เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] นิยาย บท 62

บทที่ 62 ความคิด ชีวิต โลก

“ทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ชีวิตของฉันยังจะมีความหมายอะไรอีก?”

“อีก 100 ปีหลังจากนี้ เพื่อนสนิททุกคนของเราในปัจจุบันก็คงตายกันไปหมด แล้วการมีชีวิตอยู่ยืนยาวจะมีความหมายอะไร?”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ยกขวดสุราขึ้นดื่มอีกครั้ง

ดวงตาของเขาพร่ามัวด้วยความสับสน

ลมภูเขาที่โชยพัดผ่านแผ่วเบา

บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในความเงียบ

ซูเย่นั่งมองอาคารบ้านเรือนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เช่นเดียวกับท้องถนนซึ่งเต็มไปด้วยรถยนต์สัญจรอยู่มากมาย

ในที่สุด ดวงตาของเขาก็เป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมา

ซูเย่ยกขวดสุราขึ้นกระดกอีกครั้ง

ก่อนที่จะพบว่าของเหลวที่อยู่ในนั้นหมดเกลี้ยงแล้ว

เขาจึงลุกขึ้นยืน และหยิบสุราอีกขวดมาเปิดฝาออก

“คำนับปฐพี”

เขาเทสุราราดรดพื้นดิน

แล้วจึงยกสุราขึ้นดื่มหนึ่งอึก

แววตาของเขายิ่งเป็นประกายสว่างไสวมากขึ้น

“คำนับบรรพบุรุษ!”

ชายหนุ่มสาดสุราขึ้นไปในอากาศ

ก่อนที่เขาจะเงยหน้าดื่มสุราจากขวดอีกครั้ง

จิตใจของซูเย่เริ่มกลับมาอยู่ภายใต้ความสงบดังเดิม

“คำนับตัวเราเอง!”

เขายกสุราขึ้นดื่มจนหมดขวด

ในที่สุด ความเศร้าที่กัดกินจิตใจก็สลายหายไป

นี่คือวิธีการที่ซูเย่ใช้ผ่านความทุกข์ยากตลอดเวลา 2500 ปี

เวลาสองพันห้าร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว ซูเย่เข้าใจมาตลอดว่าตนเองไม่มีความรู้สึกอื่นใดอีกแล้ว แต่สุดท้าย ชายหนุ่มถึงได้ตระหนักว่าอย่างไรเสียเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง

“ไหน ๆ ก็อยู่มาถึง 2500 ปีแล้ว อยู่ต่ออีกหน่อยจะเป็นไรไป”

“ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ เพื่อน ๆ และคนที่เรารักทุกคนจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ว่าเกิดอุปสรรคใดขึ้นก็ตาม เราก็ต้องเอาชนะมันไปให้ได้!”

ซูเย่กำชับกับตนเองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาของเขาเป็นประกายเจิดจ้า!

เขาโยนความเศร้าโศก และความวิตกกังวลทิ้งไว้บนยอดเขาลูกนี้

แล้วเดินกลับลงมาจากภูเขา มุ่งหน้าตรงไปสู่มหาวิทยาลัย

แต่จังหวะที่ลงมาถึงเชิงเขานั้นเอง ซูเย่พลันต้องหยุดชะงักอย่างกะทันหัน

“เมื่อกี้นี้มันอะไรกันนะ?”

ชายหนุ่มหันหน้าไปมองยังทิศทางตรงกันข้าม แล้วเขาก็พบว่าพื้นที่ตรงนั้นมีรัศมีผิดปกติกำลังส่องแสงสว่างเรืองรอง

ในราชวังแห่งความทรงจำ

ซูเย่ปลดปล่อยพลังจิตของตนเองออกมาชั่วคราว

แล้วคลื่นพลังจิตอันแรงกล้าก็แผ่ออกไปสำรวจรอบบริเวณในวินาทีต่อมา

ก็สามารถตรวจพบที่มาของรัศมีปริศนานั้นได้ไม่ยาก

เรื่องที่ว่าต้นโซวูเก่าแก่มักขึ้นอยู่ตามภูเขาคงไม่ใช่เรื่องโกหกสินะ

ซูเย่หัวใจกระตุกวูบ

เขารีบเดินตรงไปยังต้นกำเนิดแหล่งพลังงานนั้นโดยเร็ว

แต่เมื่อไปถึงพื้นที่ซึ่งเป็นจุดหมาย

ชายหนุ่มก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง

เพราะว่าพลังงานที่แผ่ออกมาเมื่อสักครู่นี้ได้หายลับไปแล้ว

“เบิกเนตรสวรรค์!”

ซูเย่ส่งเสียงคำรามในลำคอแผ่วเบา พร้อมกันนั้นมวลพลังสายหนึ่งก็หมุนเวียนอยู่บนหน้าผาก

ตรงกลางระหว่างหัวคิ้วทั้งสองข้าง

บังเกิดลำแสงสว่างไสว

แล้วดวงตาที่สามของชายหนุ่มก็เปิดออกทันที

ภาพทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ซูเย่ใช้ตาพิเศษสำรวจพื้นที่โดยรอบบริเวณเชิงเขาทั้งหมด

ในไม่ช้า ชายหนุ่มก็พบเห็นสิ่งผิดปกติ

ฝั่งหนึ่งของบริเวณตีนเขา มีม่านพลังกึ่งโปร่งแสงกำลังลอยออกมาจากต้นไม้ต้นหนึ่ง

“ต้นวอลนัท?”

เมื่อพบเห็นว่าเป็นต้นไม้ชนิดใด ซูเย่ก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจขึ้นมาทันที

เขากระโดดเข้าไปหาต้นไม้ต้นนั้น และพบว่านี่เป็นต้นวอลนัทตามที่คิดจริง ๆ

ม่านพลังกึ่งโปร่งแสงหมุนวนอยู่รอบบริเวณต้นไม้ ห่อหุ้มเป็นชั้นเปลือกนอก เสมือนกับหัวกะหล่ำที่เคยถูกปลูกอยู่บนระเบียงห้องพักของเขา

“นี่แกก็ดูดซับพลังปราณธรรมชาติเข้าไปเหมือนกันใช่ไหม?”

ซูเย่ถามด้วยความตกตะลึง

การที่หัวกะหล่ำจะดูดซับพลังปราณธรรมชาติเข้าไปไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะซูเย่ต้องโคจรพลังเพื่อดูดซับมันทุกวันอยู่แล้ว กะหล่ำหัวนั้นจึงพลอยดูดซับพลังเข้าไปด้วยโดยอัตโนมัติ

แต่ต้นวอลนัทต้นนี้ตั้งอยู่ในภูเขาห่างไกลผู้คน ทว่ามันกลับสามารถดูดซับพลังปราณธรรมชาติได้ด้วยตนเอง นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง

“น่าจะเอาไปใช้ทำเป็นยาได้เหมือนกันแฮะ”

ซูเย่มองต้นวอลนัทที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์

ปรากฏว่าหนึ่งในวัตถุดิบสำหรับการหลอมโอสถเสริมปราณที่เขาต้องการนั้น ก็มีวอลนัทเป็นส่วนประกอบสำคัญเช่นกัน และถ้าเก็บลูกวอลนัทไปจากต้นไม้ต้นนี้ มันก็คงมีคุณภาพดีกว่าลูกวอลนัทที่ซื้อมาจากท้องตลาดทั่วไป

การพบเจอครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเสียแล้ว

ชายหนุ่มเดินเข้าไปสำรวจดูอย่างใกล้ชิด

“อีกประมาณอาทิตย์หนึ่งก็สุกได้ที่แล้ว”

“ถึงตอนนั้นเราค่อยกลับมาเก็บดีกว่า”

