รออยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยความกระวนกระวายกว่าสี่สิบนาที ในที่สุดคุณหมอจางก็ออกมาด้วยสีหน้าที่ยังคงเคร่งเครียด
"เฉินเป็นยังไงบ้าง?" คุณผู้หญิงถามขึ้นด้วยความร้อนใจ
"พ้นขีดอันตารายแล้วครับ" หมอจางถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ: "อันตารายจริงๆ"
"ฉันผิดเอง" ไป๋มู่ชิงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดในใจ: "ฉันบอกเขาเรื่องที่ไม่ควรบอก........เขาเลยกลายเป็นแบบนี้ใช่มั้ยคะ?"
"เธอบอกอะไรเขา?" คุณผู้หญิงถาม
"ฉัน......" ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะพูดอะไร ตอนนี้เธอยังไม่มีกะจิตกะใจจะบอกเรื่องหว่านชิงกับคุณผู้หญิง ซึ่งเธอเองก็ยังไม่เคยบอกท่าน
คุณหมอจางพูดปลอบใจเธอ: "นายหหญิงน้อยอย่าโทษตัวเองเลยครับ ถ้ากระตุ้นเขาแบบนี้แล้วทำให้เขามีโอกาสรู้สึกตัวขึ้นมาได้ก็ดีเหมือนกัน ถึงแม้จะอันตารายไปบ้างก็ตาม แต่อาจจะเป็นวิธีที่ช่วยให้เขารู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาก็ได้"
"แล้วตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้างแล้วคะ? รู้สึกตัวขึ้นมาบ้างมั้ยคะ? ไป๋มู่ชิงถามต่อ
"ตอนนี้ยังครับ" คุณหมอจางตอบอย่างเห็นใจ
--
ไป๋มู่ชิงนอนอยู่ในโรงพยาบาลหนึ่งคืน วันถัดมาเธอได้โทรฯหาเฉียวเฟิง
เฉียวเฟิงรู้ว่าเธอโทรฯหาเขาทำไม ยังไม่ทันที่เธอจะถามเขาก็พูดขึ้นก่อน: "มู่ชิง ฉันโทรฯหาฝั่งโน้นแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวอะไรของหว่านชิง"
ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่ไป๋มู่ชิงก็ยังรู้สึกผิดหวังทุกครั้ง
เธอพยักหน้ารับเงียบๆ และไม่ได้สนใจว่าคนที่อยู่ปลายสายจะเห็นหรือไม่
หลังจากนิ่งไปชั่วครู่ เฉียวเฟิงก็ถามขึ้น: "หนานกงเฉินรู้สึกตัวหรือยัง?"
"ยังเลย"
เฉียวเฟิงไม่รู้จะปลอบเธอยังไง จึงนิ่งเงียบไปก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง: "รออีกนิดเดี๋ยวก็่คงรู้สึกตัวตื่นฟื้นขึ้นมาแน่นอน"
" อืม" ไป๋มู่ชิงเช็คน้ำตาตัวเองเงียบๆ ก่อนจะปรับอารมณ์ตัวเองให้คงที่แล้วถามขึ้น: "คุณล่ะ? เป็นยังไงบ้าง?"
"เวลาแบบนี้เธอยังจะมาเป็นห่วงฉันอีกเหรอ?" เฉียวเฟิงยิ้มขื่น เขานึกว่าตอนนี้ในใจเธอคงมีแต่เรื่องอาการป่วยของหนานกงเฉินและการหายตัวไปของหว่านชิงซะอีก ไม่คิดว่าเธอจะยังเป็นห่วงเขาด้วย: "วางใจเถอะ ฉันสบายดี"
"งั้นก็ดีแล้ว ฉันขอวางสายก่อนนะ" หลังไป๋มู่ชิงวางสายก็หันไปมองดูนาฬิกา ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะเปลี่ยนเวร เธอก็ยังไปเยี่ยมหนานกงเฉินไม่ได้
เธออยู่ในห้องพักที่ทางโรงพยาบาลจัดให้อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินไปหาคุณหมอจางที่ห้องทำงาน
เธอมองเห็นคุณผู้หญิงที่มาพร้อมกับพี่เหอเดินมาแต่ไกล พวกท่านกำลังเดินไปทางห้องทำงานของคุณหมอจาง เธอจึงรีบเดินเข้าไปหาและพูดกับคุณผู้หญิง: "คุณย่า ทำไมไม่พักผ่อนอยู่ที่บ้านคะ?"
