เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] นิยาย บท 71

บทที่ 71 เซ็นสัญญาหนึ่งล้านหยวน

“บ่ายสองไปรอผมที่ศาลานั่งเล่นในมหาลัยก็แล้วกัน เดี๋ยวผมจะคุยรายละเอียดอีกที”

ซูเย่ว่า

“ได้สิ”

หวังป๋อตอบรับอย่างมีความสุข “แล้วเจอกันนะ ฉันจะพาพี่ชายไปด้วย”

เวลา 13:45 น.

ซูเย่เดินมาถึงศาลานั่งเล่นในมหาวิทยาลัย และพบว่าหวังป๋อกับลูกพี่ลูกน้องได้มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“มาแล้วเหรอ” เมื่อเห็นว่าซูเย่มาถึงก่อนเวลานัดหมาย หวังป๋อก็ต้อนรับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนพูดว่า “เดี๋ยวฉันจะเป็นคนทำหน้าที่แนะนำให้ทั้งสองฝ่ายรู้จักกันเองนะ นี่คือพี่ชายฉันที่เป็นเจ้าของร้านอาหาร หวังหงฮัว”

“ส่วนนี่คือซูเย่ครับพี่”

หวังหงฮัวยิ้มแย้มยื่นมือออกมาข้างหน้า จับมือซูเย่เขย่าพร้อมกับกล่าวว่า “ได้ยินว่าน้องซูเย่มีพรสวรรค์สูงส่ง”

ซูเย่เพียงยิ้มตอบกลับไป

หลังจากจัดแจงที่นั่งกันได้เรียบร้อย หวังป๋อก็เข้าสู่ประเด็นการนัดพบในครั้งนี้ทันที “พวกเราล้วนแต่เป็นคนหนุ่มกันทั้งนั้นอย่าพูดจาอ้อมค้อมเหมือนพวกคนแก่เลยนะ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า”

หวังหงฮัวมองหน้าซูเย่ในขณะที่รับช่วงพูดต่อจากน้องชาย “เรื่องกะหล่ำของนาย ฉันไปตรวจสอบดูแล้ว ในท้องตลาดไม่มีที่ไหนขายหัวกะหล่ำคุณภาพสูงแบบของนายเลย แถมรสชาติหัวกะหล่ำของนายก็ยังอร่อยมากกว่าหัวกะหล่ำในท้องตลาดอย่างเทียบกันไม่ติด”

“ฉันขอถามได้ไหมว่านายมีวิธีปลูกชนิดพิเศษใช่หรือเปล่า?”

ซูเย่พยักหน้า

“นายปลูกด้วยวิธีไหน?”

“วิธีที่ผมคิดขึ้นมาเอง”

ซูเย่ตอบรับเสียงเรียบ

หวังป๋อกับหวังหงฮัวได้ยินดังนั้นก็ถึงกับชะงักไปทันที พวกเขาเข้าใจว่าซูเย่มีสูตรการปลูกหัวกะหล่ำชนิดพิเศษที่ถ่ายทอดกันมาในวงศ์ตระกูล แต่ที่ไหนได้ ซูเย่กลับเป็นคนคิดค้นวิธีการปลูกขึ้นมาเอง

ตกลงคณะที่เขาเรียนมันเป็นคณะวิจัยหัวกะหล่ำหรืออย่างไร?

“พูดจริงเหรอ?”

หวังหงฮัวถามด้วยความไม่อยากเชื่อ

“พูดจริงครับ”

ซูเย่ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ถ้าอย่างนั้น เราก็มาพูดกันอย่างตรงไปตรงมาเลยเถอะ ฉันอุตส่าห์มาหานายถึงที่ ก็เพื่ออยากจะถามว่าเรามาร่วมธุรกิจกันได้ไหม?”

หวังหงฮัวพยายามควบคุมไม่ให้ความกระตือรือร้นปรากฏออกมาทางสีหน้ามากเกินไป

“ได้สิครับ”

ซูเย่พยักหน้า และพูดต่อ “แต่กว่าที่หัวกะหล่ำชุดใหม่จะโตเต็มวัย ก็คงอีกเดือนกว่า ๆ ไม่รู้ว่าทางคุณจะรอได้หรือเปล่า”

“อีกเดือนกว่า ๆ เลยเหรอ?”

