หว่านชิงค่อยๆฟื้นตัวอย่างช้าๆ คุณผู้หญิงก็ค่อยๆฟื้นตัวเช่นกัน มีแค่หนานกงเฉินที่ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นเลย
ทั้งๆที่สีหน้าของเขาเห็นได้ว่าดีขึ้นแล้วแท้ๆ แต่ทำไมเขายังไม่ฟื้นก็ไม่รู้ ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะเริ่มกังวลขึ้นมา
ถือโอกาสตอนที่เฉียวซือเหิงตรวจห้อง เธอเลยถามคำถามที่กังวลอยู่ในใจ แต่เฉียวซือเหิงกลับตอบอย่างเย็นชา:“คุณจะรีบอะไร อย่างน้อยหลังหนึ่งเดือนโน่นหนานกงเฉินถึงจะฟื้น”
“หลังหนึ่งเดือน? นานขนาดนั้นเลย?” ไป๋มู่ชิงพูดออกมาอย่างตกใจ
เฉียวซือเหิงพยักหน้า:“นี่อย่างน้อยแล้วนะ”
“คุณแน่ใจไหมว่าเฉินจะฟื้นขึ้นมา?”
“ผมแน่ใจ” เฉียวซือเฟิงหมุนร่างกลับมา จ้องมาที่เธอ:“แน่นอนว่า สรุปแล้วเขาจะฟื้นหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนหรือสามเดือนหรือว่าจะหลังจากผ่านไปหนึ่งปีนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ”
“หมายความว่ายังไง?”
“ทำไมต้องแกล้งโง่?”
ไป๋มู่ชิงเงียบลงสักพัก แล้วพยักหน้า:“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว รอร่างกายเฉินคงที่กว่านี้แล้วฉันจะ......” ประโยคหลังเธอไม่ได้พูดออกมา เพราะเธอไม่รู้ว่าหนานกงเฉินจะได้ยินหรือไม่ว่าเธอพูดอะไร
อาการป่วยของหนานกงเฉินครั้งนี้หนักหนาสาหัส คงจะไม่ได้ยินว่าเธอพูดอะไรหรอกนะ? เธอคิด
มือถือของไป๋มู่ชิงดังขึ้น หลังจากที่เธอหยิบมือถือขึ้นมาดูแล้วก็กดรับ เสียงปลายสายโทรศัพท์เหมือนลองหยั่งเชิงถาม:“มู่ชิง?”
“ฉันเองค่ะ คุณคือ......?” ร่างของไป๋มู่ชิงนั่งตรงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว:“ซูซี่?”
ได้ยิน‘ซูซี่’สองคำนี้ เฉียวซือเหิงเงยหน้าขึ้นมาตามสัญชาตญาณ มองไปที่เธอ
หลังจากที่ซูซี่นิ่งอึ้งไปสักพัก จู่ๆก็มีเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ:“พระเจ้า!เป็นเธอจริงๆเหรอมู่ชิง เธออย่ามาอำฉัน ฉันขี้กลัว!”
ไป๋มู่ชิงหัวเราะ:“เธออย่าพึ่งกลัว ฉันเป็นคนไม่ใช่ผี”
“เรื่องจริงหรือล้อเล่น? เฉียวเฟิงหมอนั่นไม่ได้หลอกฉัน? เธอยังไม่ตาย? ครั้งที่แล้วอีหลินที่ฉันเจอก็คือเธอ? ไป๋มู่ชิง?” ซูซี่ถามเธอชุดใหญ่ราวกับระเบิดลง
ที่แท้เธอก็ฟังเฉียวเฟิงพูดมานี่เอง ไป๋มู่ชิงยังคงอมยิ้ม:“ที่เฉียวเฟิงพูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมด”
“รวมถึงเรื่องของหว่านชิงก็เป็นเรื่องจริง?”
“ใช่ เรื่องจริง”
“พระเจ้า ฉันตกใจจะตายแล้วเนี่ย เธอนี่มันนักต้มตุ๋น!ร้ายมาก!บ้าไปแล้ว......!”
“เสี่ยวซี่......” ไป๋มู่ชิงรับรู้ได้ถึงสายตาที่คมกริบของเฉียวซือเหิง ก็เลยเปลี่ยนคำพูด:“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
“ฉันพึ่งกลับประเทศมาวันนี้ ร้านอาหารลวี่หยวนอยู่ทางผ่านพอดีก็เลยเข้าไปทานข้าว แล้วก็ได้ยินข่าวน่าตกใจนี้เข้า” ซูซี่พูด
แท้จริงแล้วเธอเจอกับเฉียวเฟิง ก็เลยพลั้งปากถามเขาไปว่าอีหลินกับเสียวหว่านชิงล่ะอยู่ที่ไหน กลับไม่คิดว่าจะได้ยินข่าวน่าตกใจนี้จากปากของเฉียวเฟิงเขา เธอไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองจริงๆ
จู่ๆเฉียวซือเหิงก็ทนไม่ไหววางมือลงแล้วยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ในมือของไป๋มู่ชิง พูดกับซูซี่ทางโทรศัพท์ว่า:“คุณผู้หญิงเฉียว คุณยังรู้จักกลับมาอีกเหรอ?”
“นายเป็นใครอะ? ทำไมอยู่กับมู่ชิง?” ซูซี่ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันแน่
เฉียวซือเหิงกลับโมโห กัดฟันแล้วพูดออกไป:“นี่คุณฟังไม่ออกจริงๆเหรอว่าผมเป็นใคร?”
“อ๋อ คุณชายเฉียวนี่เอง ไม่ได้เจอกันนานนะ” ซูซี่แกล้งทำว่านึกออกขึ้นมา
“ใช่ ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ” เฉียวซือเหิงยิ้มอย่างโหดเหี้ยม ไม่รอให้เขาเอ่ยปากพูด ซูซี่ก็พูดต่อ:“แต่วันนี้ฉันยังไม่อยากเจอคุณ วันหน้าแล้วกัน”
พูดจบเธอก็วางสายโทรศัพท์
พอได้ยินเสียงตู๊ดๆจากโทรศัพท์ จู่ๆเฉียวซือเหิงก็โมโหขึ้นมา ก็เลยจำใจคืนโทรศัพท์กลับไปให้ในมือของไป๋มู่ชิง
ไป๋มู่ชิงกำโทรศัพท์ไว้ มองเขาที่สีหน้าไม่ค่อยดีแล้วถาม:“ผ่านไปหลายปีแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับซูซี่ไม่ดีขึ้นเลยเหรอ?”
เฉียวซือเหิงมองเธอ ยิ้มอย่างเฉยชา:“จู่ๆผมก็รู้สึกเสียใจขึ้นมานิดหน่อยที่ช่วยชีวิตหนานกงเฉินไว้”
“อะไรนะ?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกสงสัยในคำพูดของเขาที่ตอบไม่ตรงคำถาม
“ไม่มีอะไร ผมไปก่อนนะ” เฉียวซือเหิงกวาดสายตามองหนานกงเฉินที่กำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ แล้วหมุนร่างเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป เขารีบเดินนิดหน่อย ไป๋มู่ชิงอยากจะถามเขาต่อก็ไม่ทันได้ถาม
--
ถึงแม้ว่าซูซี่จะพูดว่าไม่อยากเจอเฉียวซือเหิง แต่ไม่นานเฉียวซือเหิงก็เดินทางมาถึงที่ร้านอาหารลวี่หยวน กั้นเธอไว้ในห้องอาหาร
ตอนที่เขามาถึง ซูซี่ยังคงคิดถึงเรื่องที่ไป๋มู่ชิงฟื้นคืนชีพกลับมาอยู่ เวลานี้กำลังเดินไปเดินมาอยู่ที่ด้านหน้าของหน้าต่างยาวจรดพื้น
คงเพราะเรื่องเมื่อสักครู่น่าตกใจเกินไป การปรากฏตัวของเฉียวซือเหิงไม่ได้ทำให้เธอตกใจเลยแม้แต่น้อย
“คุณมาได้ยังไง?” เธอหยุดเดิน ปรับอารมณ์ตัวเอง จ้องไปที่เขาแล้วถาม
“มาหาภรรยาผมที่ไม่ได้เจอหลายเดือน” เฉียวซือเหิงเดินไปหาเธอ ฝ่ามือกุมแก้มเธอเอาไว้ แล้วก้มหน้าไปจูบที่ริมฝีปากอมชมพูของเธอ:“คิดถึงผมไหม?”
“คุณอยากฟังความจริงหรือเปล่า?” ซูซี่ยื่นมือเล็กๆมาจัดเสื้อเชิ้ตเขาที่อยู่ตรงหน้าเธอ แล้วยิ้มหวาน:“ฉันเกือบลืมไปแล้วว่าคุณเป็นสามีของฉัน”
งานแต่งของเธอกับเขา สำหรับเธอก็แค่งานที่จัดแสดงขึ้นมา ไม่มีความหมายอื่นใด เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ผู้ชายน่าเกลียดคนนี้เหนื่อยล้าจากการมั่วสุมกับผู้หญิงข้างนอก มักอดไม่ได้ที่จะลวนลามเธอ ทำให้เธอหมดคำพูด
“งั้นเหรอ? งั้นผมต้องรีบทำให้คุณจำผมได้แล้วล่ะ” เฉียวซือเหิงพูดแล้วจูบเธอที่ริมฝีปากอีกครั้ง จูบอย่างลึกซึ้งโดยไม่เกรงใจเลยสักนิด
ซูซี่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ยังบริสุทธิ์ และไม่ใช่ผู้หญิงที่เล่นตัวอะไรทำนองนั้น อีกทั้งเธอกับเฉียวซือเหิงใช่ว่าจะไม่เคยถูกเนื้อต้องตัวหรือจูบกันมาก่อน
ขณะที่เฉียวซือเหิงจูบเข้าไปในปากเธออย่างตรงๆนั้น เธอไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่ดิ้นปฏิเสธอย่างกับเล่นตัว แต่เธอกลับถอยหลังไปหนึ่งก้าว:“เดี๋ยวก่อน”
เธอใช้แขนเช็ดริมฝีปากของตัวเอง แล้วสังเกตเขา:“วันนี้คุณจูบผู้หญิงคนอื่นมาหรือเปล่า? แปรงฟันแล้วหรือยัง?”
“คุณไวต่อความรู้สึกอยู่แล้วนี่ ชิมดูไม่รู้เหรอ?” เฉียวซือเหิงดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด ยิ้มชั่วร้าย:“กลิ่นยาฆ่าเชื้อ ได้กลิ่นหรือเปล่า?”
“พึ่งมาจากโรงพยาบาล?”
“ถูกต้อง”
“หนานกงเฉินเขาเป็นยังไงบ้าง?”
สีหน้าของเฉียวซือเหิงอึมครึมลง ก้มหน้าลงมองที่เธอแล้วกัดฟัน:“คุณแน่ใจว่าจะถามถึงเขาก่อนที่จะถามถึงผม?”
“ฉันจะถามถึงคุณทำไม?” ซูซี่กวาดสายตามองเขา:“ฉันดูแล้วคุณไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ยังคงกะล่อนเหมือนเดิม เห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้”
“คุณควรถามผมว่าช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง มีความสุขดีไหม ได้ไปหาผู้หญิงนอกบ้านบ้างหรือเปล่า หรือว่าได้......”
“ฉันเห็นคุณมีความสุขดี ชีวิตรักก็น่าจะเข้ากันได้ดี พอเข้ากันได้ดีก็มีความสุขเป็นธรรมดา ไม่จำเป็นต้องถามหรอก” ซูซี่หยิบกระเป๋าจากบนโซฟามาถือ:“ที่รัก ฉันมีธุระด่วน ไม่อยู่เล่นกับคุณแล้วนะ”
เธอใช้มืออีกข้างตบไปที่หน้าอกของเขา:“ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะหนี ครั้งนี้ฉันว่าจะอยู่สักอาทิตย์หนึ่งค่อยไป”
เฉียวซือเหิงขมาดคิ้ว:“คุณจะไปไหน? เยี่ยมหนานกงเฉิน?”
ซูซี่ไม่ได้สนใจเขา ผลักประตูแล้วออกจากห้องอาหารไป เหลือไว้แค่เขาคนเดียวที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ที่นั่น
--
ซูซี่มาที่โรงพยาบาลจริงๆ แต่เธอไม่ได้ตรงไปเยี่ยมหนานกงเฉิน เธอไปหาไป๋มู่ชิง
หลังจากที่เห็นไป๋มู่ชิง เธอก็สังเกตเขาตลอด บนใบหน้าทั้งงุนงงทั้งดีใจ ถึงขนาดยื่นมือไปบีบใบหน้ารูปไข่ของไป๋มู่ชิง:“เธอคือมู่ชิงจริงๆเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงลูบใบหน้าเล็กๆที่ถูกเธอบีบจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แล้วพยักหน้า:“ถูกต้อง ฉันเอง เธอถามแบบนี้มาหลายรอบแล้วนะ”
“มิน่าล่ะตอนที่ฉันเจอเธอครั้งแรกที่บ้านตระกูลเฉียวถึงรู้สึกว่าเธอคุ้นหน้าคุ้นตามาก ที่แท้ก็......” ซูซี่พยักหน้า แล้วรีบถามต่อ:“สรุปแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ตอนนั้นเธอไม่ใช่......อะไรแล้วนะ?”