"ฉันอยากมาดูเฉินหน่อย" คุณผู้หญิงพูดอย่างเศร้าใจ
ไป๋มู่ชิงไม่ได้พูดอะไร เธอประคองท่านเดินเข้าไปในห้องทำงานของคุณหมอจางด้วยกัน คุณหมอจางที่กำลังดูรายงานผลตรวจอยู่เห็นพวกเธอเดินเข้ามาก็รีบเชิญทุก่คนไปนั่งที่โซฟา
เธอมารอบนี้ก็เพราะอยากมาฟังข่าวดีจากปากคุณหมอจาง แต่ดูจากสีหน้าของคุณหมอจางแล้วค่อนข้างชัดเจนว่าไม่มีทางมีข่าวดีเป็นแน่!
"สีหน้าคุณชายใหญ่ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาเลยครับ" คุณหมอจางวางผลตรวจในมือลง ก่อนจะจ้องมองทั้งสองท่าน: "คือ ผลตรวจเลือดของคุณชายใหญ่ออกมาแล้วครับ พบว่าเลือดของคุณชายใหญ่ผิดปกติอย่างชัดเจน และเป็นไปได้ว่าจะถูกผู่เหลียนเหยาวางยาจริง......แต่ยังวิเคราะห์หาวิธีแก้ไขไม่ได้ เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยเจอโรคแบบนี้ ซึ่ง........"
"ยังไงต่อคะ" ไป๋มู่ชิงรีบถาม
"ซึ่งกลัวว่าจะแก้ไขได้ยากซะหน่อย" คุณหมอจางพูดอย่างกังวล: "ผมกลัวว่ากว่าจะวิเคราะห์หาวิธีแก้ไขได้ คุณชายใหญ่จะไม่ไหวซะก่อน......"
"งั้นก็รีบๆหน่อยสิ" คุณผู้หญิงรีบพูดขึ้น
"คุณผู้หญิงพวกเราก็เร่งที่สุดแล้วครับ"
"เป็นไปได้มั้ยว่าจะแก้ไขปัญหาโดยวิธีแบบนี้?" ไป๋มู่ชิงลังเลเล็กน้อย: "........เปลี่ยนถ่ายเลือด"
"นายหญิงน้อย อันที่จริงวิธีนี้ผมก็เคยคิด"
"คุณหมอจางรีบลองดูเถอะ กรุ๊ปเลือดของฉันกับคุณชายใหญ่เหมือนกัน ช่วยถ่ายเลือดของฉันให้เขาเถอะ" ไป๋มู่ชิงอยากให้หนานกงเฉินดีขึ้น เธอไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นตายร้ายดียังไง
คุณหมอจางส่ายหน้า: "นายหญิงน้อย ถึงแม้ว่ากรุ๊ปเลือดของคุณชายใหญ่จะเป็นกรุ๊ปบีทั่วไป แต่ก็ค่อนข้างเข้าไม่ได้กับเลือดของผู้อื่นที่เป็นกรุ๊ปเดียวกันหรือแม้แต่กรุ๊ปโอก็ตาม ดังนั้น.....วิธีเปลี่ยนถ่ายเลือดจึงใช้ไม่ได้กับคุณชายใหญ่ครับ"
"ทำไมถึงเป็นแบบนี้?" คุณผู้หญิงพูดอย่างไม่สบายใจ: "ทำยังไงดี? ทำได้แค่รออย่างเดียวเหรอ?"
"ครับตอนนี้ทำได้แค่รอ" คุณหมอจางตอบ
"ต้องวิเคราะห์อีกนานแค่ไหนกัน?"
"คุณผู้หญิงอันนี้ก็พูดยากครับ เพราะต้องทำการเพาะเชื้อแบคทีเรียในเลือด และทำการทดลองต่างๆอีกมากมายหลายขั้นตอน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาประมาณสองถึงสามเดือนขึ้นไปครับ"
อย่างน้อยสองสามเดือน?
พอได้ฟังคุณหมอจางพูดแบบนั้น คุณผู้หญิงมีอาการเซเล็กน้อย ไป๋มู่ชิงรีบเข้าไปประคองและถามอย่างห่วงใย: "คุณย่าคะ เป็นอะไรมั้ย?"
คุณผู้หญิงเงยหน้ามองเธอด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา: "มู่ชิง เธอได้ยินมั้ย? เฉินแย่แล้ว........"
"ไม่หรอกค่ะ คุณย่าคะคุณหมอจางบอกแค่ว่าต้องรอการวิเคราะห์หาวิธีแก้ไข ไม่ได้บอกว่าคุณชายใหญ่จะอยู่ไม่ถึงวันนั้นนะคะ" ไป๋มู่ชิงพูดปลอบท่านอย่างอ่อนแรง
ที่จริงแล้วในใจเธอก็ทรมานและกลัวมากเหมือกัน!
