เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า นิยาย บท 1809

“เกิดอะไรขึ้น? สัตว์อสูรจะต้องออกมาจากด้านในค่ายกลไม่ใช่เหรอ? ”

ทั้งห้าคนได้หยิบอาวุธออกมาพร้อมกัน แล้วก็สาดส่องมองไปโดยรอบด้วยความระมัดระวัง

ลู่ฝานแอบบ่นด่าเล็กน้อย เพราะได้ตะโกนออกมาช้าเกินไปแล้ว

ช่างสมควรตายจริง ๆ ค่ายกลนี้จะเรียกสัตว์อสูรออกมาไม่ผิด แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะได้เรียกมาตั้งนานแล้ว

รอยเท้าต่างก็เดินออกไปทางด้านนอก นั่นแสดงว่าสัตว์อสูรได้เคยมายังที่นี่แล้ว

ในเมื่อสัตว์อสูรมาถึงตั้งนานแล้ว อย่างนั้นค่ายกลนี้จะยังหลงเหลือความจำเป็นอะไรอยู่ที่นี่อีก

ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือ ค่ายกลนี้ก็คือหลุมพราง

เพียงแค่เริ่มต้นขึ้น ก็สามารถที่จะเป็นหลุมพรางทำให้พวกเขาถึงกับความตายได้

ไม่ผิดเลยจริง ๆ หลังจากที่เริ่มต้นแล้ว เสาลำแสงที่พุ่งทะยานขึ้นฟ้านั้น ก็ได้ทำให้ทุกอย่างบริเวณโดยรอบเปลี่ยนแปลงไป

เสียงคำรามของสัตว์อสูรที่กระจายอยู่โดยรอบนั้น ยืนยันได้ถึงความคิดที่ถูกต้องของลู่ฝาน

บริเวณที่ไกลออกไป มีกลิ่นเหม็นคาวพัดโชยมาตามสายลม ดวงตาสีแดงเลือดที่กลมใหญ่คู่หนึ่ง ได้ส่งสายตาอันน่ากลัวมายังลู่ฝานกับพวกทั้งห้าคน

จุดสิ้นสุดของสายตาที่มองเห็นนั้น ปรากฏสัตว์อสูรตัวสูงใหญ่ขึ้นทั้งแถบ

ใบหน้าผี แปดขา ร่างกายราวกับแมงมุม และดาบคมเป็นเท้า

พวกแมงมุมหน้าผีเหล่านี้ แต่ละตัวมีความสูงกว่าสามร้อยเมตร

ดาบคมขีดข่วนถูไถกับพื้น จนเกิดเป็นประกายไฟสว่างจ้า

ระหว่างตะโกนส่งเสียงร้อง พวกแมงมุมหน้าผีเหล่านี้ ยังสามารถแผดเสียงคำรามได้ด้วย

ลำตัวของพวกมันมีสีที่แตกต่างกัน ทั้งสีแดงสีส้มสีเหลืองสีเขียวสีฟ้าสีม่วง แทบจะครบทุกสี

เจียวเม่ยเหนียงสีหน้าขาวซีดลงในทันที และตะโกนขึ้นด้วยความตกใจว่า: “แมงมุมกลืนวิญญาณ! ”

เมื่อตะโกนเรียกชื่อดังกล่าวขึ้น แม้แต่ลู่ฝานที่ไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับสัตว์อสูรก็ยังมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป

เพราะแมงมุมกลืนวิญญาณนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ถึงขนาดเขาที่มาจากสถานที่เล็ก ๆ อย่างประเทศอู่อาน ก็ยังเคยได้ยินชื่อของสัตว์อสูรชนิดนี้

นี่คือสัตว์อสูรที่ดุร้ายโหดเหี้ยมที่สุด ในใต้หล้านี้เลย

แม้สัตว์อสูรชนิดอื่น ถึงจะโหดเหี้ยมขนาดไหน อย่างมากสุดก็แค่กินคนเท่านั้น

แต่แมงมุมกลืนวิญญาณนี้ ไม่เพียงแต่กินคน ยังจะกลืนวิญญาณด้วย

คนที่ตายลงด้วยน้ำมือของแมงมุมกลืนวิญญาณ หลังจากที่ตายไปแล้วก็จะไม่สงบสุข

จิตวิญญาณของพวกเขาจะถูกแมงมุมกลืนวิญญาณดูดกลืนเข้าไปในร่างกาย กลายเป็นส่วนหนึ่งของแมงมุมกลืนวิญญาณ

ไม่ตายไม่ดับสูญ ทุกข์ทรมานไปตลอดกาล นั่นถึงจะเป็นความน่ากลัวอย่างแท้จริง

แม้แต่พวกผู้ฝึกชั่วร้าย ก็มีจำนวนน้อยนักที่จะกล้าเลี้ยงแมงมุมกลืนวิญญาณ

เพราะว่า พวกมันเหล่านี้ มีสติปัญญาต่ำต้อย ไม่เลือกอาหาร หากวันไหนเจ้าของให้อาหารไม่ทันตามที่มันต้องการ คนที่จะต้องตายก็คือตัวเขาเอง

อูเจิ้น หลวี่เหวย เหลียงซงทั้งสามคนก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากเช่นกัน

พวกเขาไม่อยากที่จะตายลงด้วยน้ำมือของแมงมุมกลืนวิญญาณ จึงรีบเปล่งแสงทั่วร่างกายขึ้น

“หนึ่งสองสามสี่......”