“คุณหนูซู เธอแน่ใจว่าจะถามคำถามพวกนี้ตอนนี้?” ไป๋มู่ชิงยิ้มเล็กน้อย:“ถ้าจะพูดถึงเรื่องนี้ สามวันสามคืนคาดว่าคงไม่พอ”
“คนเขาอยากรู้นี่”
“วางใจเถอะ รอให้มีโอกาส ฉันจะบอกเธอกับเสียวเหม่ยทั้งหมดอย่างละเอียดเอง” ไป๋มู่ชิงพูด
ซูซี่กวาดสายตามองรอบทิศ ตอนนี้ที่นี่ไม่เหมาะที่จะคุยเรื่องนี้จริงๆ เธอที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ก็เลยต้องยอมแพ้:“ก็ได้ เรื่องนี้พวกเราค่อยว่ากันวันหลัง แล้วเรื่องของหว่านชิงล่ะ? เธอควรเล่าให้ฉันฟังถูกไหม?”
“หว่านชิง?” ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างลำบากใจ แล้วมองเธอ:“ถึงแม้ว่าในระหว่างนั้นเรื่องราวจะซับซ้อนมาก แต่ตอนนี้ฉันอยากขอบคุณเธอ ขอบคุณเธอที่ในตอนนั้นช่วยฉันเรื่องหว่านชิง”
“ฉัน?”
“ใช่ ภายนอกคุณชายใหญ่เฉียวไม่ได้ตอบรับว่าจะช่วยเธอ แต่ลึกๆแล้วความจริงเขาช่วยแล้วนะ เขาคือผู้ชายคนนั้นที่ฉันเจอที่ห้องน้ำ เขาแอบสับเปลี่ยนลูกของฉัน ส่งเด็กทารกผู้ชายที่ถูกทิ้งคนนั้นไปที่ไป๋ยิ่งอัน”
“เฉียวซือเหิงแอบสับเปลี่ยนลูกของเธอ? งั้นทำไมเขาต้องโกหกฉันล่ะว่าไม่ได้ช่วย? แล้วยังโกหกฉันมาตลอดที่บอกว่าจะช่วยตามหาเด็ก? ที่แท้ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของเขา เจ้าหมอนี่!”
“เสี่ยวซี่ เธออย่าพึ่งใจร้อนไป” ไป๋มู่ชิงหัวเราะ:“ถึงแม้ว่าการกระทำของคุณชายใหญ่เฉียวจะน่าเกลียด แต่พอเห็นว่าหว่านชิงสบายดี ฉันก็อภัยให้เขาไปหมดเลย แล้วอีกอย่างพอเห็นว่าเฉินยังมีชีวิตอยู่ ฉันถึงกับขอบคุณเขาที่สับเปลี่ยนหว่านชิง ไม่งั้นตอนนี้เฉินอาจจะตายไปแล้ว”
สมมุติถ้าตอนนั้นไม่ใช่เฉียวซือเหิงที่ซ่อนหว่านชิงของเธอไว้ ไป๋ยิ่งอันคงไม่ปล่อยหว่านชิงไป หว่านชิงก็คงไม่มีชีวิตจนถึงตอนนี้เช่นกัน ถ้าไม่มีหว่านชิง หนานกงเฉินก็คงตายไปแล้ว
เพราะฉะนั้นเธอก็เลยให้อภัย ให้อภัยเขานานแล้ว!
“ตอนนี้หนานกงเฉินเป็นยังไงบ้าง?” ซูซี่ที่ได้สติคืนมาจากความสงสัยก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองเหมือนจะลืมถามถึงหนานกงเฉิน ก็เลยรีบเก็บอาการบนใบหน้า
“คุณชายใหญ่เฉียวบอกว่าต้องอย่างน้อยหลังหนึ่งเดือนถึงจะฟื้นขึ้นมา” พูดถึงหนานกงเฉิน ใบหน้าของไป๋มู่ชิงก็ถูกปกคลุมด้วยความกลัดกลุ้มไม่สบายใจ
ตอนนี้ที่เธอกังวลที่สุดคือหนานกงเฉิน อีกทั้งสัญญาระหว่างเธอกับเฉียวซือเหิงนั่นอีก นั่นก็ทำให้เธอกังวลมากเหมือนกัน
“เฉียวซือเหิงมารักษาหนานกงเฉินด้วยตัวเองเลย?” ซูซี่ตกใจ
“ใช่ เพราะฉะนั้นฉันเลยขอบคุณเขา”
“ไม่ถูกสิ เขาไม่ได้มีจิตใจดีนี่” ซูซี่สังเกตเธอแล้วถาม:“บอกฉันมาตามตรง เขาเสนอเงื่อนไขอะไรมาให้เธอใช่หรือเปล่า?”
ไป๋มู่ชิงมองเธอ จู่ๆในใจก็ตื้นตัน เธอก้มหน้าลง:“ความจริงแล้วขอแค่คุณชายเฉินฟื้นขึ้นมา ไม่ว่าจะเงื่อนไขอะไรฉันก็รับได้ทั้งนั้น”
“สรุปแล้วเขาเสนอเงื่อนอะไรให้เธอ? บอกฉันมา บางทีฉันสามารถช่วยเธอได้นะ?”
“เขาให้ฉันกลับไปอยู่ข้างๆเฉียวเฟิง” ไป๋มู่ชิงพูด:“เสี่ยวซี่ นี่เป็นข้อตกลงที่ฉันยินยอมเอง”
“เขาเอาเรื่องของความรู้สึกมาทำข้อตกลง?”
“ฉันรู้ว่าเขาทำเพื่อเฉียวเฟิง ยังไงซะเฉียวเฟิงก็ทำอะไรตั้งมากมายเพื่อฉัน แต่ฉันกลับทิ้งเขาอย่างไร้น้ำใจ”
“แต่คนที่เธอรักคือหนานกงเฉินนี่ พวกเธอยังมีหว่านชิงอีก ถ้าพวกเธอสองคนเลิกกัน แล้วหว่านชิงล่ะจะทำยังไง? จะอยู่กับเธอหรือว่าหนานกงเฉิน เกรงว่าพวกเธอทั้งสองไม่ว่าใครคงตัดใจให้เขาไปไม่ลงล่ะสิ?” ซูซี่พูดอย่างหาคำตอบไม่ได้
“เรื่องพวกนี้......พอถึงเวลาค่อยคิดไปทีละขั้นก็แล้วกัน” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างจนปัญญา
เดิมทีเฉียวซือเหิงก็ไม่ได้ให้โอกาสเธอคิดเรื่องพวกนี้เลย ตอนนั้นเธอมีแค่ทางเลือกเดียว ก็คือทำให้หนานกงเฉินฟื้นขึ้นมา
ไม่อยากจะคุยหัวข้อบทสนทนานี้ต่อไป เธอก็เลยเปลี่ยนหัวข้อ:“เสี่ยวซี่เธอล่ะ? ช่วงนี้โอเคดีไหม? ครั้งนี้กลับมาแล้วยังไปอีกหรือเปล่า?”
ซูซี่ไม่ได้ตอบคำถามเธอ แต่ยื่นมือมาจับมือเธอไว้ ใบหน้ารู้สึกผิด:“ขอโทษนะ มู่ชิง ฉันไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเธอยังมีชีวิตอยู่ แล้วฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอต้องเผชิญหน้ากับความลำบากมากมายขนาดนี้ ในฐานะที่สนิทกัน ฉันควรเผชิญหน้าด้วยกันกับเธอ ช่วยเธอเอาชนะความลำบากพวกนั้น”
ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วส่ายหน้า:“ทุกอย่างกำลังจะผ่านไปแล้ว ช่วงเวลาที่ยากที่สุดใกล้จะจบลงแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้สึกเสียใจอีกแล้วล่ะ”
“ไม่ใช่ว่าเฉียวซือเหิงต้องการให้เธอกลับไปอยู่ข้างเฉียวเฟิงเหรอ? ถ้าว่าตามนิสัยเธอคงไม่กล้าผิดคำพูดหรอกใช่ไหม?”
ไป๋มู่ชิงยิ้มด้วยความลำบากใจ เฉียวซือเหิงได้พูดไว้ชัดเจนแล้ว หนานกงเฉินจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ เธอกลับไปอยู่ข้างเฉียวเฟิงเมื่อไหร่ หนานกงเฉิงก็ฟื้นขึ้นมาเมื่อนั้น แล้วเธอจะผิดคำพูดได้ยังไง? เฉียวซือเหิงจะโง่ขนาดเหลือโอกาสให้เธอผิดคำพูดได้ยังไง?
“มู่ชิง เธอไม่ต้องกลัว ฉันจะช่วยเธอพูดกับเฉียวซือเหิงให้เอง” ซูซี่พูด
“พูดอะไรกับฉัน?” จู่ๆก็มีเสียงของเฉียวซือเหิงดังขึ้นด้านหลัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
เขียนดี แต่แปลได้สับสน วางบทตอนกระโดดไปกระโดดมา...