บทที่ 44 ผู้เกิดใหม่คนแรกในประวัติศาสตร์ ซูเย่
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ฉันพัก เป็นห้องวิจัยส่วนตัวของฉัน” เจิ้งไท่ผิงอธิบาย
นี่เป็นบ้านเก่าที่เขาเคยอยู่ โครงการเงียบสงบ ในห้องวิจัยแห่งนี้ไม่มีใครรบกวนเขาได้
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
ซูเย่พยักหน้าอย่างเข้าใจ และเดินชมไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง เดินไปเดินมาก็พลันเห็นกระดองเต่าสลักอักษรเจี๊ยกู่ตั้งอยู่บนตู้ใบหนึ่ง ด้านข้างอักษรเหล่านั้นมีหมายเหตุกำกับไว้ด้วย
“อักษรตัวนี้คือชง”
ซูเย่ชี้ตัวอักษรบนกระดองเต่าและกล่าว
“หืม?”
เจิ้งไท่ผิงผงะ และรีบเดินเข้าไปเคียงข้างซูเย่ เขามองตัวอักษรที่ซูเย่ชี้อย่างละเอียดก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไม่ถูก ใน ‘หนังสือแนะนำอักษร’ คำว่าชงหมายถึงลำธารไหลเชี่ยว โอนเอนไปมา หากเชื่อมอักษรนี้เข้ากับตัวที่เหลือ มันก็ไม่มีทางเป็นความหมายนี้”
“แล้วถ้าในยุคนั้น ตัวอักษรเจี๊ยกู่คำว่าชงไม่ใช่ความหมายนี้ล่ะครับ?” ซูเย่ยิ้มเล็กน้อย
เจิ้งไท่ผิงผงะ
“ถ้าชงในอักษรเจี๊ยกู่หมายถึงกองทหารข้ามแม่น้ำล่ะครับ?” ซูเย่พูดเสร็จก็ชี้ที่กระดองเต่าและอ่านออกเสียง
“มิ่งชง…..”
เมื่อเจิ้งไท่ผิงได้ฟัง ก็มีสีหน้าตะลึง
เจ้านี่รู้จักอักษรเจี๊ยกู่จริง ๆ หรือนี่?
อักษรจำนวนหนึ่งบนกระดองเต่านี้ได้มีการแปลความหมายเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็ตรงกับทุกอักษรที่ซูเย่อ่านเป๊ะ ๆ
แต่บนกระดองเต่านี้ไม่มีคำแปลของอักษรเหล่านี้ ก็มีแต่เขานี่แหละที่สามารถอ่านได้โดยไม่ต้องดูคำแปล
เขาอ่านอักษรที่แปลเรียบร้อยได้ แล้วอักษรที่ยังไม่แปลที่เขาอ่าน…..
“คุณอ่านอักษรเจี๊ยกู่บนนี้ออกจริง ๆ เหรอ?” เจิ้งไท่ผิงจ้องซูเย่ด้วยสีหน้าตะลึงและถาม
“ได้ครับ” ซูเย่ไม่ได้บอกว่าตัวเองอ่านรู้เรื่องหมด
“เป็นไปได้ยังไงกัน?!” เจิ้งไท่ผิงอึ้งกว่าเดิม
อักษรเหล่านั้นยังไม่ได้รับการแปลเลยนะ
ส่วนอักษรเจี๊ยกู่ที่ขุดขึ้นมาได้จนถึงบัดนี้มีราว ๆ สิบห้าแผ่น อักษรในนั้นมีเกินกว่าห้าพันตัว
ที่แปลแล้วมีเพียงหนึ่งในสาม
กระดองเต่าบางชิ้นอ่านได้ไม่ครบถ้วนด้วยซ้ำ
เจ้าหนุ่มตรงหน้านี้กลับอ่านกระดองเต่านี้ออกหมด!
“คุณเรียนจากไหนมา” เจิ้งไท่ผิงรีบถาม
“เคยหารือกับผู้เฒ่ากลุ่มหนึ่งครับ”
ซูเย่กล่าว “นอกจากนั้นผมชอบอ่านหนังสือโบราณด้วย อ่านมาตั้งแต่เด็ก จึงพอรู้เรื่องของหนังสือโบราณอยู่ประมาณหนึ่งครับ เวลาปกติก็ชอบค้นหาและวิจัยอักษรเจี๊ยกู่ ไป ๆ มา ๆ ก็ได้ความรู้ครับ”
“ด้วยพรสวรรค์ของคุณ ควรจะเรียนสาขาโบราณคดีสิ ทำไมถึงไปเรียนแพทย์ล่ะ?” เจิ้งไท่ผิงดึงมือของซูเย่ไว้ทันที ไม่สนใจคำตอบของซูเย่เลยสักนิด
“มา ๆๆ…..”
เขาดึงมือซูเย่และชวนพูดคุยศึกษาถึงอักษรเจี๊ยกู่ตัวอื่น ๆ บนกระดองเต่า
คุยเจาะลึกไปทีละตัว
มิหนำซ้ำ ทุกครั้งที่หารือเกี่ยวกับอักษรเจี๊ยกู่หนึ่งตัว เขาจะหยิบกระดองเต่าอื่นออกมาและพิสูจน์ความถูกต้องซ้ำไปซ้ำมาจากอักษรอื่นที่แปลไว้แล้ว
ดูกันมาพักใหญ่ พิสูจน์ได้แค่สามตัว
ซูเย่เห็นดังนั้นก็คิดว่าแบบนี้มันเสียเวลาเกินไป
“แบบนี้ช้าเกินไปครับ”
ในขณะที่เจิ้งไท่ผิงกำลังจะพูดถึงอักษรตัวที่สี่ ซูเย่ก็โพล่งออกมาทันควัน “ผมว่าให้ผมเขียนออกมาให้คุณเลยดีกว่าครับ แล้วคุณเอาไปดูเองเลย”
พูดเสร็จชายหนุ่มก็หยิบกระดาษและปากกาบนตู้มาเขียน
เขียนชุดหนึ่งเสร็จแล้วก็ไปเขียนอีกชุด
อีกด้าน
เจิ้งไท่ผิงเห็นซูเย่เขียนแปลไปสามชุดแล้วก็พบว่าสิ่งที่ซูเย่เขียนเหมือนกับอักษรเจี๊ยกู่ที่เขาอ่านได้เป๊ะ และยังมีอักษรที่ยังไม่ทำการแปลในนั้นอีกสี่สิบกว่าตัวด้วย ซึ่งเหตุที่มีเพียงเท่านี้ เพราะซูเย่ไม่กล้าเขียนเยอะ
ในขณะที่อึ้งอยู่
เจิ้งไท่ผิงก็หยิบชุดที่ซูเย่แปลแล้วมาเทียบกันไปมาโดยไม่สนชายหนุ่ม และยิ่งเทียบยิ่งรู้สึกว่าถูก จนอดตื้นตันไม่ได้
ขณะที่ปลื้มปริ่ม จู่ ๆ เจิ้งไท่ผิงก็นึกอะไรขึ้นได้
เขารีบเดินไปด้านข้างและโทรเรียกผู้เชี่ยวชาญสามสี่คนที่วิจัยอักษรเจี๊ยกู่กับเขามาด้วยอารมณ์ตื่นเต้น
ครู่เดียว
ก็มีสามสี่คนมาที่ห้อง และมองเจิ้งไท่ผิงด้วยสีหน้าตื้นตัน
“ตาเจิ้ง คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย แปลออกแล้วจริง ๆ เหรอ?”
คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรเจี๊ยกู่
“จริงสิ พวกคุณรีบมาดู”
ทั้งหมดรีบมุงขึ้นไป
เห็นซูเย่เป็นอากาศธาตุโดยสิ้นเชิง
พวกเขาวิเคราะห์ ตรวจสอบ เปรียบเทียบ และหารือซ้ำไปซ้ำมา
ในที่สุดผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ก็มั่นใจแล้วว่าสิ่งที่ซูเย่แปลนั้นถูกต้องทั้งหมด!
คนทั้งหมดต่างมองซูเย่อย่างตกตะลึง
สายตาเป็นประกาย
“คิดไม่ถึงเลยนะ ในสายงานพวกเราจะมีเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ด้านอักษรเจี๊ยกู่ขนาดนี้ด้วย”
“เจ้าหนุ่ม คุณอยากเปลี่ยนอาชีพดูไหม มาอยู่วิจัยอักษรโบราณในสายงานเราดูซิ”
ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งเริ่มดึงคน เขาบอก “ขอแค่คุณยอมมา พวกเราจะร่วมลงชื่อเพื่อขอสวัสดิการที่ดีที่สุดให้คุณ ให้คุณไม่ต้องห่วงเรื่องกินเรื่องใช้ไปตลอดชีวิต”
“ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านมากครับ”
ซูเย่ขอบคุณด้วยรอยยิ้ม “ผมชอบศึกษาการแพทย์มากกว่าครับ”
“เฮ้อ” ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายร้องเสียดาย
ต้นอ่อนที่ดีขนาดนี้
แต่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายก็ไม่ได้ฝืน เพราะการเป็นหมอก็ดีเหมือนกัน
แต่ถ้าพวกเขารู้ว่าซูเย่แปลอักษรโบราณได้แทบจะทุกยุคทุกสมัย พวกเขาต้องไม่ปล่อยซูเย่ไปง่าย ๆ แน่นอน!
“จริงสิ”
ซูเย่เอ่ยขึ้น “ที่จริงผมเห็นประกาศรับสมัครที่สำนักงานวัฒนธรรมของเมืองตี้ตูแปะไว้ถึงได้มาครับ ถ้าอย่างนั้นผมน่าจะได้เงินรางวัลที่แปลอักษรเจี๊ยกู่ได้แล้วใช่มั้ยครับ”
ได้ฟังดังนั้น
บรรดาผู้เชี่ยวชาญมองหน้ากันและหัวเราะร่วน
“ฮ่า ๆ ว่าแล้วว่าไอ้หนุ่มนี่มีจุดประสงค์ไม่ธรรมดา” เจิ้งไท่ผิงเอ่ยยิ้ม ๆ
พวกเขาอยู่มาหลายสิบปี จะดูไม่ออกได้ยังไงว่าที่ซูเย่มานั้นมีจุดประสงค์อื่น
ซูเย่หัวเราะกระอักกระอ่วน
“ฉันเรียกทุกคนมาก็เพื่อให้แน่ใจว่าอักษรที่คุณแปลนั้นถูกต้องแม่นยำ ตอนนี้มั่นใจได้แล้วว่าอักษรเจี๊ยกู่สี่สิบกว่าตัวที่คุณแปลนั้นถูกต้องทั้งหมด ฉันยื่นเรื่องให้คุณได้ตอนนี้เลย พวกเราทั้งหมดร่วมลงนาม รางวัลที่คุณจะเอาต้องขอมาให้คุณได้แน่นอน”
เจิ้งไท่ผิงบอกยิ้ม ๆ
“สองล้านก็พอครับ อักษรเจี๊ยกู่ยี่สิบตัวที่เหลือถือว่าผมแถมให้ประเทศครับ”
ซูเย่คิดไปคิดมาจึงเอ่ยขึ้น
“ไม่เลว”
“มีน้ำใจแล้ว มีน้ำใจแล้ว”
“ถือว่าทำความดีให้ประเทศชาติ”
ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายพยักหน้าชื่นชม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]