“เกิดอะไรขึ้น? สัตว์อสูรจะต้องออกมาจากด้านในค่ายกลไม่ใช่เหรอ? ”
ทั้งห้าคนได้หยิบอาวุธออกมาพร้อมกัน แล้วก็สาดส่องมองไปโดยรอบด้วยความระมัดระวัง
ลู่ฝานแอบบ่นด่าเล็กน้อย เพราะได้ตะโกนออกมาช้าเกินไปแล้ว
ช่างสมควรตายจริง ๆ ค่ายกลนี้จะเรียกสัตว์อสูรออกมาไม่ผิด แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะได้เรียกมาตั้งนานแล้ว
รอยเท้าต่างก็เดินออกไปทางด้านนอก นั่นแสดงว่าสัตว์อสูรได้เคยมายังที่นี่แล้ว
ในเมื่อสัตว์อสูรมาถึงตั้งนานแล้ว อย่างนั้นค่ายกลนี้จะยังหลงเหลือความจำเป็นอะไรอยู่ที่นี่อีก
ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือ ค่ายกลนี้ก็คือหลุมพราง
เพียงแค่เริ่มต้นขึ้น ก็สามารถที่จะเป็นหลุมพรางทำให้พวกเขาถึงกับความตายได้
ไม่ผิดเลยจริง ๆ หลังจากที่เริ่มต้นแล้ว เสาลำแสงที่พุ่งทะยานขึ้นฟ้านั้น ก็ได้ทำให้ทุกอย่างบริเวณโดยรอบเปลี่ยนแปลงไป
เสียงคำรามของสัตว์อสูรที่กระจายอยู่โดยรอบนั้น ยืนยันได้ถึงความคิดที่ถูกต้องของลู่ฝาน
บริเวณที่ไกลออกไป มีกลิ่นเหม็นคาวพัดโชยมาตามสายลม ดวงตาสีแดงเลือดที่กลมใหญ่คู่หนึ่ง ได้ส่งสายตาอันน่ากลัวมายังลู่ฝานกับพวกทั้งห้าคน
จุดสิ้นสุดของสายตาที่มองเห็นนั้น ปรากฏสัตว์อสูรตัวสูงใหญ่ขึ้นทั้งแถบ
ใบหน้าผี แปดขา ร่างกายราวกับแมงมุม และดาบคมเป็นเท้า
พวกแมงมุมหน้าผีเหล่านี้ แต่ละตัวมีความสูงกว่าสามร้อยเมตร
ดาบคมขีดข่วนถูไถกับพื้น จนเกิดเป็นประกายไฟสว่างจ้า
ระหว่างตะโกนส่งเสียงร้อง พวกแมงมุมหน้าผีเหล่านี้ ยังสามารถแผดเสียงคำรามได้ด้วย
ลำตัวของพวกมันมีสีที่แตกต่างกัน ทั้งสีแดงสีส้มสีเหลืองสีเขียวสีฟ้าสีม่วง แทบจะครบทุกสี
เจียวเม่ยเหนียงสีหน้าขาวซีดลงในทันที และตะโกนขึ้นด้วยความตกใจว่า: “แมงมุมกลืนวิญญาณ! ”
เมื่อตะโกนเรียกชื่อดังกล่าวขึ้น แม้แต่ลู่ฝานที่ไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับสัตว์อสูรก็ยังมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
เพราะแมงมุมกลืนวิญญาณนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ถึงขนาดเขาที่มาจากสถานที่เล็ก ๆ อย่างประเทศอู่อาน ก็ยังเคยได้ยินชื่อของสัตว์อสูรชนิดนี้
นี่คือสัตว์อสูรที่ดุร้ายโหดเหี้ยมที่สุด ในใต้หล้านี้เลย
แม้สัตว์อสูรชนิดอื่น ถึงจะโหดเหี้ยมขนาดไหน อย่างมากสุดก็แค่กินคนเท่านั้น
แต่แมงมุมกลืนวิญญาณนี้ ไม่เพียงแต่กินคน ยังจะกลืนวิญญาณด้วย
คนที่ตายลงด้วยน้ำมือของแมงมุมกลืนวิญญาณ หลังจากที่ตายไปแล้วก็จะไม่สงบสุข
จิตวิญญาณของพวกเขาจะถูกแมงมุมกลืนวิญญาณดูดกลืนเข้าไปในร่างกาย กลายเป็นส่วนหนึ่งของแมงมุมกลืนวิญญาณ
ไม่ตายไม่ดับสูญ ทุกข์ทรมานไปตลอดกาล นั่นถึงจะเป็นความน่ากลัวอย่างแท้จริง
แม้แต่พวกผู้ฝึกชั่วร้าย ก็มีจำนวนน้อยนักที่จะกล้าเลี้ยงแมงมุมกลืนวิญญาณ
เพราะว่า พวกมันเหล่านี้ มีสติปัญญาต่ำต้อย ไม่เลือกอาหาร หากวันไหนเจ้าของให้อาหารไม่ทันตามที่มันต้องการ คนที่จะต้องตายก็คือตัวเขาเอง
อูเจิ้น หลวี่เหวย เหลียงซงทั้งสามคนก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากเช่นกัน
พวกเขาไม่อยากที่จะตายลงด้วยน้ำมือของแมงมุมกลืนวิญญาณ จึงรีบเปล่งแสงทั่วร่างกายขึ้น
“หนึ่งสองสามสี่......”
ลู่ฝานมองดูโดยรอบ และนับจำนวนของแมงมุมกลืนวิญญาณเหล่านี้
ทั้งหมดมียี่สิบสองตัว แต่ละตัวต่างก็มีกลิ่นอายลมหายใจที่แตกต่างกัน ความสูงอย่างน้อยก็ประมาณสองร้อยเมตรขึ้นไป
ของเหลวสีดำเขียวที่พ่นออกมาจากปากของพวกมันนั้น แฝงไปด้วยกลิ่นอายที่มีฤทธิ์กัดกร่อนอย่างรุนแรง
เมื่อมองเห็นลู่ฝานและคนอื่น ๆ จากระยะไกล พวกแมงมุมกลืนวิญญาณเหล่านี้ก็ราวกับคลุ้มคลั่งอย่างไรอย่างนั้น เร่งความเร็วพุ่งตรงเข้ามาหาทันที
ขณะที่พวกมันเริ่มต้นเร่งความเร็วนั้น ลู่ฝานถึงกับตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ความเร็วระดับนี้ เทียบเท่าได้กับนักบู๊แดนปราณฟ้าเลยทีเดียว!
ลำแสงลุกโชนขึ้นทั่วร่างกาย เจ้าดำที่อยู่ในร่างกายก็เข้าสิงร่างทันที แล้วลู่ฝานก็รีบเหาะเหินหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
ถ้าหากแมงมุมกลืนวิญญาณนี้น่ากลัวดั่งที่ตำนานกล่าวเอาไว้ อย่างนั้นก็ห้ามที่จะไปต้านทานการจู่โจมครั้งแรกของมันอย่างซึ่งหน้าโดยเด็ดขาด
ทั้งห้าคนรีบกระจายออกห่างกันทันที โดยที่ไม่หลงเหลือความร่วมมือกันแม้แต่น้อย
พวกเขาทั้งห้าคน ต่างก็มีความคิดเป็นของตนเอง ใครต่างก็ไม่เชื่อมั่นใครทั้งสิ้น
เมื่อเห็นลู่ฝานถอยหลังลงมา หลวี่เหวยเองก็หันหลังกลับและวิ่งหนีเช่นกัน
มีแต่อูเจิ้น เหลียงซง เจียวเม่ยเหนียงสามคนที่ไม่เคลื่อนไหว ชัดเจนว่าพวกเขาคิดที่จะต้านทานการจู่โจมครั้งแรกนี้ของแมงมุมกลืนวิญญาณ
ไม่นานนัก แมงมุมกลืนวิญญาณก็พุ่งตัวจากบริเวณสุดลูกหูลูกตามาถึงที่ด้านหน้าของพวกเขาแล้ว
ทันใดนั้น ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น
เสียงที่แสบหูก็ดังขึ้นเป็นคลื่นเสียง แผ่กระจายไปทั่ว
“เสียงคำรามอันน่ากลัว! ”
ลู่ฝานนำกระบี่หนักไร้คมมาวางไว้ที่ด้านหน้า พลังจิตวิญญาณแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
คลื่นเสียงกระทบเข้ากับกระบี่หนักไร้คมที่ได้เปิดเขตวิถีขึ้น ทั้งร่างกายของลู่ฝานก็เปลี่ยนไปเป็นลักษณะที่พร่ามัว
หลวี่เหวยหมอบตัวลงบนพื้นโดยที่ไม่ได้สนใจลักษณะท่วงท่าของตนเองเลยแม้แต่น้อย มือสองข้างปิดแนบไปที่หูของตนเอง พร้อมกับพูดตะโกนเสียงดังว่า: “โอ้วพระเจ้า จะต้องตายกันแล้ว! ”
อูเจิ้น เหลียงซง เจียวเม่ยเหนียงทั้งสามคนร่างกายสั่นไหวอย่างหนัก
ลำแสงสีทองบนร่างของเจียวเม่ยเหนียงที่เปล่งประกายขึ้นนั้นก็ได้ดับลง จากนั้นก็ได้ทำการทรงตัวเอาไว้
เหลียงซง กับอูเจิ้นสองคนกลับใช้ร่างกายของตนเองต้านทานอย่างซึ่งหน้า
หลังจากที่เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงแล้ว อูเจิ้นกับเหลียงซงก็แทบจะลงมือพร้อมกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า
ปู่เชี่ยไรเรียกหลานตัวเองว่านาย นิยายย้อนยุคมึงแปลซะ ทันสมัยเลย ไอ้เวร...
ช่องทางซื้ออ่านก็ไม่มี...
2276จบค้างเลยมาต่อเร็วๆนะ...
รออ่าน2277...
เสียดายมาก อ่านมาถึงหน้า 2276 มา2รอบแล้ว กำลังสนุกเลย ช่วยแปลตาอให้หน่อยนะครับ...
ถ้าไม่แปลต่อเรื่องต่อไปก็คงเหมือนเรื่องนี้หรือเปล่าครับไม่จบสักเรื่อง...
เปลี่ยนชื่อเว็บไซต์อีกครั้งเป็นครั้งที่3นับแต่ได้เข้ามาอ่าน สัญญานของการไปต่อ...
พยายามชำระเงินจากทั่ให้บนprofile จำนวน$4.99 แต่ไม่สำเร็จ ทดลองจ่ายเงินซื้อสินค้าออนไลน์ก็ผ่าน ซึ่งแสดงว่าcardไม่มีปัญหา บอกได้ไหมว่ามีปัญหาที่ไหน หรือว่ายังไม่ได้แปลเพิ่ม จึงยังไม่ต้องจ่าย มีข้อสงสัยมากมาย ชี้แจงสักหน่อยได้ไหม...
รอจนหมดหวัง...
อ่านถึง2276ครบ2รอบแล้วครับ ไม่แปลต่อแล้วเหรอ...