เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด นิยาย บท 230

ครั้นหนานกงเฉินไม่ให้โอกาสเธอได้ปฏิเสธ เขาคว้ากุญแจรถในมือของเธอมาทันทีจากนั้นก็ลากไป๋มู่ชิงเดินมุ่งไปหารถ

หลังจากที่เห็นพวกเขาทั้งสองคนขึ้นรถและขับออกไปแล้ว เลขาเหยียนจึงสูดหายใจเข้าลึกด้วยความรู้สึกเอือมละอา จากนั้นก็หันหน้ามามองเฉียวเฟิง : “ดูเหมือนว่าทั้งบ่ายนี้พวกเราจะเสียเวลารอเปล่า ๆ เสียแล้ว ไปกันค่ะ เดี๋ยวฉันไปส่ง”

สายตาของเฉียวเฟิงชักกลับจากหน้าประตู เวลาต่อมาก็สูดหายใจเข้าลึกเช่นกันพร้อมพูดขึ้นมาด้วยความขมขื่น : “ขอบคุณครับ”

“ขอบคุณอะไรกัน ฉันเองก็ถูกคนอื่นขอร้องมาเหมือนกัน” เลขาเหยียนผลักเขาออกจากภายในสถานีตำรวจ ขณะที่กำลังจะไปโบกรถแท็กซี่ข้างทางก็นึกถึงว่าไป๋มู่ชิงไม่อยู่ที่บ้าน หากส่งเฉียวเฟิงกลับไปแล้ว ตัวเขาทำกับข้าวเองไม่เป็น หาอะไรทานที่ข้างนอกก่อนแล้วค่อยกลับไปจะดีกว่า

“เอ่อ……” เธอมีความพูดไม่ออก : “เราต่างก็หิวกันพอดีเลย ไปกินข้าวก่อนค่อยกลับดีกว่าไหมคะ”

“โอเค” เฉียวเฟิงตอบกลับด้วยอาการเหม่อลอยเล็กน้อย : “คุณอยากทานอะไร ?”

“ทานอะไรง่าย ๆ ก็ได้ค่ะ”

เบื้องหน้ามีร้านอาหารตะวันตกที่ดูเข้าท่าอยู่พอดี ทั้งสองคนเดินตามพนักงานเข้าไปนั่งยังที่นั่งชิดหน้าต่าง

หลังจากที่ทั้งคู่สั่งอาหารเสร็จแล้ว พนักงานจึงมองพวกเขาพร้อมถามว่า : “ขอโทษนะคะ ทั้งสองท่านรับไวน์หน่อยไหมคะ ?”

“ไม่หรอกค่ะ ขอบคุณนะคะ” เลขาเหยียนปฏิเสธไปด้วยสัญชาตญาณ คืนนี้จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้อีกเด็ดขาด

เฉียวเฟิงเห็นใบหน้าที่ยังมีความหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัดของเธอ ภายในใจจึงมีความรู้สึกผิดผุดขึ้นมา เขาทราบว่าเลขาเหยียนกำลังกลัวว่าเหตุการณ์ครั้งที่แล้วจะซ้ำรอย

หลังจากที่พนักงานจากไปแล้ว เลขาเหยียนจึงครุ่นคิดอย่างหนักอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็จ้องหน้าเฉียวเฟิงพร้อมถามขึ้นด้วยความลังเลใจ : “คุณชายเฉียวคะ ฉันสงสัยมาก……คุณทราบตัวตนที่แท้จริงของคุณหนูไป๋ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมคะ ?”

สีหน้าของเฉียวเฟิงแสดงได้ชัดว่าเขาคาดไม่ถึงว่าเธอจะถามเช่นนี้ จึงพยักหน้าอย่างลังเลพร้อมพูดขึ้นว่า : “ถูกต้อง”

“นี่ก็คือเหตุผลที่คุณไม่ปล่อยเธอไปมาตลอดเหรอคะ ?”

