บทที่ 104 ความสามารถมากพอ ความมั่นใจก็ไม่ค่อยจำเป็น
ซูเย่เองก็เดินตรงขึ้นไปอย่างไปลังเลแม้แต่น้อย ใบหน้าของเขาเรียบเฉย มีเพียงรอยยิ้มบางเบาประดับที่มุมปากเมื่อเผชิญหน้ากับผู้สื่อข่าวหลายคนที่ทำการถ่ายทอดสดไปด้วย
“สวัสดี นักศึกษาซูเย่”
ทันทีที่ซูเย่ขึ้นไปบนเวที หลี่จื้อหงได้ยื่นมือมาทักทาย “ฉันชื่นชมนายมาก ในตอนที่ไม่มีใครกล้าออกมารับคำท้า นายกลับก้าวออกมา ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่านายกล้าหาญมาก”
“ชมกันเกินไปแล้วครับ”
ซูเย่ส่ายหัวพร้อมกับพูดตอบกับหลี่จื้อหงด้วยรอยยิ้มเชือดเฉือน “ต่อให้ผมไม่ก้าวออกมาก็มีคนออกมาแน่นอน ในวงการแพทย์แผนจีนไม่ได้ขาดผู้มีความสามารถ แต่ดูเหมือนว่าคุณหลี่จะไม่ได้ให้โอกาสคนอื่นเลยแม้แต่น้อย เพราะคุณเองไม่ใช่เหรอครับ ที่เจาะจงเลือกผมมา”
ทันทีที่ซูเย่พูดออกมา หลี่จื้อหงหน้าเสียเล็กน้อย และบริเวณโดยรอบก็มีเสียงหัวเราะจากนักข่าวในห้อง
“ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก”
หลี่จื้อหงหัวเราะกลบเกลื่อนและเอ่ยแก้สถานการณ์ “ผลการทดลองและข้อมูลของฉันถูกโพสต์บนเวยป๋อแล้ว นักศึกษาซูเย่คิดอย่างไรเกี่ยวกับการทดลองนี้”
สายตาและกล้องของทุกคนก็จับจ้องไปที่ซูเย่ นี่เป็นคำถามที่ทุกคนสนใจและรอคอยว่าซูเย่จะตอบอย่างไร
“ผมดูผลการทดลองมาแล้ว ในแง่ของกระบวนการทั้งหมด ขั้นตอนต่าง ๆ นั้นเข้มงวดมาก แต่จำกัดเฉพาะกระบวนการ แต่การทดลองทั้งหมดนั้นไม่ถูกต้อง”
“โอ้? ฉันอยากได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้”
หลี่จื้อหงมองไปทางซูเย่อย่างสนุกสนาน
ซูเย่กล่าวต่อทันที “แพทย์แผนจีนให้ความสนใจกับการรักษาอย่างวิภาษ*[1]อาการไมเกรนเกิดได้จากหลายสาเหตุ แพทย์แผนจีนในการทดลองของคุณกลับเลือกจุดฝังเข็มเดียวกันทั้งหมดสำหรับคนไข้ทุกคน แน่นอนว่ามันไม่ถูกต้อง และในสถานการณ์ที่การฝังเข็มไม่เหมาะสมเช่นนี้ ผลการรักษาจึงลดลง ซึ่งก็คือสิ่งที่คุณกล่าวว่าเป็นยาหลอก และผลลัพธ์ที่แท้จริงของการฝังเข้มจึงไม่ได้ถูกสะท้อนออกมา”
“ฟังดูสมเหตุสมผล แต่ฉันคิดว่าการรักษาอย่างวิภาษของแพทย์แผนจีนเป็นเท็จ”
หลี่จื้อหงกล่าว
“ดังนั้น การทดลองที่คุณสันนิษฐานไว้ก่อนว่าการรักษาอย่างวิภาษเป็นเท็จ แต่คุณกลับละเลยไปว่า ‘การสันนิษฐาน’ ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าสิ่งนั้นเป็นจริงหรือเท็จ แล้วคุณกล้าพูดได้อย่างไรว่าผลการทดลองของคุณเป็นความจริง”
ซูเย่เอ่ยตอกหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ปราณี
สีหน้าของหลี่จื้อหงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอนแรกเขาตั้งข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่าการรักษาอย่างวิภาษของแพทย์แผนจีนเป็นเท็จ แต่ไม่ว่าอย่างไรศาสตร์แพทย์แผนจีนมักก็เป็นเรื่องลวงโลกอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงการสมมติฐาน ยังไงเรื่องนี้ก็คือข้อเท็จจริง
“ดูเหมือนว่านายจะมั่นใจในศาสตร์การฝังเข็มของแพทย์แผนจีนมาก”
หลี่จื้อหงตอบด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ตาม ฉันมั่นใจในการทดลองของฉัน ฉันใช้การทดลองแบบอำพรางสองฝ่ายที่เป็นวิทยาศาสตร์มากที่สุด ส่วนใครถูกหรือผิด รอดูกันได้เลย!”
“เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”
ซูเย่เอ่ยตอบรับอีกฝ่ายโดยไม่ลังเล
“ไม่”
หลี่จื้อหงส่ายศีรษะโดยพลัน จากนั้นเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา”ฉันได้ยินมาว่านายเรียนแพทย์แผนปัจจุบันมาก่อน ถ้าครั้งนี้พิสูจน์ไม่ได้ว่าศาสตร์แพทย์แผนจีนและการฝังเข็มมีประสิทธิภาพ นายยังสามารถเปลี่ยนกลับไปเรียนแพทย์แผนปัจจุบันได้ทันนะ”
“ถ้าผมพิสูจน์ได้ว่าการฝังเข็มมีประสิทธิภาพ คุณก็เปลี่ยนไปเรียนแพทย์แผนจีนได้เช่นกัน”
ซูเย่เอ่ยตอบพร้อมยิ้ม “ผมสามารถจ่ายค่าเล่าเรียนให้คุณได้”
ทันทีที่เขาพูดจบประโยค สีหน้าของหลี่จื้อหงแข็งค้าง นักข่าวในห้องพลันมองฉากเบื้องหน้าอย่างขำขัน คิดไม่ถึงว่าการท้าทายยังไม่ทันเริ่มทั้งสองคนก็ตอกหน้ากันไปมา เป็นการโต้แย้งแบบมีความรู้ที่น่าสนุกกว่าที่คิด
เดิมทีพวกเขาคิดว่าซูเย่ยังเป็นนักศึกษา การวางตัว สีหน้าหรือการสนทนาพาทีคงไม่แพรวพราวมากเท่ากับหลี่จื้อหงที่อยู่ในวัยทำงาน แต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลย ไม่ว่าจะด้านเหตุผล หรือพื้นฐานความรู้ของซูเย่ดีมากทีเดียว ดีเสียจนสามารถกดหลี่จื้อหงได้อย่างอยู่หมัด!
ในเวลาเดียวกัน ชาวเน็ตทุกคนที่ติดตามและรับชมการถ่ายทอดสดต่างก็สุขใจไม่แพ้กัน
“เอาสองคนนั้นไปโต้วาทีกันเถอะ!”
“ซูเย่ยังปากร้ายไม่เปลี่ยน ทุกคำที่พูดออกมาแทบจะทำให้หลี่จื้อหงหน้าหงายเงิบ”
“ฮ่าฮ่า เราไม่ต้องทำการท้าทายอะไรนั่นแล้ว ให้เขาสองคนยืนพูดกันอย่างนั้นพอ โคตรตลกเลย”
……
“วันนี้นายนอนพักให้เพียงพอแล้วกัน ได้ยินมาว่าแพทย์แผนจีนต้องรักษาสุขภาพให้เต็มร้อยถึงจะรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ พรุ่งนี้เจอกัน!”
หลี่จื้อหงเอ่ยพลางเค้นเสียงหัวเราะ แต่จากสายตาของเขา สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและมีแววความโกรธที่ซ่อนอยู่ลึกลงไป
ต่อให้ไม่มีการท้าในครั้งนี้ แต่เขาก็เจาะจงเลือกเด็กใหม่ในวงการแพทย์แผนจีนอย่างไร้ยางอายจริง ๆ ทว่านั่นเป็นเพราะการฝังเข็มของแพทย์แผนจีนมีปัญหาอยู่แล้วต่างหาก
ตอนแรกหลี่จื้อหงแอบรู้สึกผิดต่อซูเย่เล็กน้อย แต่เขาไม่คิดว่าหลังจากพบกันเพียงไม่กี่นาที ซูเย่กลับตอกหน้าเขาหลายครั้งติดต่อกัน ทำให้ทุกคนที่รับชมการถ่ายทอดสดรวมถึงคนที่อยู่ในเหตุการณ์หัวเราะเยาะ …พาลให้ความรู้สึกผิดเล็กน้อยถูกกลืนหายไป
ที่เหลือเขาก็แค่รอดูซูเย่ขายหน้า!
“นอกจากนี้ ฉันได้เตรียมโรงพยาบาลและคนไข้ไว้แล้ว”
หลี่จื้อหงกล่าว
“หืม?”
ซูเย่มองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา
เมื่อวานตัวเขาเพิ่งตอบรับคำท้า แต่อีกฝ่ายกลับจัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพแล้ว
โรงพยาบาลและคนไข้ ไม่ใช่เรื่องที่สามารถจัดการได้ในวันเดียวแน่นอน
“เตรียมตัวมานานแล้วสินะครับ”
“แน่นอน”
หลี่จื้อหงพยักหน้ายอมรับ “พรุ่งนี้เจอกัน”
เมื่อบอกลาจบ เขาก็หันกายเดินจากไป
นักข่าวหลายคนที่เข้าไปใกล้เพื่อถามคำถามเพิ่มเติมจึงไม่ได้ถาม
หลังจากหลี่จื้อหงจากไป นักข่าวจำนวนหลายชีวิตในห้องประชุมพลันหันความสนใจไปที่ซูเย่
“นักศึกษาซูเย่ สำหรับวันพรุ่งนี้คุณมีความมั่นใจไหมคะ”
นักข่าวคนหนึ่งรุดเข้าไปเบื้องหน้าซูเย่และยิงคำถามทันที
“สำหรับผมความมั่นใจเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น”
ซูเย่ยืนขึ้น ส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับกล่าวตอบ “ผมมีความสามารถมากพอ!”
ทันทีที่เขาพูดจบประโยค ดวงตาของนักข่าวหลานพลันเปล่งประกาย
พาดหัวเรื่องนี้ผ่านฉลุย!
บางคนยังหัวเราะคิกคัก ในขณะที่คนอื่น ๆ เริ่มเขียนต้นฉบับอย่างรวดเร็ว ข่าวประชาสัมพันธ์เผยแพร่ไปบนโลกไร้พรมแดนภายในเวลาไม่นาน ไม่ว่าจะเป็นเวยป๋อ เว็บบอร์ดสนทนาทั่วไป หัวข้อนี้ได้กลายเป็นจุดสนใจของทุกคนทันที
‘ซูเย่เอ่ย ถ้าความสามารถมากพอ ความมั่นใจก็ไม่จำเป็น!’
พาดหัวข้อแบบนี้เมื่อเห็นครั้งแรกก็อยากจะเปิดอ่านทันที
ผู้อ่านส่วนมากต่างชื่นชอบพาดหัวข่าวหรือบทความแบบนั้นกันทั้งนั้น
เวลาผ่านไป สื่อจำนวนมากได้เผยแพร่บทความของซูเย่ที่ตอกหน้าหลี่จื้อหง ในระหว่างการถ่ายทอดสดและฉากการพูดประโยคนี้ได้รับการตัดต่ออย่างรวดเร็วและโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ต
และเนื่องจากสื่อหลายเจ้ากำลังเล่นประเด็นนี้ ทำให้ผู้คนจำนวนมากที่ไม่ทราบเรื่องนี้เริ่มให้ความสนใจในวงกว้าง
งานใหญ่ขนาดนี้จะพลาดได้ไง!!
……
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]