บทที่ 7 เธอไม่คู่ควรกับลูกสาวฉัน เลิกกันเถอะ
ได้พบกับคุณพ่อเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?
ซูเย่หรี่ตาลง มันช่วยไม่ได้หากเขาจะรู้สึกตื่นเต้นและเป็นกังวลเล็กน้อย
การเจอหน้าพ่อแม่ของอีกฝ่ายมักจะเป็นเรื่องยากที่ต้องผ่านไปให้ได้เสมอ
แต่ฉันไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นปุบปับแบบนี้ มันไม่ปกติแล้ว
เขาตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ได้ครับ!”
ซูเย่ขึ้นรถไปตามการชักชวนของอีกฝ่าย รถได้ขับออกจากเขตมหาวิทยาลัยไปยังบ้านพักส่วนตัวสุดหรูหราข้างทะเลสาบใจกลางเมืองจี้หยาง
พวกเขาก้าวลงจากรถ บรรยากาศเงียบสงัด ทิวทัศน์ที่งดงาม และอากาศบริสุทธิ์
ทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้ข้างทะเลสาบ
“เธอไม่คู่ควรกับลูกสาวฉัน เลิกกันเถอะ” ชายวัยกลางคนมองหน้าซูเย่และกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ซูเย่หน้านิ่งไป จากนั้นก็ได้ยิ้มกว้าง
คิดแล้วเชียวว่าเขาไม่ได้มีเจตนาดี!
“คุณรู้จักผมเหรอ?”
ไป๋ผู้พ่อพยักหน้าและกล่าว “ฉันตรวจสอบมาแล้วเมื่อเช้านี้”
“รวมถึงชื่อเสียงที่โด่งดังที่สุด ในฐานะของผู้ฝึกปราณ”
ซูเย่รู้สึกแปลกใจ ไป๋ผู้พ่อเป็นคนธรรมดาที่รู้ถึงการมีอยู่ของผู้ฝึกปราณ …ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ใช่คนธรรมดาเสียทีเดียว!
“แปลกใจเหรอ? ด้วยตำแหน่งของฉันแล้ว เรื่องของผู้ฝึกปราณไม่ใช่เรื่องลับอะไรเลย”
“หากคิดว่าการที่เป็นผู้ฝึกปราณและเป็นลูกรักสวรรค์แล้วจะคู่ควรกับลูกสาวฉันล่ะก็ เธอคิดตื้นเกินไป”
“รู้หรือเปล่าว่าเหล่าเศรษฐีคิดอย่างไรกับผู้ฝึกปราณ” ไป๋ผู้พ่อถามด้วยรอยยิ้ม
“ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับ” ซูเย่ยิ้มตอบ
“แรกเริ่มพวกเขาก็รู้สึกกลัว แต่ภายหลังก็พบว่าพวกเธอทำอะไรคนธรรมดาไม่ได้ และมันก็ไม่สำคัญด้วย ในสายตาของพวกเขา ผู้ฝึกปราณก็แค่พวกเห็นแก่ตัว”
รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋ผู้พ่อกลายเป็นการเยาะเย้ย “สิ่งที่พวกเธอทำ การต่อสู้ที่แลกมาด้วยชีวิต สุดท้ายก็ทำเพื่อเงิน ดังนั้นมันก็เหมือนกับมาอยู่ในกำมือและเป็นของเล่นเศรษฐี แน่นอนว่ารวมฉันด้วย”
ซูเย่ยังคงยิ้มอยู่และถามกลับ “คุณเข้าใจว่าเป็นแบบนั้นเหรอครับ?”
“ใช่ ฉันเองก็มีฐานะ ถ้าเธออยากจะตรวจสอบดูก็ได้” ไป๋ผู้พ่อนั่งเอนหลังและมองซูเย่อย่างเหยียดหยาม
รอยยิ้มบนใบหน้าซูเย่ได้หายไป และกล่าวขึ้นอย่างจริงจังว่า “คุณเข้าใจผิดแล้ว”
“ตั้งแต่เมื่อไรที่พวกเราใช้พลังเพื่อเงิน?”
“ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ยอมแลกชีวิตกับเงินหรอก สิ่งที่พวกเราต้องการคือการเพิ่มความแข็งแกร่ง และหากมีพลังมากเท่าไรก็ยิ่งมีความรับผิดชอบมากขึ้น”
“คุณคงไม่ได้คิดว่าเราต่อสู้เพื่อตัวเองอย่างเดียวใช่ไหม?”
“ผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงไม่ใช่ผู้เห็นแก่ตัว พวกเราทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อผู้คนนับล้าน ไม่ใช่เพื่อเศรษฐีไม่กี่คน”
“ไม่ใช่แค่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ แต่ทั้งทหาร ครูบาอาจารย์ และผู้คนอีกมากมายที่ทำเพื่อประเทศชาติ”
“พวกเศรษฐีก็เป็นแค่คนที่โชคดีในกลุ่มของคนนับพันล้าน”
“ถูกต้องแล้ว ฉันนับถือเธอเป็นอย่างมาก” ไป๋ผู้พ่อปรบมือชื่นชม แต่ยังคงถามต่ออย่างไร้อารมณ์ “แล้วมันเป็นอย่างไรเหรอ? ฉันพูดความจริง ผู้ที่ได้ใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน มีจุดยืนที่สูงส่ง ก็ยังคงเป็นเหล่าเศรษฐีที่มีจำนวนไม่กี่คน พวกเขาได้ดื่มด่ำกับชีวิตในแบบที่เธอไม่คิดไม่ฝัน”
“จะยั่งยืนแค่ไหนเชียว? ยาวนานเท่าไรถึงจะเรียกว่าความสุข? แล้วจะมีประโยชน์อะไรต่อบ้านเมืองบ้าง?”
ซูเย่มองดูสายลมและคลื่นน้ำในทะเลสาบ แล้วกล่าวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม “ผู้คนตามหาทรัพย์สินเหมือนสัตว์ตามหาอาหาร ถ้าทำเพื่อเงินอย่างเดียวจะต่างอะไรกับสัตว์ เป็นได้แค่เพียงทาสของเงิน”
“เปรียบได้เหมือนกับยอดคลื่น อยู่ในจุดที่สูงสุดได้เพียงชั่วคราว และแล้วก็หายไปจากประวัติศาสตร์”
“พุทธศาสนากล่าวถึงความไม่เที่ยง แต่ภายในความไม่ยั่งยืนนั้นมีผู้คนมากมายที่ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยใจ สร้างความสงบสุขให้กับประเทศ เสริมสร้างความแข็งแกร่งและรากฐานของชาติให้มั่นคง และสืบทอดต่อกันมาให้ผู้คนในอนาคตมีชีวิตที่สบาย”
“หัวใจของพวกเขานั้นยั่งยืน และคงอยู่คู่ประวัติศาสตร์ไปอย่างยาวนาน”
“เกิดเป็นมนุษย์ทั้งทีก็ควรจะทำอะไรดี ๆ บ้าง ไม่ใช่ทำเพื่อเงินและความสุขส่วนตัวอย่างเดียวใช่ไหมครับ? คุณลุง”
ซูเย่ยิ้มและสบตาไป๋ผู้พ่อ
ภาพของบุคคลในประวัติศาสตร์นับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในหัวของเขา
เขาเคยได้พบเจอกับผู้กล้าและเที่ยงธรรมมาแล้วมากมาย
ฮั่วชวี่ปิ้ง เยว่เฟย……
มีผู้คนนับล้านที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อความสงบของชาติ
นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ควรจะเป็น!
อย่างไรก็ตามไม่ช้าหรือเร็วความตายก็จะมาถึง มันคุ้มค่าที่จะใช้ชีวิตโดยเสียสละให้ผู้อื่น!
มีชีวิตอยู่สักร้อยปีก็เพียงพอแล้ว อย่าโลภไปกว่านี้เลย
มันดูเหมือนเป็นสิ่งที่น่าดื่มด่ำ แต่แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงทาสให้กับทรัพย์สินและวัตถุ
ไป๋ผู้พ่อมองซูเย่ด้วยความแปลกใจ แล้วกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะ “ดูเหมือนเธอจะโดนล้างสมองไปแล้วนะ มีแต่ความกล้าอย่างเดียว ฟังแล้วรู้สึกน่าขำ”
“เมื่อไรที่เธอเข้าสู่สังคมผู้ใหญ่แล้ว เธอจะเข้าใจที่ฉันพูด”
“เมื่อไรที่คุณกลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์ คุณจะเข้าใจที่ผมพูด”
ซูเย่สวนกลับพร้อมรอยยิ้ม “อุดมการณ์ของผมนั้นมีเพียงแค่การได้ทำให้โลกนี้สว่างไสวและอบอุ่นขึ้น”
“เธอยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่สังคมเลย แล้วเธอจะได้รู้ว่ามันโหดร้ายกว่าที่คิดเมื่อเธอเรียนจบ ตอนนี้เธอยังเป็นเพียงนักศึกษา”
ร่องรอยของความผิดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของไป๋ผู้พ่อ “จากบทสนทนาที่ผ่านมา ฉันมั่นใจแล้วว่าเธอไม่คู่ควรกับลูกสาวของฉัน เลิกกันเถอะ”
“แล้วผมต้องเป็นแบบไหนถึงจะคู่ควรเหรอครับ?” ซูเย่เอนหลัง ถามด้วยความสงสัย
“อย่างน้อยก็มีเงินสักพันล้าน ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์” ไป๋ผู้พ่อตอบกลับ
“สุดท้ายก็สนแต่เรื่องเงิน” ซูเย่ยิ้ม
“ลูกสาวฉันเก่งไหม?”
“มากเลยครับ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]