บทที่ 102 คราวนี้ได้เท่าไหร่
“คิดไม่ถึงเลยนะครับว่าท่านเทพ X ก็จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เหมือนกัน” ซูชือพูด ดวงตาเป็นประกายแวววาว “ถ้าอย่างนี้ สมมุติว่าพวกเราตั้งใจฝึกฝนพัฒนาตัวเอง เราก็สามารถโด่งดังแบบเขาได้เหมือนกันใช่ไหมครับ?”
“มันก็พอเป็นไปได้แหละนะ”
หวังเหาตอบกลับไปตามมารยาท เพราะเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวจริงของ X เป็นใคร หรือว่ามีระดับพลังสูงส่งมากแค่ไหน
“พอเป็นไปได้ใช่ไหมครับ”
ซูชือดวงตาลุกวาวด้วยความมุ่งมั่น “งั้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป ผมจะตั้งใจฝึกให้หนัก!”
“ตอนนี้ค่าวรยุทธ์ของพวกนายยังเป็นศูนย์ ถ้าค่าวรยุทธ์ของพวกนายมีถึง 10 คะแนนเมื่อไหร่ พวกนายก็จะได้เข้าสู่โลกของ “Fantasy Dream” ที่แท้จริง!”
หวังเหาพูด
โลกของ Fantasy Dream ที่แท้จริง?
ซูเย่รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
แล้วที่พวกเขากำลังเล่นกันอยู่นี้ไม่ใช่เกม Fantasy Dream ที่แท้จริงหรือไง?
จินฟานกับซูชือก็แสดงสีหน้าสงสัยออกมาเช่นกัน พวกเขาอยากจะถามคำถามหลายอย่าง แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากพูด หวังเหาก็ชิงตัดบทเสียก่อนว่า “เอาไว้พวกนายมีค่าวรยุทธ์ครบเมื่อไหร่ เดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ”
นายตำรวจหนุ่มพูดแล้วก็ปวดหัว
เมื่อโลกที่แท้จริงของเกม Fantasy Dream ถูกเปิดขึ้น ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าไปในที่แห่งนั้นได้ทั้งสิ้น ขอแค่มีค่าวรยุทธ์ครบถ้วนตามเกณฑ์ที่กำหนดก็พอแล้ว
แม้แต่เจ้าคนที่ขโมยหมวก VR ไปก็สามารถนำมาเข้าเล่นได้เช่นกัน
เพราะฉะนั้น หวังเหาต้องรีบตามจับตัวหมอนั่นให้ได้โดยเร็วที่สุด!
“แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่ง”
นายตำรวจหนุ่มสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมอง และกล่าวออกมาอีกครั้ง “ถึงจะฝึกวิชาในเกมแล้ว พวกนายก็ต้องฝึกวิชาในโลกแห่งความจริงด้วย ร่างกายจะได้ทำความคุ้นเคยกับการต่อสู้ให้มากขึ้น เพราะยิ่งมีค่าวรยุทธ์สูงมากเท่าไหร่ มันก็จะทำให้พวกนายสามารถปรับตัวได้ดีมากขึ้นเท่านั้น”
ซูชือกับจินฟานพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“เอาล่ะ พวกนายสองคนกลับไปก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยกับซูเย่ต่ออีกนิดหน่อย”
หวังเหาผายมือออกคำสั่งให้ซูชือกับจินฟานออกไปจากห้องฝึกซ้อม
ทั้งสองหนุ่มเหลือบตามองซูเย่เล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไปรับประทานอาหารที่โรงอาหารด้านนอก
เมื่อเห็นว่าซูเย่กำลังจ้องมาที่ตนเองด้วยความสงสัย
“ฉันอยากจะขอบคุณนายเป็นการส่วนตัวน่ะ” หวังเหาล้วงบัตรเอทีเอ็มออกมาจากกระเป๋ากางเกง และโยนให้ซูเย่
ซูเย่เอื้อมมือรับไว้ได้อย่างแม่นยำ
“ในบัตรใบนี้มีเงินอยู่ 100,000 หยวน ถือว่าเป็นเงินที่ทางรัฐบาลมอบให้เป็นสินน้ำใจ เพราะนายเป็นคนแจ้งข้อมูลเรื่องจุดอ่อนทั้ง 36 ตำแหน่งบนร่างกายผู้ฝึกยุทธ์”
“หืม?”
ซูชือถึงกับชะงักกึก
มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ?
ตอนนี้เขากำลังขาดเงินอยู่พอดี เงินก้อนนี้มาหาเขาได้ถูกที่ถูกเวลาเหลือเกิน
เมื่อเห็นรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูเย่ หวังเหาเองก็พูดอะไรไม่ออก เพราะคิดไม่ถึงว่าซูเย่จะเป็นพวกเห็นแก่เงินด้วยเหมือนกัน!
“ครั้งสุดท้ายพวกเรายังประลองกันไม่จบเลยนะ วันนี้มาต่อกันให้จบเลยดีไหม?”
หวังเหาเอ่ยปากชักชวนด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
“ยังไม่เข็ดอีกเหรอครับ?” ชายหนุ่มแกล้งกวนประสาทเขา
“ขอแค่ครั้งเดียวก็พอ คราวนี้ฉันจะป้องกันจุดอ่อนของตัวเอง รับรองว่านายล้มฉันไม่ได้แน่ ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่านายมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับไหน”
หวังเหายกมือขึ้นกระดิกนิ้วเรียก
“ไม่มีปัญหาครับ”
ซูเย่พยักหน้าตอบตกลง
แล้วพวกเขาก็เดินไปอยู่ตรงกลางห้องฝึกซ้อม
คราวนี้หวังเหาไม่ได้ประมาทเหมือนครั้งก่อนอีกแล้ว นายตำรวจหนุ่มเตรียมโคจรพลังลมปราณเอาไว้ตั้งแต่เริ่มแรก
“ระวังตัวให้ดี!”
หวังเหาร้องคำราม และพุ่งเข้าไปโจมตีชายหนุ่มอีกครั้ง
ระดับความเร็วของเขาว่องไวมาก เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น กำปั้นขวาของนายตำรวจหนุ่มก็ไปอยู่ที่หน้าอกของซูเย่แล้ว
ซูเย่ก้มหน้ามองกำปั้นที่กำลังพุ่งเข้ามา เขาโคจรพลังลงไปที่มือของตนเอง และกระแทกฝ่ามือเข้าใส่หัวไหล่ขวาของนายตำรวจหวังเหาเสียงดังผลั่ก!
โครม!
ผู้กองหนุ่มล้มลงไปนอนอยู่บนพื้น ได้แต่เงยหน้ามองซูเย่ด้วยความมหัศจรรย์ใจ
“ครั้งนี้นายทำได้ยังไงอีกเนี่ย?” นายตำรวจหนุ่มนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ พลังลมปราณที่เขาโคจรเอาไว้ล่วงหน้า ยังไม่ทันไหลเวียนลงไปที่แขนของตนเองเลยด้วยซ้ำ หวังเหาก็ต้องล้มลงมานอนหมดท่าอยู่บนพื้นตรงนี้เสียแล้ว
“ง่ายมากครับ” ซูเย่ให้คำตอบ “นี่ยังคงเกี่ยวเนื่องกับจุดอ่อนที่ผมเคยบอกคุณไปแล้ว คนเราเวลาลงน้ำหนักตัว เท้าจะเป็นรากฐานที่รับน้ำหนักมากที่สุด จากนั้นจึงเป็นขา และขึ้นมาที่ช่วงเอว การถ่ายเทน้ำหนักจะเบาบางขึ้นจากแผ่นหลังมาจรดหัวไหล่ เมื่อฝ่ายตรงข้ามมัวแต่กังวลเรื่องการปิดบังจุดอ่อน ก็จะลืมเลือนไปเลยว่าร่างกายของคนเรานั้นยังมีส่วนที่เป็นข้อต่ออยู่อีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นจุดส่งผ่านเรี่ยวแรง และพละกำลังทั้งหมด เมื่อเราเล่นงานไปตามข้อต่อเหล่านั้น สุดท้ายเรี่ยวแรงในร่างกายของคู่ต่อสู้ก็จะหายไป”
“ผมคิดว่าหลักการโคจรพลังลมปราณก็คงเหมือนกัน”
“ผมก็เลยลองทดสอบดู แล้วมันก็ได้ผลลัพธ์อย่างที่เห็นนี่แหละครับ”
ซูเย่พูดพร้อมยักไหล่
หวังเหาได้แต่นิ่งเงียบ
จนเวลาผ่านไปได้สักพักใหญ่
“เรามาลองดูกันอีกสักครั้ง!”
ผู้กองหนุ่มลุกขึ้นยืน ปรบไม้ปรบมือ ก่อนจะเริ่มโจมตีเป็นครั้งที่สอง
วูบ…
หวังเหาวิ่งเข้ามาประชิดตัวซูเย่ด้วยความรวดเร็ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]