อาการของหนานกงเฉินตอนนี้รอแค่ครึ่งเดือนยังยากเลย อย่าว่าแต่สองถึงสามเดือนเลย!
ในขณะที่ทั้งสองเสียใจจนต้องปลอบใจกันเอง ก็มีพยาบาลเดินเข้ามาด้วยความดีใจ: "คุณผู้หญิง นายหญิงน้อยและคุณหมอจาง.......คุณชายเฉินฟื้นแล้วค่ะ"
"จริงเหรอ?" ไป๋มู่ชิงอึ้งไป
พอพยาบาลพยักหน้า สีหน้าเธอก็ดีใจขึ้นมาทันที แต่ลึกๆก็ยังรู้สึกทุกข์ใจ เพราะการที่หนานกงเฉินรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาไม่ได้แปลว่าเขาจะดีขึ้นมาด้วย สิ่งที่คุณหมอจางพูดเมื่อครู่กระทบต่อจิตใจเธอมากเหลือเกิน
พี่เหอก็ยิ้มด้วยความดีใจ: "คุณผู้หญิง ได้ยินมั้ยคะ? คุณชายใหญ่รู้สึกตัวแล้ว"
"ฉันได้ยินแล้ว......." เห็นได้ชัดว่าคุณผู้หญิงเองก็คิดเหมือนไป๋มู่ชิง ในขณะที่ยิ้มทั้งน้ำตา
คุณหมอจางรีบเดินไปที่ห้องฉุกเฉินแล้ว ไป๋มู่ชิงก็ประคองคุณผู้หญิงเดินตามไปด้วย ก่อนจะมายืนรอคุณหมอจางอยู่หน้าห้อง
ไม่นานคุณหมอจางก็เดินออกมา สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความโล่งใจ ก่อนจะมองคุณผู้หญิงและไป๋มู่ชิงพร้อมพูดขึ้น: "คุณชายใหญ่รู้สึกตัวแล้วจริงๆครับ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี หวังว่าเขาจะดีขึ้นเรื่อยๆ"
"ฉันเข้าไปดูเขาได้หรือยังคะ?" ไป๋มู่ชิงถาม
คุณหมอจางพยักหน้า: "คุณชายเฉินบอกว่าอยากเจอคุณ"
"จริงเหรอคะ?"
"ครับ นายหญิงน้อยตามผมมาเถอะ" คุณหมอจางพูดเสร็จก็เดินเข้าห้องไป
ไป๋มู่ชิงใส่ชุดป้องกันเชื้อโรคเสร็จก็เดินตามเข้าไป หนานกงเฉินรู้สึกตัวแล้ว แต่สีหน้ายังขาวซีด ดูไม่มีแรง
"เฉิน คุณรู้สึกตัวแล้วจริงๆ" ไป๋มู่ชิงกระพริบตาพยายามควบคุมอารมณ์ความรู้สึกไม่ให้ส่งผลต่อหนานกงเฉิน
เธอเดินไปจับมือเขาไว้ หนานกงเฉินกลับแกะมือเธอออก
ไป๋มู่ชิงอึ้งไป ก่อนจะสังเกตเห็นว่าสีหน้าที่ซีดเซียวของเขาแฝงไปด้วยความเย็นชา สายตาที่จ้องมองเธอก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ริมฝีปากที่แห้งผากดูเหมือนต้องการพูดอะไรแต่กลับพูดไม่ออก
หัวใจเธอรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา ที่หนานกงเฉินมีอาการแบบนี้กับเธออาจเป็นเพราะว่าเธอไม่ได้กลับมาตามนัดเหรอ? เพราะเธอโกหกเขาว่าเธอไปเมืองเยี่ยนเหรอ? เขายังโกรธเธออยู่เหรอ?
"เฉิน......." เธอเรียกเบาๆ แล้วยื่นมือไปจับมือเขาอีกครั้งก่อนจะพูดอย่างรู้สึกผิด: "ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะโกหกคุณ คุณอย่าโกรธฉันเลยนะคะ อย่าโกรธจนทำให้สุขภาพแย่ลงอีกได้มั้ยคะ?"
หนานกงเฉินขยับปากพูดได้สองพยางค์: "หว่านชิง......"
หัวใจของไป๋มู่ชิงบีบรัดขึ้นมาทันที เธอจ้องมองเขาด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะพูดถึงหว่านชิงในเวลานี้ ที่แท้สิ่งที่เธอพูดกับเขาเมื่อวานเขาได้ยินหมดทุกคำ ถึงได้มีอาการตอบสนองขนาดนั้น
"เฉิน คุณฟังฉันก่อนนะ" ไป๋มู่ชิงไม่อยากให้เขาพูดเยอะกลัวมีผลกระทบต่ออาการของเขา เธอจึงรีบพูดขึ้น: "เรื่องของหว่านชิงมันค่อนข้างยาว รอให้คุณหายป่วยก่อนค่อยคุยเรื่องนี้กันนะคะ......."
"ฉันต้องการคุยตอนนี้" หนานกงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นกว่าเดิม
ไป๋มู่ชิงเห็นว่าเขากำลังจะโมโหอีกแล้วจึงรีบพูดขึ้น: "ได้ๆ คุยตอนนี้ก็ได้ แต่คุณต้องรับปากฉันก่อนว่าห้ามโมโห ไม่งั้นถ้าโมโหจนอาการกำเริบอีก คุณจะไม่มีโอกาสได้เจอหว่านชิงอีกนะคะ"
"พูดมา........!" เธอช่างโง่จริง หนานกงเฉินจะระเบิดอยู่แล้ว ยังจะบอกไม่ให้โมโหได้ยังไง?
เธอนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะรีบเรียบเรียงสิ่งที่จะพูด: "งั้นฉันจะเริ่มพูดจากตอนที่หว่านชิงเกิดเลยนะคะ ตอนนั้นเพราะต้องเปลี่ยนตัวกับไป๋ยิ่งอัน เราจึงตกลงกันว่ารอให้ลูกคลอดแล้วให้เธอพากลับไปบ้านตระกูลหนานกง พอถึงกำหนดวันคลอดฉันก็บังเอิญได้ยินไป๋ยิ่งอันพูดกับเพื่อนสนิทว่าเธอไม่มีวันช่วยฉันเลี้ยงลูก ยิ่งไม่มีทางยอมให้ลูกเติบโตในบ้านตระกูลหนานกง รอให้ตำแหน่งในบ้านตระกูลหนานกงของเธอมั่นคงเมื่อไหร่ เธอก็จะกำจัดลูกให้พ้นทาง ตอนที่ได้ยินเธอพูดเช่นนั้นฉันตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เวลานั้นฉันกำลังปวดท้องคลอดพยายามหาทางหนีก็หนีไม่พ้น จึงได้ขอความช่วยเหลือไปที่ซูซี ซึ่งซูซี่เองก็ได้ไปขอความช่วยเหลือจากเฉียวซือเหิง แต่โดนเขาปฏิเสธ ต่อมาฉันเจ็บท้องมากจนเป็นลมไปในห้องน้ำ ตื่นมาอีกทีคุณหมอก็บอกว่าฉันได้ลูกชาย และแจ้งว่าลูกมีโรคหัวใจร้ายแรงแต่กำเนิด ตอนนั้นฉันยังไม่ทันได้ดูหน้าลูกด้วยซ้ำ ลูกก็ถูกไป๋ยิ่งอันอุ้มไปแล้ว ไม่นานฉันถูกไป๋ยิ่งอันและแม่พาไปขังไว้ที่ห้องใต้หลังคาในบ้านหลังหนึ่ง จนกระทั้งหลินอันหนานมาช่วยฉันไว้ พอได้เจอซูซี่อีกครั้งเธอได้บอกฉันว่าผลตรวจครรภ์ของฉันที่เธอเคยเห็นระบุว่าเด็กในครรภ์เป็นเด็กผู้หญิง ทำให้ฉันคิดว่าเด็กที่ไป๋ยิ่งอันอุ้มไปอาจจะไม่ใช่ลูกเรา แต่เพราะกลัวผลตรวจอาจจะผิดพลาดได้และซูซี่เองก็ไม่แน่ใจว่าผลตรวจจะมีการสลับกันหรือไม่ ฉันจึงได้แต่เก็บความหวังอันน้อยนิดนี้ไว้และเริ่มตามหาลูกสาวไปทั่ว
ไป๋มู่ชิงกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย: "อันที่จริงครั้งนั้นที่เราเจอเฉียวซือเหิงกับฟางมี่ เด็กทารถน้อยในอ้อมกอดเธอก็คือหว่านชิงลูกสาวเรา แต่เรากลับไม่รู้ว่าเป็นลูกสาวของเรา คุณกับฉันต่างก็ไม่รู้ !"