“ถูกต้อง”

“ถ้างั้นตอนนี้ล่ะคะ ? หนานกงเฉินทราบเรื่องทุกอย่างแล้ว คุณยังไม่คิดจะปล่อยมือไปเหรอคะ ?” เลขาเหยียนถามต่อ

“คุณคิดว่าผมควรปล่อยมืองั้นเหรอ ?” ในที่สุดเฉียวเฟิงก็เคลื่อนสายตาจากแก้วน้ำไปยังใบหน้าของเธอ พร้อมถามขึ้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง : “ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด การที่คุณผู้หญิงสามารถกักขังจูจูบีบบังคับจนเธอต้องจุดไฟเผาห้องได้ ถ้างั้นก็จะต้องทำแบบนั้นกับมู่ชิงได้เหมือนกัน ถ้าตอนนี้ผมปล่อยมือไปเธอจะต้องตายสถานเดียวไม่ใช่เหรอครับ ?”

เลขาเหยียนมีความรู้สึกนับถือและเข้าอกเข้าใจกับความคิดนี้ของเขา ทว่ายังคงอดไม่ได้ที่จะพูดแทนหนานกงเฉินว่า : “คุณชายเฉินไม่ยอมให้คุณผู้หญิงทำแบบนั้นหรอกค่ะ”

“คุณชายเฉินไม่มีทางขวางคุณผู้หญิงได้” เฉียวเฟิงกล่าว ในความคิดของเขา หนานกงเฉินไม่มีความสามารถในการปกป้องไป๋มู่ชิงได้เลย โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนเรื่องของคู่ครองฟ้าลิขิต

“ถ้างั้นคุณจะทำยังไงต่อไปคะ ?”

“มู่ชิงบอกว่าถ้าเธอจัดการธุระเสร็จสรรพแล้วก็จะไปจากที่นี่พร้อมผม ตอนนี้จูจูตายแล้วผู่เหลียนเหยาก็น่าจะอยู่ใกล้ความตายเข้ามาทุกทีแล้วเหมือนกัน” เฉียวเฟิงยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง : “ผมอยากพาเธอออกจากสถานที่วุ่นวายอย่างนี่ที่ และอยู่ห่างไกลจากหนานกงเฉิน”

“คุณจะพาเธอออกนอกประเทศเหรอคะ ?”

เฉียวเฟิงมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงของเธอแล้วถามกลับว่า : “หรือมันไม่ควรทำเหรอครับ ?”

“เอ่อ……” เลขาเหยียนฝืนยิ้มขึ้นมา : “ฉันไม่มีสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็นหรอกค่ะ ฉันแค่คิดว่า……คุณควรให้โอกาสคุณชายเฉินหน่อย บางทีครั้งนี้เขาอาจปกป้องคุณหนูไป๋ได้อย่างดีจริง ๆ นะคะ ?”

“ทุกคนต่างก็มีเพียงชีวิตเดียว หัวใจดวงเดียว ผมจะให้เธอลองดูได้เหรอ ?” อยู่ ๆ เฉียวเฟิงก็กล่าวขึ้นอย่างโกรธเคืองเล็กน้อย

เลขาเหยียนตกตะลึงกับสีหน้าที่ปนความโมโหของเขา จึงรีบกล่าวขึ้นทันควัน : “ขอโทษค่ะ ฉันก็แค่พูดเรื่อยเปื่อยเท่านั้น คุณชายเฉียวอย่าโกรธนะคะ”

เฉียวเฟิงพยายามสงบความเดือดดาลที่อยู่ในใจ ความจริงแล้วเขาไม่อยากโมโหใส่เลขาเหยียนเลย และไม่สมควรทำด้วย บันดาลโทสะของเขาต่างก็มาจากหนานกงเฉิน เขาควรไปเผชิญหน้ากับเขาโดยตรงถึงจะถูกต้อง ทว่า……เขาไม่มีความอดทนเช่นนั้น เขาทำได้เพียงปล่อยโทสะใส่ผู้หญิงที่ใสซื่อผู้หนึ่งเท่านั้น

“ขอโทษครับ……” เขาสูดหายใจเข้าเบา ๆ จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงบ : “คุณเหยียนครับ คนที่ควรพูดว่าขอโทษคือผมต่างหาก……”

