เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] นิยาย บท 46

บทที่ 46 ประกาศขายดาบเวหา

เมื่อซูเย่มาถึงศูนย์การแพทย์หมิงเต๋อ ผู้ป่วยบางคนได้ยืนต่อคิวเรียงกันอยู่ก่อนแล้ว

หลังจากที่ทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย ศูนย์การแพทย์ก็เปิดทำการอย่างเป็นทางการ

หลี่เคอหมิงผายมือเชิญให้คนไข้คนแรกนั่งลง จากนั้นจึงหันไปหาซูเย่ที่นั่งอยู่ด้านข้างของตนและเอ่ยว่า

“วันนี้เธอยังต้องทำการวินิจฉัยชีพจรก่อนเหมือนเดิม หลังจากนั้นจึงเริ่มลองการตรวจสภาพลิ้นดู”

“ครับ”

ซูเย่พยักหน้า จากนั้นจึงยื่นมือไปจับที่ข้อมือข้างขวาของคนไข้และเริ่มตรวจชีพจรของอีกฝ่าย

หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง…

“ชีพจรปกติ เดี๋ยวคนไข้อ้าปากนะครับ”

อีกฝ่ายอ้าปากอย่างว่าง่าย

“ฝ้าที่ลิ้นหนาและมัน”

ซูเย่ยืนหน้าเข้าไปดูใกล้ ๆ และเอ่ยออกมาตามที่เห็น

เมื่อได้ยินคำวินิจฉัยของชายหนุ่ม หลี่เคอหมิงก็มีสีหน้าประหลาดใจ

“ถ้าอาจารย์จำไม่ผิด ตอนที่อาจารย์สอนการตรวจสภาพลิ้นให้เธอครั้งที่แล้ว ไม่มีคนไข้ที่มีฝ้าบนลิ้นมาให้เธอศึกษานี่ ใช่ไหม?”

คนไข้ตรงหน้ามีฝ้าที่ลิ้นหนาและมันจริง ๆ แต่อีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรกัน?

“เรียนรู้ด้วยตัวเองน่ะครับ” ซูเย่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ดวงตาของหลี่เคอหมิงก็เป็นประกายด้วยความทึ่ง

แค่เรียนด้วยตัวเองสามารถทำได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ?

ความสามารถในการเรียนรู้ของเขาไม่สุดยอดเกินไปหรือไง?

ทว่า ผู้เป็นอาจารย์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลาบปลื้มใจ สำหรับแพทย์แผนจีนแล้วยิ่งเก่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น!

“ไม่เลวเลย”

หลี่เคอหมิงพยักหน้าและยิ้มบางเบา จากนั้นจึงยื่นมือไปจับที่ข้อมือของคนไข้ จากนั้นจึงเริ่มให้คำปรึกษากับคนไข้และมอบใบสั่งยาให้กับอีกฝ่าย

ณ เวลานี้ หลี่ซินเอ้อกำลังยืนอยู่หน้าตู้ยา

เมื่อเห็นแววตาที่เป็นประกายอย่างชื่นชมของซูเย่ เธอก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามในใจของตัวเอง

“หรือว่ายีนพรสวรรค์ของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางจะถูกส่งต่อไปยังผู้ชายแต่ไม่ใช่ผู้หญิงกันนะ?”

พรสวรรค์ของผู้เป็นพ่อของเธอนั้นสุดยอดมาก แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับสุดยอดยิ่งกว่า…ให้ตายเถอะ! ทั้งหมดนี้ล้วนมีแต่ผู้ชายทั้งนั้น!

คนพวกนี้ทำเหมือนกับแพทย์แผนจีนเป็นอะไรที่สามารถเรียนได้ง่าย ๆ แต่ทำไมสำหรับเธอมันถึงยากนักนะ!

เมื่อคิดว่าตนเองใช้เวลาศึกษาอย่างหนักมาเป็นเวลากว่า 10 ปี แต่กลับถูกผู้ที่เพิ่งเรียนได้แต่วันสองวันตามทัน มันก็ทำให้เธอรู้สึกพูดไม่ออกและเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูก

คนไข้คนที่สองมาถึง

“เชิญ”

หลี่เคอหมิงหันไปพูดกับซูเย่ ความสำเร็จครั้งแรกนั้นเกิดจากความพยายาม ในเมื่อผลออกมาดีกว่าที่คาด งั้นก็มาเริ่มกันเลย

หลังจากนั้น การตรวจในช่วงเช้าทั้งหมดก็ดำเนินไปโดยที่ซูเย่ดูการสาธิตจากหลี่เคอหมิงแล้วจึงทำตาม

ในช่วงบ่ายหลังจากที่ทั้งคู่ทานอาหารเที่ยงเสร็จ

“ตอนนี้เธอเข้าใจการวินิจฉัยชีพจรและตรวจสภาพลิ้นแล้ว”

หลี่เคอหมิงสรุปเนื้อหาในการให้คำปรึกษาคนไข้เอ่ยขึ้นขณะที่หันไปมองหน้าซูเย่

เขาเองก็ทึ่งไปเลยเหมือนกัน

นักศึกษาหนุ่มตรงหน้าเรียนรู้ได้ไวมาก ๆ

หลังจากทำตามเพียงสามครั้ง อีกฝ่ายก็สามารถทำทั้งสองสิ่งกับคนไข้อีกสี่คนที่เหลือได้อย่างถูกต้อง หากเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร ก็คงจะไม่มีใครเชื่อ

“การตรวจและการดมกลิ่นคือสิ่งที่ต้องใช้เวลา ยิ่งตรวจคนไข้มากเท่าไหร่ ความสามารถทั้งสองอย่างนี้ก็จะยิ่งชำนาญขึ้นเท่านั้น”

“ต่อไป อาจารย์จะสอนเธอเกี่ยวกับอาการป่วยต่าง ๆ”

“หลังจากการนัดหมายครั้งที่สี่ เธอจะต้องวิเคราะห์อาการของผู้ป่วยและหาสาเหตุของโรค จากนั้นเธอก็จะสามารถกำหนดวิธีรักษาตามอาการของคนไข้ได้ด้วยตัวเอง” หลี่เคอหมิงเอ่ย

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่จำเป็นจะต้องเรียนเรื่องนี้ก็ได้นี่ครับ ก่อนหน้านี้ผมเพิ่งเรียนเกี่ยวกับการฝังเข็มและการรมยามา ผมสามารถใช้การฝังเข็มในการรักษาโรคได้หรือเปล่าครับ?” ซูเย่รีบถามสิ่งที่ตนอยากรู้ออกไป

สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้ ก็คือรีบเรียนรู้วิธีการรักษาโรคให้ได้ไวที่สุด เพื่อให้ได้แต้มศีลธรรมเยอะ ๆ นั่นเอง

หลี่เคอหมิงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยถามพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ว่า “สิ่งที่เธอหมายถึงคือการฝังเข็มที่มีอยู่ทั่วไป เป็นลักษณะการตรวจดูว่ามีสิ่งใดผิดปกติ และแก้ไขตรงจุดที่ต้องทำการฝังเข็มโดยตรงใช่หรือเปล่า?”

ซูเย่พยักหน้า

หลี่เคอหมิงถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นท่าทางของนักศึกษาหนุ่ม จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นั่นเป็นแค่การฝังเข็มและการรมยาทั่วไปเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น หากคนไข้มีอาการจมูกอักเสบ เธอจะบอกให้คนไข้ไปฝังเข็มโดยไม่สนใจว่าอะไรคือสาเหตุเลยอย่างนั้นเหรอ?! นั่นมันไร้ความรับผิดชอบต่อคนไข้ชัด ๆ!”

“ในความเป็นจริงแล้ว โรคจมูกอักเสบถูกแบ่งออกเป็นหลายชนิด ซึ่งสาเหตุของแต่ละชนิดก็แตกต่างกันออกไป ดังนั้นวิธีการรักษาของแต่ละชนิดจึงไม่เหมือนกัน ในวงการแพทย์แผนจีนเรียกสิ่งนี้ว่าความแตกต่างของกลุ่มอาการและการรักษา…”

“เธอจะต้องจำไว้ว่าความแตกต่างของกลุ่มอาการและการรักษาคือจุดเด่นของแพทย์แผนจีน! ถ้าเธออยากจะรักษาโรคให้คนไข้ ก่อนอื่นเธอจะต้องเรียนรู้ทฤษฎีต่าง ๆ และปูพื้นฐานให้แน่น ด้วยวิธีนี้ เธอจะสามารถรักษาคนไข้ได้เร็วและดีที่สุด”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูเย่ก็พยักหน้า

เขาลอบถอนหายใจในใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเส้นทางแห่งการรักษาอย่างฉับไวจะใช้ไม่ได้เสียแล้ว สุดท้ายเขาก็คงต้องหาทางอื่น

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้า หลี่เคอหมิงก็รู้สึกใจชื้นขึ้น ซูเย่คือคนที่มีความพรสวรรค์ในด้านแพทย์แผนจีนที่สุดที่เขาเคยเจอมา ดังนั้นเขาจึงกลัวเป็นอย่างมากว่าอีกฝ่ายจะเดินผิดทาง

ยิ่งเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องอยู่กับความเป็นจริงมากเท่านั้น มิเช่นนั้นพรสวรรค์ที่มีก็คงจะเสียเปล่า!

เวลานี้ คนไข้รายแรกของรอบบ่ายก็เดินเข้ามาภายในศูนย์แพทย์

เมื่อเห็นว่าคนไข้มาแล้ว หลี่เคอหมิงก็กล่าวว่า

“ตอนที่ตรวจคนไข้ เดี๋ยวอาจารย์จะอธิบายให้เธอฟังอย่างละเอียด ตั้งใจฟังให้ดี”

ซูเย่ที่ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าอย่างตั้งใจ

เวลานี้ คนไข้คนแรกซึ่งเป็นชายวัยกลางคนได้มานั่งรอพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายถอนหายใจออกมาและกล่าวว่า “หมอครับ ช่วยผมที โรคนี้มันทรมานผมมากจริง ๆ”

ซูเย่มองผู้ป่วยตรงหน้า ใบหน้าของคนไข้ซีดเซียว เขาจึงเริ่มวัดชีพจรของอีกฝ่ายในทันที

“ชีพจรเต้นช้าและแผ่วมากครับ”

จากนั้นจึงดูฝ้าบนลิ้นอีกครั้ง

“ฝ้าบนลิ้นของเขาบางแล้วก็ซีด”

หลี่เคอหมิงมองหน้าคนไข้และถามว่า “ไม่ทราบว่าคนไข้เป็นอะไรมาครับ?”

“ทางโรงพยาบาลบอกว่าผมเป็นภาวะไขกระดูกฝ่อครับ”

คนตรงหน้าถอนหายใจออกมาและพูดต่อ “หลังจากเข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลมาหนึ่งเดือน อาการก็ยังไม่ดีขึ้น พอออกจากโรงพยาบาลมาก็มีอาการเลือดกำเดาไหลครับ”

“แล้วก็มีอาหารเป็นพิษก่อนหน้านี้ครับ ถ่ายเป็นเลือด แต่ก็รักษาจนหายดีแล้ว แต่จู่ ๆ ขาทั้งสองข้างของผมก็เริ่มมีรอยที่ดูเหมือนรอยช้ำสีม่วงเป็นจ้ำ ๆ”

ขณะที่พูด ชายวัยกลางคนก็ถกขากางเกงของตัวเองขึ้นและยื่นขาออกมา

บนขาของเขามีรอยจ้ำสีม่วงที่มีขนาดเท่าไข่ไก่สองรอยปรากฏอยู่

หลี่เคอหมิงพยักหน้าเบา ๆ หลังจากที่เห็นมัน

“ผมเริ่มเลือดกำเดาไหลบ่อยขึ้น มือกับเท้ารู้สึกเย็นอย่างอธิบายไม่ถูก จิตใจผมย่ำแย่มากเลยครับตอนนี้”

“ถ่ายเป็นยังไงครับ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]