เดิมพันรักยัยตัวแสบ นิยาย บท 568

สรุปบท บทที่ 568 ครอบครัวซุปเปอร์สตาร์: เดิมพันรักยัยตัวแสบ

ตอน บทที่ 568 ครอบครัวซุปเปอร์สตาร์ จาก เดิมพันรักยัยตัวแสบ – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 568 ครอบครัวซุปเปอร์สตาร์ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายโรแมนซ์ เดิมพันรักยัยตัวแสบ ที่เขียนโดย สตาร์ไลท์ เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 568 ครอบครัวซุปเปอร์สตาร์

หยางหยางคิ้วชนกัน ข้าเองที่ถูกเอาเปรียบมากกว่า

เมื่อเห็นหยางหยางยังคงลังเลอยู่ เฉิงเฉิงก็เริ่มกังวล “ถ้านายยังไม่ฟัง ทุกอย่างจะถูกเปิดเผยแล้วนะ”

“แล้วนายจะทำยังไงละ” หยางหยางถามด้วยความเหลือทน

“นายแกล้งแพ้แล้วหนีไป ที่เหลือข้าจัดการเอง” เฉิงเฉิงตอบ

หยางหยางคิดในใจ คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วล่ะ “เฉิงเฉิง นายจำไว้ดี ๆ ข้าไม่ได้สู้นายไม่ไหวหรอกนะ ถ้าไม่คิดถึงคุณแม่ ข้าจะไม่ยอมแพ้นายแบบนี้หรอก”

เฉิงเฉิงพยักหน้า “ได้ เอานายว่าก็แล้วกัน”

หยางหยางถึงจะรู้สึกพอใจ จากที่ต่อสู้กันจริงก็เริ่มกลายเป็นการแสดง แต่จมูกของเขาทั้งสองก็แตกแล้ว และมีเลือกไหลออกมาด้วย

หยางหยางแกล้งโดนเฉิงเฉิงถีบแล้วล้มลงไป จากนั้นเอาเลือดป้ายหน้า “ไอ้คนขายถั่ว วันนี้ข้าสู้นายไม่ไหว ไม่ได้หมายความว่าข้าจะยอมแพ้นาย ถึงยังไงแค้นนี้ข้าต้องชำระ” เมื่อพูดจบ เขาก็เดินซวนเซลงจากเวที

ในเวลานี้ ผู้ชมด้านล่างถึงกับลุกขึ้นเพื่อปรบมือให้กับการแสดงของพวกเขา ยังมีเสียงกระซิบคุยกันว่า ดูเขาแสดงได้สมจริงแค่ไหน ถึงกับต้องใช้อุปกรณ์ถุงเลือดด้วย สุดยอดจริง ๆ

จากนั้นมีเสียงตะโกนจากด้านล่างเวที “แต่งเลย แต่งเลย แต่งเลย......”

เฉิงเฉิงยืนอยู่กลางเวทีนั้น ยกมือขึ้นมาเช็ดคราบเลือดบนจมูกออก จากนั้นหันกลับไปก้มเก็บเชือกแดงที่ผูกกับจ้าวจิ้งอี๋ไว้ แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปหาเธอ

และขณะนี้ ก็มีเสียงบรรยายอีกครั้ง : คำนับครั้งที่หนึ่ง......คำรับครั้งที่สอง......

หยางหยางกอดอกแล้วพิงอยู่กล่องเครื่องเสียงหลังเวทีนั้น มองดูเฉิงเฉิงที่กำลังปิดฉากละครเรื่องนี้อย่างสวยหรู เขาก็ได้แต่โกรธจนใจเต้นรัว

***

ในเวลานี้ด้วยเสียงเชียร์และเสียงปรบมือของผู้ชม ตามด้วยแสงไฟในฮอลล์ค่อย ๆ สว่างขึ้น

เมื่อครูใหญ่และครูหลี่ได้เห็นจุดจบสมบูรณ์แบบของละครเรื่องนี้ ต่างก็รู้สึกขอบคุณปาฏิหาริย์

เขาทั้งสองปรบมือไปด้วยแล้วเดินขึ้นเวที ตามด้วยนักแสดงตัวน้อยทั้งหมดในหลังเวทีนั้นก็ขึ้นมาบนเวที “ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี และเรียนแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย บัดนี้การแสดงวรรณกรรมและศิลปะของโรงเรียนคุณหนูก็ได้จบสิ้นลงแล้ว และเราหวังว่าการแสดงของเราทั้งหมดในวันนี้จะสามารถทำให้ผู้ชมทุก ๆ ท่านรู้สึกมีความสุขจากการรับชม”

ในขณะที่ผู้ชมกำลังเตรียมตัวออกจากฮอลล์การแสดง ทันใดนั้นประตูฮอลล์ก็ถูกเปิดออก แล้วมีบอดี้การ์ดชุดดำร่างสูงหลายคนก็เดินเข้ามาจากประตูนั้น