“ไม่เป็นไรค่ะ” เลขาเหยียนยิ้มขึ้นมาด้วยความอึดอัดใจ : “อันที่จริงพวกเราต่างก็หวังว่าคนรอบกายจะมีชีวิตที่ดี ไม่มีเจตนาร้ายเลยใช่ไหมล่ะคะ”

ไม่ยอมรับไม่ได้ว่า เธอเคารพเฉียวเฟิงมากทีเดียว นอกจากหนานกงเฉินแล้วเฉียวเฟิงคือคนเดียวที่เป็นผู้ที่มีความรักอยากลึกซึ้งทั้งหวังดีกับคนรักเต็มที่เท่าที่เธอเคยเจอมา ครั้นน่าเสียดายที่ผู้ที่เขาตกหลุมรักคือผู้หญิงของหนานกงเฉิน ส่วนนี้น่าเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง

--

หลังจากที่ผ่านมาสองชั่วโมงแล้วนั้น ในที่สุดไป๋มู่ชิงผู้ที่ตกอยู่ในห้วงนิทราก็ตื่นขึ้นเนื่องจากความหิว เธอบิดขี้เกียจไปมา จากนั้นก็รู้สึกว่าร่างกายยืดได้ไม่เต็มที่

เธอลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ จากนั้นก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนที่นั่งภายในรถยนต์ เมื่อสูดหายใจเข้าก็มีกลิ่นของน้ำหอมอันคุ้นเคยตลบอบอวนอยู่ ซึ่งเป็นกลิ่นไม้ที่หนานกงเฉินเอาใส่ไว้ในรถมาตลอด เธอมองดูบนร่างกายของเธออีกครั้ง พบว่ามีเสื้อคลุมสูทของหนานกงเฉินคลุมร่างเธอเอาไว้อยู่

สติสัมปชัญญะค่อย ๆ ฟื้นกลับมายังหัวสมองทีละนิด เธอนึกขึ้นได้ว่าตนเองถูกหนานกงเฉินพามารถ จากนั้นก็ไม่รู้ว่านอนหลับไปได้อย่างไร

ถูกต้อง เธอนอนหลับอยู่บนรถของหนานกงเฉินเสียแล้ว

“ตื่นแล้วเหรอ ?” หนานกงเฉินเอามือมาอังบนหน้าผากของเธอ จากนั้นก็กดเบา ๆ

“ฉันนอนหลับไปยังไงเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงนั่งตัวตรงด้วยอาการงุนงง หนานกงเฉินจึงช่วยปรับที่นั่งให้เธอ

“ฉันว่าเธอน่าจะเหนื่อยเต็มทน”

“ฉันหลับไปนานแค่ไหน ?” ไป๋มู่ชิงใช้มือกดแก้มของตนเอง จากนั้นก็จัดระเบียบเสื้อผ้าของตนเองให้เรียบร้อย

หนานกงเฉินยกแขนขึ้นมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ : “ไม่นานหรอก แค่สองชั่วโมงเอง”

“แม่เจ้า ! ทำไมคุณไม่ปลุกฉันให้เร็วกว่านี้ ?” เธอนอนหลับอยู่บนเขาสองชั่วโมงงั้นหรือ ? เช่นนั้นเขาเล่า ? เธอหันหน้าไปมองหน้าเขา คงไม่ใช่ว่าอยู่เป็นเพื่อเธอในรถสองชั่วโมงหรอกใช่ไหม ?

“อยากกินอะไร ?”