" ได้เจอหว่านชิงอีกครั้งก็ตอนที่ฉันรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาหลังจากเกิดอุบัติเหตุ เฉียวเฟิงบอกฉันว่าเด็กน้อยชื่อหว่านชิง เป็นลูกสาวของฉันและเขา ในตอนนั้นฉันจำอะไรไม่ได้เลย จนฉันเข้าใจว่าตัวเองเป็นแม่หว่านชิงและเป็นภรรยาเฉียวเฟิง ฉันมารู้เรื่องของหว่านชิงจริงๆก็ตอนที่ความจำฉันเริ่มกลับมาอีกครั้ง ถึงฉันจะตกใจกับความจริงที่รู้แค่ไหน ก็ไม่กล้าที่จะบอกคุณเรื่องหว่านชิง เพราะฉันกลัวว่าคุณจะแย่งหว่านชิงไปจากฉัน จนกระทั่งวันที่ฉันตัดสินใจจะกลับมาอยู่เคียงข้างคุณ เลยตัดสินใจว่าคงถึงเวลาแล้วที่ต้องบอกเรื่องนี้กับคุณ ฉันยังกังวลว่าถ้าคุณรู้ความจริงแล้ว จะใจร้อนจนบินไปหาหว่านชิงที่อังกฤษ จึงตัดสินใจว่ารอให้ฉันพาหว่านชิงกลับมาก่อนค่อยบอกคุณ อันที่จริงวันนั้นฉันจะบินไปอังกฤษคนเดียว แต่มาพบเฉียวเฟิงที่สนามบินเข้า เขาบอกว่าจะไปทำธุระที่อังกฤษ เราเลยบินไปพร้อมกัน ฉันบอกว่ามีของฝากจะให้คุณ ความจริงก็คือฉันจะพาหว่านชิงมาเจอคุณ แต่หลังจากนั้น......."
ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นเช็คน้ำตา หลังจาก......หลังจากนั้นหว่านชิงก็หายตัวไป ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงเลย
แต่คำพูดพวกนี้จะให้เธอพูดออกไปได้ยังไงกัน ถ้าเธอพูดออกไปหนานกงเฉินฟังแล้วต้องร้อนใจจนอยู่โรงพยาบาลต่อไม่ไหวแน่
"หลังจากนั้นยังไงต่อ? หว่านชิงล่ะ......?" หนานกงเฉินถามขึ้นขณะที่พยายามระงับความโกรธไว้
เพื่อเขาแล้วเธอจำเป็นต้องทำตามคำแนะนำของเฉียวเฟิง: "หลังจากนั้น.....ประจวบเหมาะกับหว่านชิงต้องเข้าแข่งรายการแข่งขันทางปัญญาเลยต้องเก็บตัวอบรมเป็นเวลาหนึ่งเดือน ฉันคิดว่ารอให้ลูกแข่งขันเสร็จค่อยพาลูกกลับแต่........."เธอก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด ปล่อยให้น้ำตาไหลริน: "ขอโทษค่ะ ฉันอยากจะรีบกลับมาดูอาการคุณเลยไม่ได้รอพาลูกกลับมาด้วย...."
เธอเอามือปิดปากร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หน้าเขา
หนานกงเฉินจ้องมองเธอชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้น: "เธอใจร้ายมาก........"
เธอพยักหน้าก่อนพูด: "ฉันรู้ ฉันรู้ว่าฉันใจร้ายกับคุณมาก ขอโทษค่ะ.....คุณให้อภัยฉันนะ....."
"ถ้าไม่ใช่ว่าฉันใกล้ตายแล้ว.......ชาตินี้เธอก็คงไม่คิดจะบอกฉันใช่มั้ย?" หนานกงเฉินถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ไป๋มู่ชิงรีบจับมือเขาไว้ก่อนส่ายหัวไปมา น้ำตาไหลอาบแก้ม: "ไม่ คุณต้องไม่ตาย เฉินคุณต้องไม่ตาย....."
"ออกไปให้พ้น!" หนานกงเฉินสะบัดมือเธอออก
"เฉิน........" ไป๋มู่ชิงรนลานไปหมด: "คุณอย่าทำแบบนี้ ฉันรู้ว่าฉันเห็นแก่ตัวมาก และรู้ว่าฉันทำผิดต่อคุณ ฉันขอร้องให้โอกาสฉันอีกครั้งได้มั้ย? ฉันรับรองว่าต่อไปฉันจะไม่หลอกลวงอะไรคุณอีกแล้ว....."
"ไม่ต้อง!" หนานกงเฉินพูด: "เธอกลับไปหาเฉียวเฟิงเถอะ ไม่ต้องมาทำเป็นสงสารเห็นใจฉัน"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...