นักข่าวที่ถูกปิดกั้นอยู่หน้าประตูนั้นก็พากันเข้าไปในฮอลล์การแสดงเป็นร้อยคน

มีการปรากฏตัวของใครบางคนที่หน้าประตู ทำให้ดึงดูดสายตาทุกคนในฮอลล์นั้น

ความหล่อเหลาของเขามันมีความแตกต่างกับเป่หมิงโม่ผู้เย็นชา

ในตัวเขาเปล่งประกายความอ่อนโยนและความแข็งแกร่งออกมาพร้อมกัน อาจเป็นสาเหตุนี้ที่ทำให้สาว ๆ รายล้อม

“แอนโทนี่ เขาคือแอนโทนี่” ทันใดนั้นก็มีคนในฮอลล์ประชุมจำเขาได้ แล้วตะโกนขึ้นมาอย่างสุดแรงเกิด

ทันใด ในฮอลล์นั้นก็มีเสียงซุกซิกวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง

กู้ฮอนก็มองไปทางนั้น เมื่อได้ยินเขาตะโกนเรียกชื่อแอนโทนี่ เธอก็เกิดความสงสัย เพราะไม่มีใครแจ้งเขาเลยว่าเด็ก ๆ มีการแสดงในวันนี้ แล้วเขาได้ข่าวนี้ได้อย่างไรกัน

เมื่อเป่หมิงโม่รู้ว่าไอ้สามมา เขาก็ยังคงไม่แยแส แล้วนั่งนิ่งอยู่กับที่

“เฮ้…...สวัสดีทุกคน......” ภายใต้การคุ้มกันของบอดี้การ์ดร่างยักษ์ เขาได้เดินตรงไปยังหน้าเวทีนั้น

วันนี้เป็นวันอะไรเนี่ย เกิดแต่เรื่องไม่คาดคิดทั้งวันเลย แต่เรื่องไม่คาดคิดนี้มันมีแต่สิ่งดี ๆ ทั้งนั้น

จากนั้นครูใหญ่ก็รีบลงจากเวทีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วเดินไปต้อนรับแอนโทนี่ “ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับครับ ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่คุณมาเยือนครับ”

เป่หมิงโม่ที่นั่งอยู่เฉย ๆ ก็ถอนหายใจขึ้นมา

แอนโทนี่ก็ถือว่าเป็นคนที่มีไหวพริบดีพอสมควร ถึงแม้เสียงจะเบา แต่เขาก็สัมผัสมันได้

เขาหันหน้ามามองและตกใจกับสิ่งที่เห็น เมื่อเขาเห็นเป่หมิงโม่นั่งอยู่ข้าง ๆ และยังเห็นกู้ฮอนด้วย

ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่คาดคิดเหมือนกัน

*

เขาได้รับโทรศัพท์จากเป่หมิงโม่ก่อนหน้านี้เหมือนกัน ว่าให้เขาหาเวลากลับบ้านทานข้าวกับครอบครัวบ้าง แต่เนื่องด้วยตารางเวลาของเขา วันนี้ถึงเพิ่งลงจากเครื่อง

เมื่ออยู่ในสนามบินเขาก็ได้ข่าวว่ามีการแสดงวรรณกรรมของโรงเรียนคุณหนูนี้แล้ว

เขาจึงรู้สึกอยากมีส่วนร่วมในการรับชมด้วย

ดังนั้น จึงนำกระเป๋าสัมภาระของเขาทุกอย่างก็มอบให้กับผู้ช่วยส่วนตัวของเขาไป

ความจริงแล้วในระหว่างที่เขาอยู่เมือง A นี้ เมื่อได้ข่าวว่ามีการจัดแสดงวรรณกรรมและศิลปะที่ไหน เขาก็จะไปเข้าร่วมทุกครั้ง

“สวัสดีครับคุณแอนโทนี่ ผมเป็นนักข่าวจาก Herald Entertainment เท่าที่ทราบกันมาว่า ปกติคุณแสดงหนังอยู่ต่างประเทศ แล้วครั้งนี้ที่กลับเมือง A เพราะตั้งใจจะกลับมาให้กำลังใจกับการแสดงของหลานชายทั้งสองของคุณหรือไม่ครับ”

เป่หมิงยันยกคิ้วขึ้นแล้วยิ้มรับไมโครโฟนจากนักข่าว “ความจริงที่กลับมาครั้งนี้ ไม่ได้ตั้งใจกลับมาเพราะหลานชายสองคนนี้ครับ แต่ผมสละตารางเวลางานเพื่อตั้งใจกลับบ้านเยี่ยมพ่อแม่ของผมครับ”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ เขาก็เหลือบมองเป่หมิงโม่ที่ยังคงนั่งเงียบอยู่ เป่หมิงเอ้อ นายได้ยินแล้วยัง การกลับมาครั้งนี้เพื่อตั้งใจจะมาหาแม่นะ ส่วนที่แวะเข้ามาที่นี่ก็แค่การตัดสินใจกระทันหันเท่านั้น

ต่อมาก็มีนักข่าวอีกคนถามว่า “สวัสดีค่ะ คุณแอนโทนี่ คุณรู้สึกอย่างไรกับการแสดงของคุณชายน้อยตระกูลเป่หมิงทั้งสองท่านนี้คะ”

“เฮอ ๆ ผมรู้สึกอย่างไรงั้นเหรอ พอดีตอนที่ผมมาถึงการแสดงก็จบลงแล้ว ถ้าพวกคุณอยากรู้ ก็ถามท่านผู้ชมในนี้เลยสิ” จากนั้นเป่หมิงยันหันตัวแล้วยืนไมโครโฟนไปยังผู้ชม

แน่นอนว่าผู้ชมทั้งหมดต้องให้เกียรติคนตระกูลเป่หมิงอยู่แล้ว และทุกคนตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “แสดงได้ยอดเยี่ยมมาก......”

***

ซึ่งเป่หมิงยันพอใจมากกับคำตอบที่ได้มา เขาดึงไมโครโฟนกลับไปแล้วโบกมือให้กับผู้ชม “ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่ชื่นชอบหลานชายของผมทั้งสองนะครับ”

จากนั้นหันกลับมาที่นักข่าวคนนั้น “นี่คือคำตอบจากผู้ชมทุกท่าน”

“คุณแอนโทนี่คะ ในเมื่อหลานชายทั้งสองก็มีฝีมือการแสดงที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ คุณจะสนับสนุนพวกเขาในวงการบันเทิงหรือว่าให้พวกเขาได้มีโอกาสร่วมแสดงกับคุณเลยไหมคะ”

เมื่อได้ยินคำถามนี้ เป่หมิงโม่ทำหน้าสงสัย แล้วหันมามองที่เป่หมิงยัน ดูว่าเขาจะตอบคำถามนี้อย่างไร

ส่วนเป่หมิงยันก็แอบเหลือบมองไปสบตาเป่หมิงโม่เหมือนกัน สายตาที่เยือกเย็นของเขาทำให้รู้สึกใจไม่ดีเลย ถ้าตอบคำถามได้ไม่ถูกใจเขาล่ะก็ คงไม่มีผลไม้ดี ๆ ให้กินแน่

อย่าหาเรื่องใส่ตัวหาเหาใส่หัวดีกว่า พูดอะไรที่เป่หมิงเอ้อฟังแล้วรู้สึกสบายหูดีกว่า

จากนั้นเขายิ้มอย่างนุ่มนวลแล้วตอบกลับนักข่าวคนนั้น “สำหรับการพัฒนาการของเด็ก ๆ ผมคิดว่าให้เขาได้เป็นไปตามธรรมชาติก่อนดีกว่า อีกอย่างตอนนี้พวกเขายังเด็กมาก ยังไม่รู้เป้าหมายในอนาคตของตัวเองจริง ๆ ฉะนั้นผมคิดว่าให้พวกเขาได้ตั้งใจเรียนก่อน ค่อยเป็นค่อยไปครับ” เมื่อพูดจบเขาได้แต่แอบถอนหายใจอยู่ในความคิด

นักข่าวคนนั้นนั่งลง จากนั้นยิ้มแล้วส่งไมโครโฟนไปที่เฉิงเฉิง “คุณชายน้อยเป่หมิงคะ เมื่อครู่นี้คุณก็คงได้ยินคำชมจากท่านผู้ชมทั้งหลายแล้ว อยากจะทราบว่าคุณชายไปฝึกการแสดงจากที่ไหนคะ หรือว่าปกติคุณอาแอนโทนี่จะสอนตอนอยู่บ้านคะ”

“ความจริงแล้วเป็นแบบนี้ครับ” เฉิงเฉิงยังไม่ทันตอบ ก็ถูกหยางหยางเบียดออกไป “ผมเรียนจากทีวีเองครับ เขาไม่เคยสอนพวกผมเลย อาสามของผมนะ ปกติอยู่บ้านก็คุยแต่โทรศัพท์ แล้วก็......หม้อ......อุ๊บ......”

เมื่อหยางหยางพูดถึงตรงนี้ ก็ถูกแอนโทนี่รีบก้มลงแล้วปิดปากเขาไว้

เพราะเขารู้ดี หลานชายคนนี้กล้าพูดทุกอย่าง โดยที่ไม่นึกถึงผู้คน ไม่นึกถึงสถานที่

เป็นปกติของผู้สื่อข่าวทั่วไป ที่จะยิงคำถามให้ถึงที่สุด เมื่อเขาพูดไม่จบ ก็ควรถามต่อ “นอกจากอยู่บ้านคุณอาแอนโทนี่ชอบคุยโทรศัพท์แล้ว แกยังทำอะไรอีกนะคะ”

“เหอะ ๆ จะมีอะไรอีกล่ะ ก็ต้มมาม่าในหม้อไง” เป่หมิงยันพูดด้วยรอยยิ้มที่อึดอัด

“ต้มมาม่าในหม้อ?” ผู้สื่อข่าวรู้สึกสับสนกับคำพูดนั้น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เดิมพันรักยัยตัวแสบ