บทที่ 65 เงื่อนไขในการยอมรับลูกศิษย์คนใหม่
ณ ย่านที่พักอาศัยในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง
“ติ๊งหน่อง ติ๊งหน่อง ติ๊งหน่อง…”
อาจารย์หลี่กดออดหน้าประตูบ้านพักหลังหนึ่งสามครั้งซ้อนด้วยความตื่นเต้น
ที่นี่คือบ้านพักของปรมาจารย์แห่งวงการแพทย์แผนจีน
“นั่นใครน่ะ?”
ประตูเปิดออก
ผู้ยืนอยู่ด้านหลังประตูเป็นชายวัยกลางคน แต่งกายภูมิฐาน ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
ชายผู้นี้คือหยางเหวินป๋อ ผู้เป็นคณบดีของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง
“ที่แท้ก็อาจารย์หลี่นี่เอง”
หยางเหวินป๋อขยับตัวออกจากกรอบประตูเพื่อให้หลี่เคอหมิงได้เดินเข้าไป
“นี่คุณมาอีกแล้วหรือ?”
หลี่เคอหมิงพูดกับหยางเหวินป๋อในขณะที่เดินเข้าไปด้านในบ้านพัก
ผู้เป็นคณบดีจะสามารถตอบคำใดได้อีก? ก็ในเมื่อปรมาจารย์ท่านนี้มีความสามารถสูงส่ง แต่ไม่ค่อยชอบพบปะสังสรรค์ผู้คนสักเท่าไหร่ หยางเหวินป๋อจึงต้องเสนอหน้ามาหาด้วยตัวเอง เพื่อขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์ฮั่วถึงที่เช่นนี้แหละ
และเพราะขยันมาเข้าพบอาจารย์ฮั่วเป็นประจำ ชื่อเสียงของหยางเหวินป๋อจึงแผ่กระจายในวงการแพทย์แผนจีน ในฐานะคนสนิทของฮั่วเหรินเซิงไปโดยปริยาย
ด้วยเหตุนั้น สถานะของหยางเหวินป๋อจึงถูกยกย่องให้สูงส่งมากขึ้น
นี่แหละนะความทะเยอทะยานของมนุษย์!
นั่นคือความคิดของหลี่เคอหมิงที่มีต่อคณบดีผู้กำลังยืนส่งยิ้มให้เขาอย่างจอมปลอม
“ฮ่าฮ่า…”
สุดท้าย หยางเหวินป๋อก็ได้แต่หัวเราะตอบกลับมา
เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปสู่ด้านในตัวบ้านพัก หลี่เคอหมิงพบว่าอาจารย์ฮั่วเหรินเซิงกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น
เขาเป็นชายชรารูปร่างผอมแห้ง แต่ยังดูกระฉับกระเฉง
แม้ว่าจะมีอายุได้ 85 ปีแล้ว แต่ฮั่วเหรินเซิงกลับดูไม่เหมือนคนที่มีอายุ 85 แม้แต่น้อย เขาเหมือนเป็นเพียงชายวัยกลางคนที่ร่างกายแข็งแรงมากกว่า
สีหน้าเรียบเฉยดูเย็นชา ปราศจากความยินดียินร้าย ฮั่วเหรินเซิงมักจะตอบรับทุกคนด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเสมอ
“อาจารย์ครับ”
หลี่เคอหมิงเดินเข้าไปประสานมือคำนับฮั่วเหรินเซิง…
“ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงก่อนเถอะ”
ฮั่วเหรินเซิงพยักหน้าทักทายหลี่เคอหมิงด้วยรอยยิ้มพร้อมกับผายมือให้อีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ด้านตรงข้าม
“เธอมาที่นี่ก็ดีแล้ว ฉันได้แต่อยู่เฉย ๆ ไม่มีงานทำ รู้สึกเหมือนกำลังถูกกักบริเวณยังไงไม่รู้”
“อาจารย์ฮั่ว อย่าพูดแบบนั้นสิครับ”
หยางเหวินป๋อรีบยกกาน้ำชาขึ้นมาเทน้ำชาใส่ถ้วยด้วยความชำนาญ รอยยิ้มประจบประแจงปรากฏอยู่บนใบหน้าเมื่อเขายื่นถ้วยน้ำชามาให้หลี่เคอหมิง “อาจารย์คือยอดปรมาจารย์ในวงการแพทย์แผนจีน เป็นสมาชิกทรงคุณค่าของมหาวิทยาลัยของเรา และเพื่อให้อาจารย์มีร่างกายที่แข็งแรงอยู่เสมอ ผมจะปล่อยให้อาจารย์ทำงานหนักได้อย่างไรล่ะครับ”
“นี่เธอไม่รู้หรือว่าฉันแข็งแรงขนาดไหน?”
ฮั่วเหรินเซิงยิ้มตอบกลับไปพอเป็นพิธี
หยางเหวินป๋อได้ยินดังนั้นก็รีบปั้นสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที “แต่ถ้าอาจารย์รู้สึกเบื่อล่ะก็ ลองรับผมเป็นลูกศิษย์เพิ่มอีกสักคนไหมล่ะครับ?”
“ฉันแก่จนปูนนี้แล้ว เลิกคิดเรื่องรับลูกศิษย์คนใหม่มานานแล้วล่ะ”
ฮั่วเหรินเซิงส่ายหน้าปฏิเสธโดยเร็ว
หยางเหวินป๋อไม่ได้แสดงความผิดหวัง เพราะนี่คือประโยคปฏิเสธที่เขาคุ้นชินแล้วจากชายชราผู้นี้
หยางเหวินป๋อมีความต้องการที่จะฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของฮั่วเหรินเซิงมาเป็นเวลานานแล้ว ผู้มีตำแหน่งเป็นคณบดีถึงกับปฏิญาณตนว่าหากอาจารย์ฮั่วไม่ยอมรับเขาเป็นลูกศิษย์ หยางเหวินป๋อก็จะไม่ขอเป็นลูกศิษย์ใครอีกทั้งนั้น!
“อาจารย์น่าจะลองเปลี่ยนความคิดดูนะครับ”
หลี่เคอหมิงพลันแทรกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ฮั่วเหรินเซิง และหยางเหวินป๋อถึงกับชะงักไปทันที
โดยเฉพาะผู้เป็นคณบดีที่เบิกตาโตด้วยความดีใจ นี่หลี่เคอหมิงผู้ที่ไม่ค่อยลงรอยกับเขาสักเท่าไหร่ ถึงกับเอ่ยปากช่วยเหลือเขาแล้วอย่างนั้นหรือ
สีหน้าของบุรุษต่างวัยทั้งสองคนบ่งบอกได้ถึงความประหลาดใจเด่นชัด
หลี่เคอหมิงสบตามองผู้เป็นอาจารย์ของตนเอง และอธิบายว่า “อาจารย์ครับ เด็กใหม่ปีนี้ในมหาวิทยาลัยของเรา ผมพบว่ามีอัจฉริยะคนใหม่ได้กำเนิดขึ้นแล้วล่ะครับ!”
“ผมสอนพิเศษเขาเพียงแค่ 7 ครั้ง เริ่มจากให้ตรวจอาการขั้นพื้นฐาน ไล่เรื่อยมาจนถึงเรื่องการเขียนใบสั่งยา และในเวลาที่รวดเร็วเพียงไม่กี่สัปดาห์ ถึงเขาไม่ได้มาจากคณะแพทย์แผนจีนโดยตรง แต่เด็กคนนี้ก็สามารถทำทุกอย่างที่ผมว่ามาได้ดีไม่มีข้อผิดพลาด แถมบ่ายวันนี้ เขายังช่วยรักษาผู้ป่วยโรคหอบหืดกำเริบระดับรุนแรงได้อีกด้วยครับ!”
“เป็นไปไม่ได้!”
หยางเหวินป๋อสะบัดหน้าส่ายศีรษะด้วยความไม่อยากเชื่อ “ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหน แต่เพิ่งมาเรียนพิเศษได้แค่ 7 ครั้งเนี่ยนะ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก!”
“คณบดีหยาง คุณคิดว่าคนอย่างผมจะโกหกรึ?”
หลี่เคอหมิงพูดเสียงเข้ม “ทุกคำพูดของผมเป็นความจริงทุกประการ ผมเพิ่งจะสอนเขาได้แค่ 7 ครั้งเท่านั้นจริง ๆ!”
“ในมหาวิทยาลัยของเรา ผมไม่เคยเห็นใครเก่งกาจรอบด้านเหมือนเด็กคนนี้มาก่อน นอกจากมีปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศแล้ว เขายังมีความทรงจำดีเยี่ยมชนิดหาตัวจับยาก!”
“พอได้มาพบเจออัจฉริยะตัวจริงแบบนี้เข้าไป ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองไม่มีอะไรจะสอนเขาอีกแล้ว”
ปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศ ความทรงจำที่ดีเยี่ยม?
ในดวงตาของฮั่วเหรินเซิงเป็นประกายระยิบระยับ
“เธอรู้ว่าตัวเองสอนไม่ได้ แล้วจะมาหาฉันทำไม? เรื่องนี้ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับฉันสักหน่อย”
“อาจารย์ครับ”
หลี่เคอหมิงสูดหายใจลึก มองหน้าฮั่วเหรินเซิง และในที่สุดก็บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายให้ผู้เป็นอาจารย์ฟังอย่างละเอียด “ทำไมอาจารย์ไม่ลองรับเขาเป็นลูกศิษย์คนใหม่ดูล่ะครับ?”
เมื่อประโยคนี้ถูกพูดออกมา ฮั่วเหรินเซิงกับหยางเหวินป๋อต่างก็ถึงกับต้องชะงักงันไปอีกครั้ง
ฮั่วเหรินเซิงไม่คิดเลยว่าลูกศิษย์ของตนเองจะเป็นคนโน้มน้าวให้เขารับลูกศิษย์คนใหม่
หยางเหวินป๋อก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าอาจารย์หลี่นอกจากไม่ช่วยพูดให้เขาแล้ว กลับนำคนอื่นมาเสนอตัวเป็นลูกศิษย์ของฮั่วเหรินเซิงเสียอย่างนั้น!
หลี่เคอหมิงรีบอธิบายต่ออย่างรวดเร็วว่า
“อาจารย์ครับ การรับลูกศิษย์คนใหม่เป็นเรื่องที่ดีนะครับ นอกจากอาจารย์จะไม่ต้องทนเบื่ออยู่บ้านเฉย ๆ แล้ว ยังได้พบกับยอดอัจฉริยะของคนรุ่นใหม่ ถ้าอาจารย์ฝึกฝนเขาให้ดี ผมมั่นใจว่าในอนาคตข้างหน้า เขาต้องเป็นบุคลากรคนสำคัญในวงการแพทย์แผนจีนแน่ ๆ ครับ”
“ถ้าอาจารย์คิดจะรับลูกศิษย์คนใหม่ แทนที่จะรับคนเดียว ผมว่ารับพร้อมกันสองคนเลยก็ได้นะครับ หยางเหวินป๋อคนนี้สาบานว่าจะตั้งใจเรียนแน่นอนครับ”
“เรื่องนั้นน่ะลืมมันไปเถอะ”
อาจารย์ฮั่วหันไปส่งยิ้มให้แก่หยางเหวินป๋อพร้อมกับส่ายศีรษะปฏิเสธ “เธออายุอานามตั้งเท่าไหร่แล้ว อยากจะมีสถานะเป็นศิษย์น้องของเด็กรุ่นลูกหรือไง”
“ไม่เป็นไรเลยครับ!”
หยางเหวินป๋อพยายามรักษารอยยิ้มให้อยู่บนใบหน้าดังเดิม “ไม่ว่าใครจะเป็นพี่ ใครจะเป็นน้อง ผมก็ไม่มีปัญหาทั้งนั้น”
ฮั่วเหรินเซิงไม่ได้ให้ความสนใจกับหยางเหวินป๋ออีก แต่เขากำลังใช้เวลาไปกับการขบคิดถึงสิ่งที่หลี่เคอหมิงพูดออกมาเมื่อสักครู่
เด็กคนนั้นเพิ่งมาเรียนพิเศษได้เพียง 7 ครั้งเท่านั้นหรือ?
ชายชรารู้ดีว่าหลี่เคอหมิงเป็นคนมีฝีมือ และพรสวรรค์ ด้วยเหตุผลนั้นเขาถึงได้รับหลี่เคอหมิงเป็นลูกศิษย์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]