ลู่ฝานมองดูโดยรอบ และนับจำนวนของแมงมุมกลืนวิญญาณเหล่านี้

ทั้งหมดมียี่สิบสองตัว แต่ละตัวต่างก็มีกลิ่นอายลมหายใจที่แตกต่างกัน ความสูงอย่างน้อยก็ประมาณสองร้อยเมตรขึ้นไป

ของเหลวสีดำเขียวที่พ่นออกมาจากปากของพวกมันนั้น แฝงไปด้วยกลิ่นอายที่มีฤทธิ์กัดกร่อนอย่างรุนแรง

เมื่อมองเห็นลู่ฝานและคนอื่น ๆ จากระยะไกล พวกแมงมุมกลืนวิญญาณเหล่านี้ก็ราวกับคลุ้มคลั่งอย่างไรอย่างนั้น เร่งความเร็วพุ่งตรงเข้ามาหาทันที

ขณะที่พวกมันเริ่มต้นเร่งความเร็วนั้น ลู่ฝานถึงกับตกตะลึงเป็นอย่างมาก

ความเร็วระดับนี้ เทียบเท่าได้กับนักบู๊แดนปราณฟ้าเลยทีเดียว!

ลำแสงลุกโชนขึ้นทั่วร่างกาย เจ้าดำที่อยู่ในร่างกายก็เข้าสิงร่างทันที แล้วลู่ฝานก็รีบเหาะเหินหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

ถ้าหากแมงมุมกลืนวิญญาณนี้น่ากลัวดั่งที่ตำนานกล่าวเอาไว้ อย่างนั้นก็ห้ามที่จะไปต้านทานการจู่โจมครั้งแรกของมันอย่างซึ่งหน้าโดยเด็ดขาด

ทั้งห้าคนรีบกระจายออกห่างกันทันที โดยที่ไม่หลงเหลือความร่วมมือกันแม้แต่น้อย

พวกเขาทั้งห้าคน ต่างก็มีความคิดเป็นของตนเอง ใครต่างก็ไม่เชื่อมั่นใครทั้งสิ้น

เมื่อเห็นลู่ฝานถอยหลังลงมา หลวี่เหวยเองก็หันหลังกลับและวิ่งหนีเช่นกัน

มีแต่อูเจิ้น เหลียงซง เจียวเม่ยเหนียงสามคนที่ไม่เคลื่อนไหว ชัดเจนว่าพวกเขาคิดที่จะต้านทานการจู่โจมครั้งแรกนี้ของแมงมุมกลืนวิญญาณ

ไม่นานนัก แมงมุมกลืนวิญญาณก็พุ่งตัวจากบริเวณสุดลูกหูลูกตามาถึงที่ด้านหน้าของพวกเขาแล้ว

ทันใดนั้น ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น

เสียงที่แสบหูก็ดังขึ้นเป็นคลื่นเสียง แผ่กระจายไปทั่ว

“เสียงคำรามอันน่ากลัว! ”

ลู่ฝานนำกระบี่หนักไร้คมมาวางไว้ที่ด้านหน้า พลังจิตวิญญาณแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

คลื่นเสียงกระทบเข้ากับกระบี่หนักไร้คมที่ได้เปิดเขตวิถีขึ้น ทั้งร่างกายของลู่ฝานก็เปลี่ยนไปเป็นลักษณะที่พร่ามัว

หลวี่เหวยหมอบตัวลงบนพื้นโดยที่ไม่ได้สนใจลักษณะท่วงท่าของตนเองเลยแม้แต่น้อย มือสองข้างปิดแนบไปที่หูของตนเอง พร้อมกับพูดตะโกนเสียงดังว่า: “โอ้วพระเจ้า จะต้องตายกันแล้ว! ”

อูเจิ้น เหลียงซง เจียวเม่ยเหนียงทั้งสามคนร่างกายสั่นไหวอย่างหนัก

ลำแสงสีทองบนร่างของเจียวเม่ยเหนียงที่เปล่งประกายขึ้นนั้นก็ได้ดับลง จากนั้นก็ได้ทำการทรงตัวเอาไว้

เหลียงซง กับอูเจิ้นสองคนกลับใช้ร่างกายของตนเองต้านทานอย่างซึ่งหน้า

หลังจากที่เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงแล้ว อูเจิ้นกับเหลียงซงก็แทบจะลงมือพร้อมกัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า