ว่าแล้วเขาก็จดจำตำแหน่งของต้นวอลนัทต้นนี้ให้ขึ้นใจ จากนั้นจึงหันหน้าไปสำรวจมองพื้นที่ข้างเคียงอีกครั้ง

“ขนาดต้นวอลนัทยังดูดซับพลังปราณธรรมชาติได้สำเร็จ แถวนี้มันก็น่าจะมีต้นโซวูเก่าแก่อยู่บ้างสิ”

“คงต้องหาเวลากลับมาสำรวจป่าแถวนี้อีกสักครั้ง”

พูดจบ ชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินจากไป

การดื่มสุราก่อนหน้านี้ไม่ส่งผลต่อสติสัมปชัญญะของซูเย่แม้แต่น้อย เมื่อกลับมาถึงหอพัก เขาก็เริ่มต้นอ่านตำราแพทย์แผนจีนอย่างบ้าคลั่ง

เนื่องจากยังคงเหลือเวลาอยู่ไม่น้อยก่อนที่จะเริ่มเล่นเกมประจำคืนนี้ จินฟานกับซูชือจึงมานั่งทบทวนตำราเรียนเป็นเพื่อนซูเย่

ถึงแม้ทั้งสองหนุ่มอยากเล่นเกมใจจะขาด แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ลืมเลือนหน้าที่ของการเป็นนักศึกษาคณะวิจัยสมุนไพรจีน

ในเวลาเดียวกันนี้

ทีมสืบสวน 5 คนซึ่งนำโดยเจ้าหน้าที่หมายเลข 197 หวังเหา ได้ปรากฏตัวขึ้นในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง

ครั้งนี้ พวกเขามาสืบสวนอย่างเป็นทางการ เพื่อตรวจสอบข้อมูลของผู้ครอบครองหมวก VR ทุกคนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้

เมื่อมีตำแหน่งก็ต้องใช้ให้คุ้มค่า!

ณ ห้องทำงานบนชั้นสองของตึกสำนักงาน ฝั่งตรงข้ามของถนนย่านการค้า

“จากข้อมูลที่พวกเราสืบสวนได้มาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าคนที่ขโมยหมวก VR ไปจะไม่ใช่คนเลว”

หวังเหาพูดออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ “แต่ถึงจะเป็นคนดีแค่ไหน เราก็ต้องหาตัวเขาให้เจอ! ต้องไม่ลืมว่าพวกเราเป็นหน่วยสืบสวนผู้ใช้พลังปราณ ในเมื่อเขามีเจตนาฝึกวิทยายุทธ์ ก็ต้องลงทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย ใครฝ่าฝืนกฎระเบียบข้อนี้ จะต้องถูกจับกุมโดยทันที!”

บรรดาลูกน้องพยักหน้ารับทราบ

ผู้ใช้พลังปราณที่ไม่ยอมขึ้นทะเบียนกับทางราชการ จะถูกนับว่าเป็นภัยคุกคามต่อประเทศชาติ

“ส่วนปัญหาที่เรากำลังพบเจออยู่ก็คือ”

หวังเหายกมือขึ้นนวดขมับตนเองด้วยความหมดหวัง “เราตรวจไม่พบรอยนิ้วมืออยู่บนกระดาษข้อความ แต่ลายมือเหล่านั้นบอกชัดว่าน่าจะเป็นคนที่มีการศึกษาสูงส่ง ไม่น่าใช่นักศึกษาธรรมดาทั่วไป”

“มิหนำซ้ำ เขายังดัดแปลงหมวก VR ในแบบฉบับของตัวเอง เราจึงยังไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นใครกันแน่ เรารู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาใช้นามแฝงในเกมชื่อ X”

“ตอนนี้ X ขึ้นมาถึงเลเวล 20 แล้ว เท่ากับว่าเขาเป็นผู้ใช้พลังปราณระดับที่ 1 โดยไม่ขึ้นทะเบียน ดังนั้น เราต้องหาตัวเขาให้เจอโดยเร็วที่สุด!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]