หวังหงฮัวที่ตอนแรกยิ้มหน้าบานอย่างมีความสุข กลับต้องขมวดคิ้วหน้ายุ่งอีกครั้ง

นานเกินไปหน่อยไหม!

“ขอเร็วกว่านั้นสักนิดได้หรือเปล่า?”

ซูเย่ส่ายหน้าปฏิเสธ “อันนี้คือเร็วที่สุดแล้วครับ”

หัวกะหล่ำที่โตเต็มวัยต้องใช้เวลาเก็บเกี่ยวกันประมาณสามเดือน การที่ซูเย่สามารถขนส่งผลผลิตได้ในเวลาแค่เดือนเศษ ก็นับว่าเป็นการร่นเวลาที่รวดเร็วมากที่สุดแล้ว

หวังหงฮัวนิ่งคิดอะไรบางอย่าง แล้วเขาก็ตัดสินใจได้ว่าเวลาอีกเดือนเศษหลังจากนี้ ร้านอาหารของเขายังคงเปิดขายได้ต่อไปอย่างไม่มีปัญหา “ตกลง ฉันยอมรับข้อเสนอของนาย”

เขาพูด และใช้สายตาจ้องมองนักศึกษาหนุ่มอย่างพินิจพิเคราะห์ “แต่ฉันอยากเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจของเรา ฉันอยากซื้อสูตรการปลูกหัวกะหล่ำของนาย”

“ฉันให้ราคานี้กับนายเลยนะ”

“ห้าแสนหยวน!”

หวังหงฮัวมั่นใจว่าราคานี้ต้องทำให้นักศึกษาหนุ่มตกใจแน่นอน

แต่ที่ไหนได้ ซูเย่กลับส่ายศีรษะปฏิเสธด้วยความเฉยเมย

“หืม?”

หวังหงฮัวไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธข้อเสนอของเขา

สำหรับชายหนุ่มเจ้าของร้านอาหาร นี่คือราคาที่สูงมากสำหรับนักศึกษาสักคนหนึ่ง

“จะไม่ลองคิดดูสักหน่อยเหรอ?”

“ไม่ต้องลองคิดหรอกครับ”

“ในเมื่อนายไม่อยากขายสูตรการปลูกหัวกะหล่ำ งั้นเรามาเป็นหุ้นส่วนในการร่วมผลิตก็ได้”

เมื่อหวังหงฮัวเห็นว่าแผนการที่ได้กำไรมากที่สุดกลับล่มไม่เป็นท่า ดังนั้น เขาจึงหาทางเจรจาต่อรองที่จะทำให้ซูเย่ได้กำไรมากขึ้น เพราะถึงอย่างไรนั้น ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในขณะนี้ ก็คือเขาไม่ใช่ซูเย่

“คงไม่เหมาะหรอกมั้งครับ”

ซูเย่ส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง

หวังหงฮัวไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเจ้าหนุ่มคนนี้ถึงได้เอาแต่ปฏิเสธข้อเสนอของเขาตลอดเวลา?

สุดท้าย หวังหงฮัวก็ได้ตระหนักแล้วว่าเวลานี้ตนเองไม่ควรเล่นเหลี่ยมกับอีกฝ่ายโดยเปล่าประโยชน์ สู้สอบถามออกไปตรง ๆ เลยไม่ดีกว่าหรือ

“ถ้างั้นนายต้องการเท่าไหร่?”

“หนึ่งล้านหยวนครับ”

ซูเย่ให้คำตอบออกมาในที่สุด

“สำหรับสูตรการปลูกหัวกะหล่ำของนายใช่ไหม?”

หวังหงฮัวถามด้วยน้ำเสียงมีความหวัง

หนึ่งล้านหยวนสำหรับการซื้อสูตรปลูกหัวกะหล่ำ ที่จะทำให้เขาสามารถทำเงินได้เยอะกว่านั้นอีกหลายสิบเท่า

“ไม่ใช่ครับ”

ซูเย่ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มกว้าง “เป็นค่าเซ็นสัญญาที่รับประกันว่า ผมจะไม่ขายหัวกะหล่ำให้ร้านอาหารร้านอื่นต่างหาก!”

หวังหงฮัวถึงกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

สมองของเขาขาวโพลนไปชั่วขณะ

เจ้าหนุ่มคนนี้ต้องการเงินหนึ่งล้านหยวน เพื่อเป็นค่าจ้างในการลงนามบนสัญญาผูกขาดการซื้อขายหัวกะหล่ำแต่เพียงผู้เดียว

กล่าวคือ หวังหงฮัวต้องจ่ายเงินหนึ่งล้านหยวนก้อนนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ซูเย่ขายหัวกะหล่ำให้กับร้านอาหารอื่น ๆ

นี่ไม่ใช่การจ่ายเงินที่สมเหตุสมผลในแง่ของการทำธุรกิจ

“ฉันว่าน้องชายอยากจะกินเนื้อก้อนโตเกินไปหน่อยนะ”

หวังหงฮัวเป็นฝ่ายที่ส่ายหน้าปฏิเสธกลับไปบ้าง “ฉันเข้าใจว่ากะหล่ำของนายมันดีกว่าในท้องตลาด แต่นายก็ควรจะรู้ว่าเงินก้อนใหญ่ถึงหนึ่งล้านหยวนเนี่ย ฉันเอาไปทุ่มทุนกับงานวิจัยวิธีปลูกหัวกะหล่ำให้อร่อยได้เลยนะ แถมมันอาจจะดีกว่าหัวกะหล่ำของนายด้วยซ้ำ”

“แน่ใจนะครับ?”

ซูเย่คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ถ้างั้นก็เชิญไปวิจัยได้ตามสบาย”

“อีกอย่าง ถึงผมจะเป็นเพียงนักศึกษา แต่ผมก็ไม่ได้โง่ ผมรู้ว่าหัวกะหล่ำพวกนี้มีมูลค่าขนาดไหน เพราะฉะนั้นลายเซ็นของผมในสัญญาการซื้อขาย นับเป็นราคาที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว ทางคุณเมื่อได้รับผลผลิตของผมไป ก็ยังสามารถเอาไปทำเงินต่อยอดได้อีกหลายช่องทาง”

ความจริงซูเย่รู้อยู่เต็มอกว่าการทำสวนกะหล่ำไม่ใช่เรื่องง่าย มันเป็นงานใหญ่ที่ต้องใช้ทุนจำนวนไม่ใช่น้อย และแน่นอนว่าเขากำลังต้องการเงินก้อนโต

หากไม่มีเงินหนึ่งล้านหยวนก้อนนี้ เขาก็ไม่มีทางทำสวนกะหล่ำได้เด็ดขาด

เมื่อชายหนุ่มเจ้าของร้านอาหารได้ยินดังนั้น เขาก็รู้แล้วว่านักศึกษาหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมจัดจ้านไม่น้อยทีเดียว

หวังหงฮัวหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้วที่จะมานั่งเล่นแง่กับซูเย่

“หนึ่งล้านหยวนมันมากเกินไป ฉันไหวแค่ห้าแสน” เขาว่า

ซูเย่ยังคงส่ายหน้า “นี่ผมลดราคาให้ต่ำสุดแล้วนะครับ”

“พี่ครับ ในฐานะที่เป็นพ่อครัว ผมไม่เคยเจอกะหล่ำที่ไหนอร่อยขนาดนี้มาก่อน ผมว่านี่เป็นของดีที่เราจะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด”

หวังป๋อส่งเสียงพูดออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การเจรจาธุรกิจเปิดฉากขึ้น

เพราะเขารู้สึกว่าพี่ชายของตนเองประเมินคุณค่าของหัวกะหล่ำต่ำมากเกินไป

หวังหงฮัวไม่ตอบรับคำใด

หัวกะหล่ำพวกนี้เป็นเหมือนความหวังสุดท้ายของเขาแล้ว

ในที่สุด หวังหงฮัวก็ทำลายความเงียบด้วยการถามว่า

“นายสามารถการันตีคุณภาพได้หรือเปล่า?”

“ได้ครับ”

“แล้วฉันต้องซื้อจากนายในราคาเท่าไหร่?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]