“ฉันไม่หิว”

“เธอยังไม่กินข้าวเย็นเลยจะไม่หิวได้ยังไง ? ต่อให้เธอไม่หิวแต่ฉันหิว” หนานกงเฉินสตาร์ทรถยนต์ จากนั้นก็ขับมุ่งไปยังร้านกาแฟที่อยู่บริเวณนั้น ดึกขนาดนี้แล้ว ดูเหมือนว่าจะมีเพียงร้านกาแฟเท่านั้นที่เหมาะสมในการรับประทานอะไรเรียบง่ายอย่างเงียบสงบ

ไม่นานรถก็ขับมาจอดหน้าร้านกาแฟแห่งหนึ่ง หนานกงเฉินลงรถไปจากนั้นก็เดินอ้อมไปข้างเธอ หลังจากที่เปิดประตูรถเสร็จก็ยื่นมือไปให้เธอ

ไป๋มู่ชิงไม่ได้จับมือที่เขายื่นเข้ามาแต่อย่างใด ครั้นลงรถไปด้วยตนเอง

น่าจะสืบเนื่องจากนอนขดอยู่บนรถนานเกินไป เมื่อสองขาของเธอแตะพื้นก็เซเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดเขาทันที

“บอกเธอกี่ครั้งแล้ว ตอนที่อดทนไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน” หนานกงเฉินกล่าวตำหนิข้างใบหูของเธอ จากนั้นก็ใช้มือหนึ่งปิดประตูรถ อีกมือหนึ่งคล้องแขนเธอเดินเข้าไปยังประตูทางเข้าร้านกาแฟ

หนานกงเฉินบอกพนักงานจัดเตรียมห้องส่วนตัวให้ ทั้งยังสั่งอาหารให้ไป๋มู่ชิงและตนเองเรียบร้อย เมื่อพนักงานเดินออกไปแล้ว หนานกงเฉินจึงคว้าข้อมือของไป๋มู่ชิงเอาไว้แล้วดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอด จากนั้นก็ใช้มือกดแผ่นหลังของเธอ พร้อมพรมจูบเส้นผมของเธอ : “ตกใจแย่เลยใช่ไหม ? ฉันก็ตกใจเธอเหมือนกัน จนขาอ่อนหมดเลย……”

ไป๋มู่ชิงถูกเขาโอบเข้ามาในอ้อมกอดอย่างแน่น จนรู้สึกว่าหายใจลำบาก

เธอตกใจจริง ๆ โดยเฉพาะเมื่อมองเห็นจูจูจมอยู่บนกองเลือด ตกใจจนขยับตัวไม่ได้

เธอฝืนยิ้มขึ้นมา จากนั้นก็กอดเอวเขาไว้ : “บอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าฉันไม่มีทางเป็นอะไรหรอก คุณก็ไม่มีทางเป็นอะไรเหมือนกัน”

“มือเธอได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า ?” อยู่ ๆ หนานกงเฉินก็ปล่อยเธอออก จากนั้นก็จับสองมือเธอขึ้นมามองดูบริเวณข้อมือ โดยบริเวณนี้เป็นส่วนที่ถูกกุญแจมือคล้องไว้ ยังคงมีสีแดงปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน

หนานกงเฉินใช้นิ้วลูบรอยบริเวณนั้นไปมาด้วยความอ่อนโยน รู้สึกเจ็บหัวใจอย่างยิ่ง สิ่งที่เขารู้สึกเจ็บหัวใจนั้นไม่ใช่เพียงแค่รอยรัดบนข้อมือเธอเท่านั้น ที่เจ็บหัวใจมากกว่านี้คือท่าทางอันซมซานขณะที่เธอถูกคล้องกุญแจมือเอาไว้เพราะถูกคิดว่าเป็นคนร้ายฆาตกรในวันนี้ต่างหาก

“แค่เป็นรอยนิดเดียวไม่เจ็บเลยสักนิด คุณอย่าเป็นอย่างนี้เลย” ไป๋มู่ชิงกล่าวปลอบประโยน

“เธอบอกฉันมาว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไงกันแน่ ทำไมเธอถึงไปพักที่โรงแรมสับปะรังเคนั่นได้ ? แถมยังกลายเป็นผู้น่าสงสัยรายสำคัญที่ฆ่าจูจูอีกต่างหาก” น้ำเสียงของหนานกงเฉินมีความกังวลอยู่ไม่น้อย

ไป๋มู่ชิงเบือนหน้าเรียวเล็กหนีเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวอย่างลำบากใจ

ทว่าเรื่องราวเหล่านี้ไม่ควรปิดบังหนานกงเฉินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังด้วย เธอลังเลชั่วครู่จากนั้นก็กล่าวขึ้น : “ฉันรู้ว่าคุณปล่อยจูจูไป ฉันไม่สบายใจ ฉันเดาไว้แล้วว่าหลังจากที่เธอหลุดออกจากบ้านตระกูลหนานกงแล้วจะต้องวางแผนทำเรื่องชั่ว ๆ กับผู่เหลียนเหยาต่อไปเป็นแน่ เพราะงั้น……เพราะงั้นฉันเลยปิดบังทุกคนแล้วสะกดรอยตามเธอไปยังโรงแรมที่เธอเข้าพัก แถมยังใช้ชื่อปลอมในการลงทะเบียนเข้าพักห้องข้าง ๆ เธอด้วย”

“ตอนเช้าฉันได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวในห้องของเธอ แถมยังได้ยินเสียงของผู่เหลียนเหยาด้วย ผู่เหลียนเหยาวางแผนให้จูจูทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้ จูจูก็ตอบตกลง จากนั้นก็เขียนจดหมายลาตายที่แย่ ๆ เกี่ยวกับคุณตามคำแนะนำของผู่เหลียนเหยา ตอนนั้นฉันแอบอัดวิดีโอขณะที่พวกเขาวางแผนลับกันไว้เรียบร้อยแล้ว และคิดว่าหลังจากเสร็จเรื่องก็จะเปิดโปงพวกเขา แต่คิดไม่ถึงว่าผู่เหลียนเหยาจะฉวยโอกาสตอนที่จูจูไม่ทันระวังผลักเธอลงตึกไปตายคาที่” เมื่อพูดถึงสถานการณ์ตอนนั้น ไป๋มู่ชิงยังคงรู้สึกหวาดผวาอยู่จนถึงตอนนี้ เธอหวาดผวาจนร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย

หนานกงเฉินรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวของเธอ จึงยื่นมือไปโอบเธอเข้าสู่อ้อมแขน เพื่อเป็นการปลอบประโยนโดยไร้เสียง

ไป๋มู่ชิงพูดต่อไปว่า : “ตอนนั้นที่จูจูตกลงไปแล้ว ฉันร้องกรี๊ดขึ้นมาตามสันชาตญาณ ผู่เหลียนเหยาได้ยินเข้า เธอกลัวเรื่องราวจะล้มเหลวถูกเปิดโปง จึงส่งคนปลอมเป็นพนักงานโรงแรมแล้วแย่งโทรศัพท์ของฉันไป ต่อจากนั้นฉันก็ถูกตำรวจจับตัวไป พวกเขาพบว่าฉันใช้ชื่อปลอมในการเข้าพัก แถมยังอยู่ห้องข้าง ๆ จูจูอีกด้วย เพราะงั้นเลยถือว่าฉันเป็นผู้ต้องสงสัยรายสำคัญ”

น้ำเสียงของเธอเบาลง ภายในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเอือมละอา : “ต้องโทษฉันแท้ ๆ ที่ตอนนั้นรีบหนีจากโรงแรมเร็วเกินไป เลยทำให้ผู่เหลียนเหยามีโอกาสแย่งโทรศัพท์ของฉันไปได้”

หนานกงเฉินนิ่งเงียบ ผ่านมาสักพักจึงพูดขึ้นด้วยความรู้สึกหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา : “เรื่องอันตรายขนาดนี้ครั้งหน้าห้ามไปทำอีกแล้วนะ……”

ไป๋มู่ชิงไม่ได้กล่าวอันใด

“ดีไม่ดีถ้าคนของผู่เหลียนเหยาไม่ได้แค่แย่งโทรศัพท์จากเธอไป แต่แทงเธอล่ะจะทำยังไง ? เธอเคยคิดถึงผลที่จะตามมาไหม ?” เขากล่าวเสริมขึ้นอีกครั้ง

ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็พูดขึ้น โดยน้ำเสียงที่มีความน้อยเนื้อต่ำใจเล็กน้อย : “ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ใครใช้ให้คุณปล่อยตัวจูจูล่ะ ฉันทำได้แค่พึ่งตัวเองในการแก้แค้นให้ตัวเองแล้วละ”

“คนโง่ เขาหลอกฉัน แถมยังทำให้เธอสูญเสียคุณยายผู้ที่เธอเคารพรักมากที่สุดไปอีก ทั้งยังทำร้ายเธอจนเกือบเสียชีวิตไปด้วย เธอคิดว่าฉันจะปล่อยเขาไปง่าย ๆ ขนาดนั้นเลยเหรอ ? ที่ฉันปล่อยเขาไป ก็เพราะว่า……” หนานกงเฉินยิ้มขึ้นด้วยความข่มขื่นเล็กน้อย : “เพราะว่าวันนั้นเขาบังคับให้ฉันสาบานว่าจะปล่อยเขาไป ไม่อย่างนั้นก็จะไม่บอกเรื่องจริงเกี่ยวกับจูจูตัวจริง ถ้าฉันไม่ปล่อยเขาไปเธอก็คงไม่ตายดีแน่ แม้ฉันจะไม่เชื่อคำแช่งแต่เพราะเป็นเธอ ฉันเลยทำได้แค่เชื่อแถมยังปล่อยเขาไปตามคำพูดตัวเอง”

ไป๋มู่ชิงเงยใบหน้าเรียวเล็กของตนเองขึ้นมามองหน้าเขาด้วยความซาบซึ้งใจ เธอคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าเหตุผลที่เขาปล่อยจูจูไปนั้นจะเป็นเรื่องนี้ !

“ฉันรู้เหมือนกันว่าผู่เหลียนเหยาไม่มีทางปล่อยเขาไปหรอก เพราะว่าเขามีหลักฐานการกระทำผิดของผู่เหลียนเหยาอยู่”

“แล้วยังไงต่อ ? คุณเลยเล่นเกมตั๊กแตนจับจักจั่นนกขมิ้นอยู่ด้านหลังงั้นเหรอ ?”

หนานกงเฉินพยักหน้า จากนั้นก็ยื่นมือไปบีบปลายจมูกของเธอ : “หลักการสูงสุดของการเล่นเกมก็คือไม่เอาชีวิตตัวเองเข้าไปเล่นด้วย เพราะงั้นตอนที่ฉันเห็นเธอถูกคล้องกุญแจมือที่สถานีตำรวจ ตอนนั้นฉันตกใจแทบแย่ ฉันกลัวจริง ๆ ว่าเธอจะโง่ไปฆ่าจูจูตาย จากนั้นก็ถูกตัดสินประหารชีวิตเนื่องจากฆ่าคนตาย”

“ฉันไม่โง่ขนาดนั้นหรอก” ไป๋มู่ชิงพึมพำเสียงเบา

“ไม่เป็นอย่างนั้นก็ดีแล้ว” หนานกงเฉินโอบเธอจากนั้นก็เงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก : “เธอรู้ไหม ? ตอนที่ตำรวจเอาจดหมายลาตายนั่นส่งมาให้ฉัน แถมยังบอกอีกว่าเธอเป็นผู้ต้องสงสัยรายสำคัญ ตอนนั้นฉันคิดอย่างโง่เขลาว่าเธอใช้วิธียิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวในการฆ่าจูจูเพื่อปกป้องชีวิตของตนเอง”

“คุณคิดว่าฉันจะใส่ร้ายคุณเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวงั้นเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงหัวเราะเยาะตนเองขึ้น

“ขอโทษด้วยนะ ตอนนั้นฉันใจร้อนเกินไปหน่อย ใจร้อนจนขึ้นสมอง” หนานกงเฉินกล่าวด้วยความรู้สึกผิดและตำหนิตนเอง : “ความจริงถ้ามาคิด ๆ ดูตอนนี้ เธอเป็นคนดีขนาดนี้จะไปฆ่าจูจูได้ยังไง ? จะไปทำร้ายผู้ชายที่ตนเองรักได้ยังไง ? ฉันมันประสาทจริง ๆ ที่ไปสงสัยเธอ”

ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งรู้สึกผิด จนแทบอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขใหม่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด