามเธอแต่เอ่ยขึ้นว่า "ขอบคุณเค้กของคุณเหยียนนะครับ"

ความหมายก็คือให้เธอไปได้แล้ว

ผู้ช่วยเหยียนมองไปที่เขา บ้านหลังใหญ่นี้มีแค่เขาคนเดียว แล้วร่างกายก็ไม่สะดวกด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสงสารเขาหรือเปล่าเธอก็เลยเอ่ย "เดี๋ยวฉันช่วยคุณทำอาหารเย็นแล้วค่อยไปค่ะ"

"ไม่ต้อง ขอบคุณ" เฉียวเฟิงปฏิเสธ

"ถ้ายุ่งยากมากฉันก็ทำไม่เป็น แต่ว่าทำบะหมี่อายุยืนให้คุณได้ค่ะ" ผู้ช่วยเหยียนไม่สนใจคำปฏิเสธเขา หยิบบะหมี่บนเคาน์เตอร์บาร์ขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว

ผู้ช่วยเหยียนไม่ได้ทำอาหารเก่งมาก แต่แค่ทำบะหมี่แค่นี้ก็ยังได้ สุดท้ายบะหมี่ก็ทำเสร็จอย่างรวดเร็ว

เธอยกถ้วยบะหมี่มาต่อหน้าเฉียวเฟิงแล้วพูดยิ้ม "นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันต้มบะหมี่ให้ผู้ชาย ถึงแม้จะต้มได้ไม่ดีเหมือนกับคุณหนูไป๋ คุณอย่ารังเกียจนะคะ"

"ผู้หญิงที่ทำงานเก่งอย่างคุณ แค่ต้มบะหมี่ได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว" เฉียวเฟิงมองไปที่บะหมี่ในถ้วยแล้วเอ่ยขอบคุณกับเธออีกครั้ง

ผู้ช่วยเหยียนนำเค้กออกมาบนโต๊ะแล้วปักเทียน "ถ้าฉันจะเป็นคนดีก็ทำให้สุด อยู่เป่าเทียนเป็นเพื่อนคุณก็ได้ค่ะ"

เฉียวเฟิงมองไปที่เค้กแฮนด์เมดตรงหน้า เค้กดีมาก แต่ไม่ใช่แบบที่ไป๋มู่ชิงเลือกให้เขา แสงเทียนสว่างขึ้น เขาได้ยินเสียงของผู้ช่วยเหยียนเร่งให้เขารีบอธิฐาน แต่เขาไม่มีกระจิตกระใจอะไรที่จะเป่าเค้กเลย

เขาไม่ได้อธิฐาน แต่กลับใช้มือดับเทียนจากนั้นก็โยนลงไปที่ถังขยะ

"คุณชายเฉียว……คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ……" เมื่อผู้ช่วยเหยียนเห็นว่ามือของเขาโดนความร้อน แต่เขากลับไม่กระพริบตาเลย

เฉียวเฟิงเงยหน้าขึ้นมองไปที่เธอ "ถ้างั้นคุณผู้ช่วยเป็นคนดีก็เป็นให้สุด ดื่มเป็นเพื่อนผมสักแก้วสองแก้ว" พูดจบ เขาก็เอนตัวลงไปลากกล่องลังเหล่าจากใต้โต๊ะ จากนั้นก็หยิบขึ้นมาไม่กี่ขวดวางต่อหน้าเธอ "ก็ไม่รู้ว่ากี่ปีนี้คุณหนูเหยียนกินของดีๆกับคุณชายเฉินไปตั้งเยอะ ยังดื่มเบียร์ได้หรือเปล่า"

ผู้ช่วยเหยียนลังเลไปครู่หนึ่งแล้วมองไปที่ขวดเหล้าบนโต๊ะ เธอทำงานกับหนานกงเฉินมาตั้งกี่ปี ก็เรียนรู้อะไรตั้งเยอะ แต่ว่าเธอคออ่อนมาก

"ทำไม? ดื่มพวกนี้ไม่ได้หรอ? จะเปลี่ยนเป็นเหล้าต่างประเทศไหม?"

"เหล้าทุกแบบก็มีรสชาติเป็นของตัวเอง ไม่มีคำว่าดื่มไม่ได้หรอกค่ะ" ผู้ช่วยเหยียนยื่นมือจับขวดเปิดฝายื่นไปทางเขาแล้วเปิดให้ตัวเองด้วย จากนั้นก็ยกขวดขึ้นไปทางเขา "มาค่ะ ขอแค่คุณชายเฉียวมีความสุขก็พอค่ะ"

"ขอบคุณ" เฉียวเฟิงหยิบขวดขึ้นแล้วชนกับเธอ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นกระดก

"รอก่อนค่ะ คุณทานอะไรก่อนเถอะค่ะ ระวังกระเพาะด้วย" ผู้ช่วยเหยียนดันถ้วยบะหมี่ไปต่อหน้าเขา

เฉียวเฟิงมองไปที่บะหมี่ในถ้วยก็ยิ้มอย่างขมขื่น "คุณว่าทำไมมู่ชิงเธอถึงไม่เป็นห่วงว่าผมทานอาหารเย็นหรือยัง?"

ผู้ช่วยเหยียนก็พูดปลอบใจอย่างอ่อนโยน "คุณชายเฉียวคะ คุณหนูไป๋เธอไม่ใช่ไม่เป็นห่วงหรอกค่ะ เธอก็ทำอะไรไม่ได้ ความจริงเธออยากจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนคุณมาก ไม่งั้นก็คงไม่ให้ฉันส่งเค้กมาให้คุณ"

"แต่ว่าเธอกลับอยู่กับหนานกงเฉิน……"

"เธออาจจะ……" ผู้ช่วยเหยียนคิดไปคิดมาแล้วพูดปลอบใจ "อีกสักพักเธอก็คงจะกลับมาก็ได้หนิคะ"

"ไม่มีทาง" เฉียวเฟิงส่ายหน้า "ขอแค่มีหนานกงเฉินอยู่ เธอไม่มีทางกลับมาแน่นอน หนานกงเฉินจะยอมปล่อยตัวเธอกลับมาได้ยังไง?"

"คุณชายเฉินเขา……"

"พอแล้ว คุณไม่ต้องปลอบใจผมหรอก" เฉียวเฟิงยกขวดขึ้น "มาเถอะ ดื่มกันเถอะ……"

เดิมทีผู้ช่วยเหยียนยังจะอธิบายแทนหนานกงเฉินอีก แต่เมื่อเห็นสีหน้าเขาแบบนี้ก็เลยถอดใจไป แล้วยกขวดขึ้นชนกับเขาจากนั้นก็กระดกดื่ม

--

อาจจะเป็นเพราะหิวมานาน หนานกงเฉินกับไป๋มู่ชิงทั้งสองคนก็กินเค้กไปกว่าครึ่งแล้ว

อาจจะเพราะดื่มไวน์ด้วย พอกินอิ่มแล้วไป๋มู่ชิงก็เริ่มรู้สึกง่วง เธอยืดตัวเองแล้วใช้มือผลักไปที่แขนของหนานกงเฉิน "นายไปดูสิว่าพวกเขาไปหรือยัง"

หนานกงเฉินลุกขึ้นจากพรมแล้วเดินไปที่หน้าประตู มองผ่านตาแมวออกไปข้างนอกพร้อมส่ายหัว "ดูเหมือนว่าคืนนี้เราต้องอยู่ที่นี่แล้ว"

"ฉันไม่อยากอยู่"

"อยู่ที่นี่ไม่ดีหรอ คุณดูสิมีทั้งไวน์ทั้งเค้กให้กิน" หนานกงเฉินนั่งลงข้างตัวเธอแล้วตักเค้กขึ้นยื่นไปที่ปากเธอ "มา กินอีกหน่อย วิปครีมทำให้อ้วนได้"

"ฉันไม่อยากอ้วน"

"อ้วนหน่อยถึงจะนุ่มนิ่ม" เมื่อหนานกงเฉินนึกถึงปัญหานี้แล้ววางช้อนกลับไปที่เดิมแล้วใช้มือทั้งสองข้างจับหน้าของเธอให้สบตากับตัวเอง "เฉียวเฟิงเคยแตะต้องตัวเธอหรือเปล่า? เคยจูบเธอหรือเปล่า? เคยทำอะไรแบบนั้นกับเธอหรือเปล่า?"

ไป๋มู่ชิงถูกเขาถามจนหน้าเริ่มแดงเลยสะบัดมือของเขาออก "ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาย!"

"จะไม่เกี่ยวกับผมได้ยังไง?" หนานกงเฉินพูด "ผมจำได้ว่าเฉียวเฟิงพิการขาอัมพาตเลย เขาคงจะไม่มีความสามารถด้านนี้ใช่ไหม?"

ขณะที่พูด เขาก็แอบรู้สึกดีใจขึ้นมา ทำไมแต่ก่อนเขาไม่เคยนึกถึงเลย แถมยังเสียใจอยู่ตั้งนาน

"หนานกงเฉินนี่นายกำลังเยาะเย้ยเขาหรอ?" ไป๋มู่ชิงหงุดหงิด

"ผมก็รู้สึกสงสารอยู่ ยังหนุ่มยังแน่นก็พิการจนอัมพาตไปแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะมาแย่งภรรยาของผม ตอนนี้ผมไม่สงสารเขาแล้วผมเกลียดจนอยากจะบีบคอเขาตาย" หนานกงเฉินพูดกัดฟันด้วยสีหน้าหงุดหงิด "ถึงแม้เขาจะทำอะไรเธอแบบนั้นไม่ได้ แต่เขาก็คงเคยจูบเธอเคยจับเธอใช่ไหม?"

"โรคจิต……!" ไป๋มู่ชิงปาดเค้กขึ้นแล้วแตะไปที่หน้าเขา

หนานกงเฉินรู้สึกเย็นๆบนหน้า เขายกมือขึ้นแล้วปาดวิปครีมบนหน้าตัวเอง ใบหน้าที่หล่อเหลาดูเลอะเทอะไปทันที

ไป๋มู่ชิงไม่เคยเห็นเขาตลกแบบนี้มาก่อนเลยก็เผลอหัวเราะออกมาอย่างไม่รู้ตัว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด