หลังจากที่จัดเตรียมทุกอย่างเสร็จ เธอก็โทรไปหาเสี่ยวหว่านชิงที่อยู่ต่างประเทศแล้วได้รับคำอวยพรพร้อมจูบของเธอ
เสี่ยวหว่านชิงรู้สึกมีความสุขมาก เอาแต่พูดว่าจะโทรหาคุณพ่อแล้วร้องเพลงสุขสันต์วันเกิด
ไป๋มู่ชิงยิ้มเอ่ย "เดี๋ยวเพลงที่หนูร้องคุณแม่จะส่งให้คุณพ่อดูดีมั้ยคะ?"
"ค่ะ" อยู่ๆเสี่ยวหว่านชิงก็เศร้า "คุณแม่คะ หนูคิดถึงคุณแม่กับคุณพ่อมากเลยค่ะ"
ขอบตาของไป๋มู่ชิงก็อุ่นขึ้นมาแล้วรีบกระกระพริบตา "คุณแม่ก็คิดถึงหนูเหมือนกัน"
"แล้วคุณแม่จะมารับหนูเมื่อไหร่คะ?"
"รอคุณแม่ยุ่งเรื่องงานเสร็จก็จะไปรับหนู แล้วอีกหน่อยเราก็จะไม่แยกจากกันดีมั้ยคะ?"
ไดีค่ะ"
"หว่านชิงเก่งมากเลย ต้องเป็นเด็กดีนะคะ"
"หนูจะเป็นเด็กดีค่ะ" เสี่ยวหว่านชิงพยักหน้าแล้วพูด
ไป๋มู่ชิงจำใจต้องวางโทรศัพท์ไป เมื่อโทรศัพท์ยังไม่ห่างออกจากมือก็ดังขึ้นอีก เธอเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาดู หนานกงเฉินโทรมานั่นเอง
เขาโทรมาเวลานี้ทำไม?
เธอลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปิดเสียงโทรศัพท์โยนลงไปที่โซฟาแล้วจัดเตรียมห้องต่อ
--
หนานกงเฉินไม่รอให้เสียงรอสายดังนานก็วางสาย เพราะว่าไม่อยากให้ไป๋มู่ชิงรู้สึกรำคาญ
ความจริงเขาแค่อยากจะโทรหาไป๋มู่ชิงแล้วบอกกับเธอว่าไม่ต้องเป็นห่วงเขา เขาสบายดี
ถึงแม้ไป๋มู่ชิงจะไม่ยอมรับตรงๆ แต่ในใจเขาเข้าใจแล้วเชื่อว่า เมื่อเธอเห็นข่าวแล้วก็ต้องเป็นห่วงแน่นอน
ในเวลานี้หน้าบริษัทหนานกงก็คงมีผู้คนแล้วก็นักข่าวมารอเต็มแล้ว หนานกงเฉินไม่อยากออกไป ก็เลยย้ายประชุมตอนบ่ายมาประชุมที่โรงแรมหยางกวง
เมื่อประชุมตอนเช้าเสร็จแล้ว หนานกงเฉินมาที่ชั้นหนึ่งของโรงแรมแล้วหาที่นั่งตรงมุมของร้านอาหารตะวันตก
ผู้ช่วยเหยียนก็มาหาเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามโซฟาเขาแล้วเอ่ย "เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ? คุณชายที่มีชื่อเสียงของเราแค่ไม่เจอกันกี่วันก็ตกอับซะแล้ว"
"คุณสะกดรอยตามผมมาที่นี่เพื่อที่จะมาเยาะเย้ยผมงั้นหรอ?" หนานกงเฉินมองไปที่เธอ
"แค่มาดูว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือหรือเปล่าค่ะ"
"ตอนนี้ยังไม่ต้อง"
"เรื่องนี้ต้องเป็นตาแก่เซิ่งก่อเรื่องแน่นอน" ผู้ช่วยเหยียนมองไปที่เขา "ฉันบอกกับคุณแล้ว เก็บเขาไว้ยังไงก็เป็นภาระ ควรจะหาข้ออ้างอะไรสักอย่างแล้วไล่เขาออกจากบริษัท"
หนานกงเฉินส่ายหัวอย่างเอื้อมระอา "ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ถึงเขาจะมีหุ้นแค่ห้าเปอร์เซนต์ แต่ยังไงก็เป็นหุ้นส่วน มีสิทธิ์ที่จะทำงานในบริษัท"
"เขาวางแผนใส่ร้ายคุณได้ คุณก็ทำกับเขาไม่ได้หรอ?"
"นี่ก็กำลังรอโอกาสอยู่ไม่ใช่หรอ?"
"ถ้ารอโอกาสของคุณมา คนอื่นคงทำให้บริษัทล้มละลายไปแล้ว" ผู้ช่วยเหยียนเอ่ย "ถ้าปล่อยให้เขาทำตัวแบบนี้อีก ชื่อเสียงของบริษัทจะไม่เสื่อมเสียได้ยังไง หุ้นจะไม่ตกได้ยังไงคะ? แล้วลูกค้าจะไม่หนีได้ยังไงคะ?"
"ผมคิดว่าเขาจะคำนึงถึงโอกาสพัฒนาของเซิ่งเคอในบริษัทแล้วจะยั้งมือกับเรื่องนี้ แต่ว่า……ผมคิดผิด ตาแก่นั่นไม่สนใจเซิ่งเคอเลย" หนานกงเฉินพูด "อาจจะเป็นเพราะเซิ่งเคอไม่ยอมทำตัวต่ำช้าเหมือนเขา ถึงแม้จะให้อยู่ในบริษัทก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเขามาก"
"แล้วจะทำยังไงต่อคะ? ตอนนี้นักข่าวเขียนคุณเป็นฆาตกรแล้วนะคะ"
"ให้เขาเขียนไปเถอะ ไม่เป็นไร"
"คุณชายเฉินคะ ตอนนี้กระแสข่าวกำลังโจมตีคุณ คุณจะไม่สนใจไม่ได้" ผู้ช่วยเหยียนลังเลไปครู่หนึ่ง "ฉันช่วยคุณติดต่อสำนักข่าวหนึ่งแล้ว พวกเขาพร้อมที่จะให้สัมภาษณ์คุณ"
"คุณพูดอะไรนะ?"
"ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบการสัมภาษณ์ แต่นี่เป็นเวลาเร่งด่วนคุณจะทำตามใจตัวเองไม่ได้นะคะ"
หนานกงเฉินยิ้มเยาะเย้ยแล้วยักไหล่ "ผมพูดอะไรได้ เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับผม ทุกคนก็พูดแล้ว บริษัทหนานกงมีเงินขนาดนี้แต่ไม่อยากชดใช้ค่าเสียหายแล้วยังบีบบังคับจนคนอื่นตายอีก"
"แต่ก็ยังดีกว่าไม่พูดอะไรนะคะ"
"ช่างเถอะ ให้แผนกสื่อจัดการเถอะ" หนานกงเฉินพูด
ผู้ช่วยเหยียนเห็นท่าทางของเขาที่ไม่ยอมให้สัมภาษณ์แล้วรู้จักนิสัยเขาดี ก็เลยไม่ได้พูดอะไรต่อ
--
ตอนบ่ายหนานกงเฉินก็เลยเลือกที่จะทำงานที่ร้านกาแฟ
ในระหว่างนั้นเซิ่งเคอมาหาแล้วก้มหัวให้เขาอย่างรู้สึกผิด "พี่ชายครับ ผมทำให้พี่ผิดหวัง แต่ว่าพี่ไว้ใจได้นะครับ ผมจะรับผิดชอบด้วยกันลาออกเองครับ"
หนานกงเฉินมองไปที่เขาแล้วส่ายหน้า "เรื่องนี้แกทำได้ไม่ดีจริง แล้วก็สมควรที่จะลาออกด้วย แต่ว่าก่อนที่ประธานหลิ่วจะฟื้นแล้วออกมาจากโรงพยาบาล แกต้องอยู่ในตำแหน่งนั้นก่อน"
เซิ่งเคอพยักหน้า "ผมรู้ครับ รอประธานหลิ่วออกมาจากโรงพยาบาล ผมก็จะไปทันทีครับ"
หนานกงเฉินก้มลงไปตอบอีเมลต่อ พอเงยหน้าขึ้นมาเซิ่งเคอก็ยังอยู่ก็เลยถามว่า "มีเรื่องอะไรอีก?"
เซิ่งเคอลังเลยไปครู่นึงสุดท้ายก็ส่ายหน้า "ไม่มีอะไรครับ"
หนานกงเฉินคิดไปคิดมาแล้วใช้คางชี้ไปที่โซฟาตรงข้าม "นั่งลงดื่มกาแฟก่อนไหม?"
เซิ่งเคอนั่งลงตรงข้ามเขา จากนั้นก็ชงกาแฟให้ตัวเองแล้วจ้องไปที่เขา "พี่ชาย พี่คงรู้แล้วใช่ไหมครับว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพราะคุณพ่อผม ใช่ไหมครับ?"
หนานกงเฉินพยักหน้า "ใช่ แต่ว่าแกไม่ต้องกังวลหรอก ฉันรู้ว่าไม่เกี่ยวอะไรกับแก"
"ขอบคุณครับ" เซิ่งเคอค่อยโล่งอกไป
หลังจากที่ต่างคนต่างเงียบไป หนานกงเฉินก็ยกกาแฟขึ้นดื่มแล้วเอ่ยถามขึ้น "ใช่สิ เหมือนฉันจะไม่เคยถามแกเลยว่าแกกับเหลียนเหยาคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วคิดจะแต่งงานเมื่อไหร่?"
เซิ่งเคอไม่คิดเลยว่าหนานกงเฉินที่ไม่ค่อยถามเรื่องส่วนตัวของคนอื่นจะเอ่ยถามเรื่องเขากับผู่เหลียนเหยา สีหน้าก็รู้สึกประหลาดใจไป
หนานกงเฉินก็เลยพูดขึ้นอีกว่า "พี่คิดว่าเราสองคนอายุไม่น้อยแล้ว ถึงเวลาที่พี่ควรจะจัดงานให้พวกเธอได้แล้ว"
"ขอบคุณครับพี่ชาย" เซิ่งเคอพูดยิ้ม "แต่ว่าเหลียนเหยายังไม่อยากแต่งงาน เรื่องของเรายังไม่ได้วางแผนเลยครับ"
"นายเคยเจอคนในครอบครัวเธอหรือยัง?"
"ยังครับ"
หนานกงเฉินแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจ "หรือว่านายไม่รู้แม้แต่ว่าบ้านเธออยู่ไหน ทำอะไร มีใครบ้างก็ไม่รู้ใช่ไหม?"
เซิ่งเคอส่ายหัว "ผมรู้ว่าบ้านของเธออยู่เมืองเยว่ แล้วพ่อแม่ก็เสียไปนานแล้ว เธอโตมากับคุณป้า แต่ว่าเรื่องพวกนี้ไม่สำคัญ ผมไม่สนใจอยู่แล้ว ผมชอบที่ตัวเธอ"
"แล้วพวกแกรู้จักกันได้ยังไง?"
"เมื่อห้าปีก่อนที่กิจกรรมในมหาลัยครับ ผมเพิ่งรู้ว่าพวกเราเรียนมหาลัยเดียวกัน แค่ต่างปีต่างคณะก็เลยไม่เคยเจอกัน" เมื่อพูดถึงผู่เหลียนเหยา สีหน้าของเซิ่งเคอก็ไม่ได้เกร็งขนาดนั้นแต่กลับยิ้มอย่างอ่อนโยน
ได้อยู่กับคนที่ตัวเองรักเป็นเรื่องที่มีความสุขมาก หนานกงเฉินมองไปที่รอยยิ้มบนใบหน้าเขา ในใจก็รู้สึกข่มขืน ไม่รู้ว่าผู่เหลียนเหยารักเขาจริงหรือเปล่า
"ความรักบังตาได้ง่าย บางครั้งถ้าจะมองใครสักคนก็ต้องมองให้ละเอียดหน่อย"
เซิ่งเคอไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ว่าก็พยักหน้า "ครับพี่ชาย ขอบคุณที่พี่ชายเตือนนะครับ"
--
ตอนบ่าย ไป๋มู่ชิงมองไปที่เวลาจากนั้นก็เขียนโพสต์อิทให้เฉียวเฟิงแล้วออกไปรับเค้ก
เมื่อเธอมาถึงโรงแรม เค้กก็ทำเสร็จแล้ว ผู้จัดการโรงแรมก็เอ่ยยิ้ม "คุณหญิงเฉียว ช่วยบอกอาเฟิงแทนฉันด้วยนะคะว่าสุขสันต์วันเกิด"
"ได้ค่ะ" ไป๋มู่ชิงพยักหน้า
นี่เป็นผู้จัดการหญิงที่เป็นเพื่อนมัธยมของเฉียวเฟิง แล้วเฉียวเฟิงก็แนะนำให้เธอมาจองเค้กที่โรงแรมนี้ด้วย
"พอคิดดูแล้ว ฉันก็ไม่ได้เจออาเฟิงหลายปีแล้ว เค้กนี้ก็ถือว่าฉันให้เขาแล้วกันค่ะ"
"ได้ยังไงกันคะ?" ไป๋มู่ชิงล้วงกระเป๋าตังค์ออกมาแล้วจ่ายตังค์กับแคชเชียร์พร้อมเอ่ยกับผู้จัดการ" ฉันรับความหวังดีของคุณหนูจงไว้นะคะ แต่เค้กเรารับไว้ไม่ได้จริงๆขอโทษด้วยนะคะ"
"งั้นก็ได้ค่ะ ฉันไม่บังคับคุณก็ได้ค่ะ "คุณหนูจงทำมือกับเธอ "ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันส่งคุณออกไป"
ทีแรกไป๋มู่ชิงอยากจะพูดว่าไม่ต้อง แต่ปฏิเสธทุกเรื่องก็คงไม่ดีก็เลยตามใจเธอ
--
หนานกงเฉินเดินออกมาจากร้านกาแฟกำลังจะเตรียมตัวกลับบ้าน แต่ยังเดินไม่ถึงไปหน้าโรงแรมก็มีนักข่าวมาดักรอแล้ว
เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์แล้วฝีเท้าก็ต้องหยุดลง
เมื่อนักข่าวตรงหน้าเห็นเงาของเขาก็รีบตะโกนขึ้น "หนานกงเฉิน! หนานกงเฉินอยู่ที่โรงแรมนี้จริงด้วย……"
ตามมาด้วยผู้คนที่ล้อมเข้ามา ผู้ช่วยหลินก็รีบเอ่ยขึ้น "คุณชายคุณไปประตูหลังดีกว่าครับ ผมไปห้ามพวกเขาไว้"
หนานกงเฉินไม่ได้คิดอะไรมาก หันหลังแล้วเดินเข้าไปในโรงแรม
เมื่อนักข่าวเห็นเขาหันหลังจะเดินหนี ก็รีบเร่งฝีเท้าไปด้วยแล้วตะโกนไปด้วย แม้แต่ยามก็ห้ามไม่อยู่
ผู้ช่วยหลินที่ห้ามฝูงชนไว้ก็เอ่ย "คุณชายเฉินไม่มีอะไรจะพูด ขอให้ทุกคนอย่ารบกวนท่านได้ไหม? ขอบคุณ……!"
"คุณชายเฉิน คุณก็พูดกับพวกเราสักหน่อยสิครับว่าพนักงานจางรู้สึกกระทบกระเทือนใจกับคำพูดของคุณก็เลยกระโดดตึกใช่ไหมครับ? เขา……"
"ไม่ใช่ ไม่ใช่" ผู้ช่วยหลินพูดแทรก พูดปฏิเสธพวกเขา
หนานกงเฉินไม่รู้ว่าประตูหลังของโรงแรมอยู่ไหน เขาก็เดินไปตามทางเดิน
เมื่อไป๋มู่ชิงเดินออกมาจากลิฟท์ก็เห็นหนานกงเฉินกำลังถูกนักข่าวตาม เธอคิดไปคิดมาแล้วหันไปเอ่ยกับผู้จัดการจง "คุณหนูจงคะ ช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหมคะ? ช่วยพาพวกเราหลบนักข่าวหน่อย"
พูดจบ เธอก็ก้าวเดินไปดึงข้อมือของหนานกงเฉินมา
"เขาเป็นคุณชายเฉินไม่ใช่หรอคะ?" ผู้จัดการจงมองไปที่หนานกงเฉินอย่างประหลาดใจ
"ใช่ค่ะ เขาเป็นคุณชายเฉิน เป็นเพื่อนของฉัน" ไป๋มู่ชิงอธิบายสั้นๆง่ายๆ
"ตามฉันมาเลยค่ะ" ถึงแม้ผู้จัดการจงจะไม่เข้าใจสถานการณ์มากนัก แต่ก็ไม่ถามอะไรต่อก็เลยพาพวกเขาทั้งสองคนเดินไปทางบันไดหนีไฟ
"มู่ชิง เธออยู่ที่นี่ได้ยังไง?" หนานกงเฉินถามขึ้นอย่างสงสัย
"ฉันมารับของ" ไป๋มู่ชิงก็ยังจับข้อมือของเขาไว้แล้วเอ่ย "ถ้าไม่อยากถูกล้อมก็รีบหน่อย"
ชั้นล่างมีเสียงฝีเท้าที่ลอยมา ทั้งสามคนก็เลยเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ผู้จัดการจงใช้คีย์การ์ดเปิดห้องวีไอพีแล้วเอ่ยกับหนานกงเฉิน "คุณชายเฉินคุณเข้าไปหลบก่อนเถอะค่ะ ฉันไปห้ามพวกเขาไว้"
"ได้ ขอบคุณครับ" หนานกงเฉินพูดตามหลังเธอ
ไป๋มู่ชิงก็เห็นว่าหนานกงเฉินยังยืนอยู่หน้าประตูเลยผลักเขาเข้าไปในห้องแล้วเอ่ยว่า "ยังยืนอยู่ทำไม? รีบเข้าไปสิ"
"นี่ พวกคุณเข้าไปไม่ได้……" เสียงของผู้จัดการจงดังขึ้นจากทางบันไดหนีไฟ
หนานกงเฉินรู้ว่านักข่าวตามาแล้ว เขาก้มมองไปที่ไป๋มู่ชิงแล้วรีบชิงปิดประตูห้องก่อนเธอ
"นี่ รอฉันออกไปก่อนนายค่อยปิด" ไป๋มู่ชิงยื่นมือไปจะไปเปิดประตู หนานกงเฉินก็ใช้มือจับลูกบิดไว้ "อย่าเปิด"
ทันใดนั้นก็มีเสียงตบประตูกับเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตามมาแล้ว
ไป๋มู่ชิงเงยหน้ามองไปทางหนานกงเฉินแล้วพูดเสียงเบา "ทำยังไงดี? ฉันต้องออกไป"
หนานกงเฉินทำท่าทางไร้เดียงสา "ทำยังไงได้อีกล่ะ? ก็อยู่กับผมที่นี่ไง"
"จะอยู่ได้ยังไง ฉันต้องรีบกลับบ้าน" ไป๋มู่ชิงเริ่มร้อนรน
"เธออยากขึ้นหน้าหนึ่งหรอ? แล้วด้วยฐานะคนรักของผม?" หนานกงเฉินพูดขู่อย่างใจเย็น "ผมเตือนเธอไว้เลย ตาแก่เซิ่งอยากจะโยนความผิดทุกอย่างมาบนตัวผม ถ้าเห็นว่าพวกเราสองคนอยู่ห้องเดียวกันก็คงทำให้เรื่องดังแน่นอน"
เขาเอนตัวลงมาแล้วลมหายใจก็กระทบใบหน้าเธอ "ที่รัก เธอไม่กลัวแต่ผมกลัวนะ"
"แล้วจะทำยังไง?" ไป๋มู่ชิงเริ่มหงุดหงิด เธอต้องรีบกลับไปจัดงานวันเกิดให้เฉียวเฟิง
"รอก่อนแล้วกัน" หนานกงเฉินล็อกประตูแล้วลากมือเธอเดินเข้าไปในห้องให้เธอนั่งลงบนโซฟา "นั่งก่อนเถอะ"
ไป๋มู่ชิงถูกเขาผลักแบบนี้เค้กในมือก็หล่นลงไปที่โซฟา เธอกลัวว่าเค้กจะเสียหายก็จับเชือกในมือไว้แน่
หนานกงเฉินมองไปที่เค้กในมือเธอแล้วนำเค้กวางไปบนโต๊ะ จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วไปกดน้ำให้เธอแล้วใช้มือเช็ดเหงื่อบนหน้าผากเธอ "อย่ากังวลไปเลย รอพวกเขาไปก็พอแล้ว"
"ฉันไม่ได้กังวล ฉันแค่ต้องรีบไปจากที่นี่"
"รีบกลับไปจัดงานวันเกิดให้เขา?" หนานกงเฉินมองไปที่เค้กบนโต๊ะด้วยสีหน้าไม่ดีมากนัก
ไป๋มู่ชิงไม่ได้ตอบเขา แค่หันตัวไปแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
หนานกงเฉินมองไปที่เธอแล้วลุกขึ้นเดินไปนั่งลงบนเตียง จากนั้นมืออีกข้างก็หยิบรีโมทขึ้นเปิดโทรทัศน์ดู
เมื่อเปิดโทรทัศน์ดูก็มีแต่ข่าวที่เกี่ยวกับเขา เขาก็เลยเปลี่ยนช่อง
หนานกงเฉินพิงอยู่หัวเตียงแล้วดูโทรทัศน์ ไม่รู้สึกอะไรกับนักข่าวข้างนอกเลย แต่ไป๋มู่ชิงยิ่งรอไปยิ่งร้อนรนแล้วไม่สบายใจเลยเริ่มเดินวนไปวนมาในห้อง
เธอยกข้อมือขึ้นดูเวลา นี่ก็หกโมงเย็นแล้ว เฉียวเฟิงคงกลับบ้านแล้ว ถ้าเฉียวเฟิงเห็นว่าเธอไม่อยู่บ้านก็คงต้องเป็นห่วงแล้วจะคิดมาก เธอมองไปทางประตู ทำยังไงดี? ดูเหมือนว่าคนข้างนอกก็ยังอยู่เธอออกไปไม่ได้
"ถึงแม้ผมจะรักคุณแล้วชอบมองคุณ แต่ขอให้คุณอย่าเดินวนไปวนมาต่อหน้าผมได้ไหม ผมเวียนหัว" เสียงของหนานกงเฉินลอยมา
ไป๋มู่ชิงหยุดก้าวเท้าแล้วหันไปมองเขา จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟา พอนั่งได้ไม่ถึงสองนาทีก็ลุกขึ้นมาใหม่ เดินไปที่ประตูแล้วส่องตาแมวมองไปข้างนอกจากนั้นก็รีบปิดทันที
"ยังไม่ไปอีกหรอ?" หนานกงเฉินเอ่ยถามขึ้น
ไป๋มู่ชิงเดินไปจ้องเขา "หนานกงเฉิน นายคิดวิธีหน่อยได้ไหม ฉันอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว"
เธอไม่เชื่อว่าด้วยอำนาจของเขาแค่นักข่าวพวกนี้ก็ยังจัดการไม่ได้? แล้วยังยอมให้พวกเขามาดักอยู่ที่นี่ด้วย?
"ผมไม่ใช่ดาราคนดังสักหน่อย แค่นักธุรกิจคนหนึ่ง ในวันวันเดียวก็มีนักข่าวเยอะขนาดนี้คุณไม่รู้สึกแปลกใจหรอ?"
"เพราะฉะนั้น?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...