บทที่ 64 เด็กคนนี้เรียนรู้ได้รวดเร็วเกินไปหรือเปล่า
หลี่เคอหมิงข่มความรู้สึกสงสัยในจิตใจ และรีบเขียนใบสั่งยาให้แก่ชายชราผู้เป็นคนไข้
เมื่อชายชรารับยากลับไปแล้ว หลี่เคอหมิงก็อดหันกลับมาซักถามซูเย่อีกครั้งไม่ได้ “เธอรู้วิธีรักษาอาการหอบหืดกำเริบได้ยังไง? เท่าที่จำได้ ฉันยังไม่เคยสอนเธอเลยนะ?”
“ผมอ่านเจอตอนทบทวนตำราน่ะครับ”
“เธออ่านทวนกี่รอบ?”
“นับครั้งไม่ถ้วนครับ”
ซูเย่กล่าวเสริมว่า “แล้วผมก็คอยสังเกตดูอาจารย์ตอนรักษาคนไข้ด้วย”
“หืม?”
หลี่เคอหมิงได้ยินดังนั้นก็ยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม
เขาไม่แปลกใจที่ซูเย่จะชื่นชอบการอ่านทบทวนตำราทางการแพทย์ แต่ผู้เป็นอาจารย์แปลกใจที่ชายหนุ่มสามารถนำความรู้ในตำราเหล่านั้นมาปรับใช้กับโลกแห่งความจริงได้อย่างชำนาญ
ซูเย่ไม่ใช่พวกที่ดีแต่ท่องตำรา
การนำความรู้ในตำราออกมาใช้งานให้เกิดประโยชน์ในโลกแห่งความเป็นจริง คือพรสวรรค์ที่นักศึกษาไม่ได้มีกันทุกคน
ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าซูเย่มีความสามารถในการวิเคราะห์ และสรุปความได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย
หลี่เคอหมิงต้องพยายามรักษาสีหน้าเคร่งขรึมของตนเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ในขณะที่กล่าวกับชายหนุ่มต่อไปว่า “เธอยังไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ จะเที่ยวรักษาคนไข้ตามอำเภอใจแบบนี้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าการวินิจฉัยของเธอจะแม่นยำมากก็ตาม แต่ครั้งต่อไปเธออาจจะไม่ได้โชคดีแบบนี้ คราวหน้าคราวหลังเวลาจะทำอะไร ขอให้เธอคิดอย่างละเอียดรอบคอบมากกว่านี้”
ซูเย่พยักหน้ารับทราบ ก่อนสอบถามกลับไปว่า “ถ้าอย่างนั้น เวลาผมเจอเหตุการณ์ฉุกเฉินเฉพาะหน้า ผมควรทำยังไงดีครับ?”
เมื่อถูกย้อนศรถามกลับมาเช่นนั้น หลี่เคอหมิงก็ไม่รู้จะให้คำตอบอย่างไรเช่นกัน
เขาทำได้เพียงยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น
“เธอก็ต้องทำเรื่องที่สมควรทำนั่นแหละนะ”
แค่พูดจบเท่านั้น
ผู้ป่วยคนใหม่ก็เดินเข้ามาในศูนย์การแพทย์พอดี
เมื่อเห็นผู้ป่วยกำลังเดินตรงมาที่พวกของตนเอง หลี่เคอหมิงที่กำลังจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการวินิจฉัยกลับหยุดชะงักไปเล็กน้อย
“ครั้งนี้ฉันจะให้เธอลองวินิจฉัยก่อน ทำตามขั้นตอนทุกอย่างที่เธออยากทำได้เลย ฉันจะคอยจับตามองอย่างใกล้ชิดเอง”
“ไม่ว่าจะเป็นอาการของโรค วิธีการรักษา การเขียนใบสั่งยา เธอสามารถทำทุกอย่างได้เต็มที่ ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งนั้น!”
ที่ด้านข้าง
หลี่ชินเอ้อมองหน้าหลี่เคอหมิงด้วยความประหลาดใจสุดขีด
นี่มันไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือไง พ่อของเธอจะให้ซูเย่ได้ลองรักษาคนไข้จริง ๆ แล้วหรือ?
ต่อให้เป็นนักศึกษาจากคณะแพทย์แผนจีนโดยตรง กว่าจะได้รับโอกาสนี้ ก็ต้องตั้งใจเรียนอย่างหนักไม่ต่ำกว่าครึ่งปี
แล้วซูเย่เพิ่งจะมาเรียนพิเศษได้แค่ไม่กี่สัปดาห์เองนะ?
“ได้เลยครับ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย
นั่นเป็นเพราะซูเย่รู้ดีว่านี่คือโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง คงมีเพียงไม่กี่ครั้งที่หลี่เคอหมิงจะยอมลดตัวลงมาเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ ดังนั้น เขาจึงปฏิเสธโอกาสครั้งนี้ไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อผู้ป่วยมานั่งประจำที่เบื้องหน้าโต๊ะตรวจเรียบร้อยแล้ว การวินิจฉัยโรคก็เริ่มต้นขึ้นทันที
“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคนไข้เป็นอะไรมาเหรอครับ?”
ซูเย่เป็นฝ่ายถามไถ่อาการก่อน
“ผมรู้สึกปวดหัวครับหมอ ช่วงหลังมีอาการกล้ามเนื้อกระตุก แล้วก็ครั่นเนื้อครั่นตัวด้วย”
คนไข้อธิบายอาการของตนเองด้วยใบหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวด “อ้อ นอกจากนี้ยังมีอาการหูอื้อตาลาย เจ็บหน้าอกจนกลางคืนก็นอนไม่ค่อยหลับด้วยครับ”
ซูเย่พยักหน้าพร้อมกับเริ่มจับชีพจร
“ชีพจรแข็งนะครับ”
“ช่วยอ้าปากให้หมอดูลิ้นหน่อยสิครับ”
“ลิ้นสีแดงมีฝ้าเหลืองเกาะอยู่เล็กน้อย”
เมื่อวินิจฉัยตามกระบวนการแพทย์แผนจีนเสร็จแล้ว ซูเย่ก็สรุปออกมาได้ว่า “ร่างกายขาดสมดุลเพราะมีความร้อนมากเกินไป”
คนไข้มีสีหน้าไม่เข้าใจ
หลี่เคอหมิงที่รับฟังอยู่ด้านข้างพยักหน้าให้ชายหนุ่มวินิจฉัยต่อ
“เราควรเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับคนไข้ ซึ่งในกรณีนี้ ผมว่าเราควรบำรุงให้ตับของเขามีความเย็นมากขึ้น เพื่อสะกดกลั้นความร้อนที่ไหลทะลักออกมา มันจะช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้น บรรเทาอาการปวดเมื่อยเนื้อตัว เช่นเดียวกับอาการแน่นหน้าอกครับ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]