Sign in Buddha’s palm 200 ความโกรธเกรี้ยวของนิกายใหญ่
ที่หน้าพระราชวัง
ซูฉินยกมือขวาขึ้น และละอองจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเทพธิดายุคปัจจุบันแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะค่อยๆสลายตัวไป
ถ้าซูฉินไม่ได้ครอบครองอาณาเขตปิงหลิงอาจจะหนีไปได้จริงๆ แต่น่าเสียดาย ภายใต้อาณาเขตแห่งนี้ ซูฉินเป็นนายเหนือหัว อยากจะพลิกผืนปฐพีหรือทําลายโลกก็ทําได้เพียงแค่คิด
ไม่ว่าปิงหลิงจะเร็วแค่ไหนก็ไร้ความหมาย ยกเว้นจะสามารถพุ่งทะลุมิติ แหวกอาณาเขตออกไปได้
“เป็นคลื่นปราณที่น่าสนใจ…”
ซูฉินมองไปที่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของปิงหลิง หรือจะบอกว่าเขามองคลื่นปราณที่ห่อหุ้มจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของปิงหลิงเอาไว้ต่างหากจึงจะถูก
ด้วยคลื่นปราณอันนี้นี่เองที่ทําให้ปิงหลิงสามารถถอดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หนีออกจากร่างกายด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวได้
ซูฉินเหลือบมองครู่หนึ่งจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอีก
หากคลื่นปราณนี้สามารถชักนําร่างกายให้หนีไปด้วยได้ ซูฉินก็คงจะสนใจอยู่บ้าง แต่นี่หลบหนีได้เพียงจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ…..
ซูฉินจึงไม่สนใจที่จะพินิจพิจารณา
หลังจากที่ซูฉินเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของปิงหลิงเป็นเศษละออง เขาก็เงยหน้าขึ้นมองนักพรตในชุดคลุม แบบฉบับเต๋าเป็นคนสุดท้าย
จนถึงตอนนี้ ในบรรดาผู้ที่มาจากต่างดินแดน เหลือเขาเพียงคนเดียวที่ยังคงมีชีวิตอยู่
นอกจากซูฉินที่ยืนอยู่ในพื้นที่แห่งนี้แล้ว ก็เหลือเขายืนอยู่อย่างเดียวดาย
“น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
เมื่อเห็นซูฉินจ้องมองมา มือและเท้าของนักพรตในชุดคลุมเต๋าก็สั่นเทา
เพียงการเคลื่อนไหวไม่กี่กระบวนท่าของซูฉินก็เพียงพอที่จะกวาดล้างศิษย์นิกายใหญ่เหล่านั้นแล้ว โดยเฉพาะเทพธิดาคนปัจจุบันแห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะ เห็นได้ชัดว่านางมีวิธีการหลบหนีบางอย่าง ยอมแม้กระทั่งละทิ้งร่างของนางเอง แต่ผลลัพธ์ก็คือหนีไม่พ้นเงื้อมมือของซูฉินอยู่ดี ซึ่งสําหรับนักพรตเต๋าผู้นี้ นี่ราวกับเป็นระเบิดลูกใหญ่ตกลงมาในจิตใจ
“เจ้ารู้หรือไม่ทําไมข้าถึงไม่สังหารเจ้า” น้ําเสียงของซูฉินราบเรียบ ไม่มีขึ้นไม่มีลง แต่เสียงที่มาถึงใบหูของนักพรตเต๋านั้นราวกับสายฟ้าฟาด
“ผู้อาวุโสคงต้องการจะทราบความบางสิ่ง” นักพรตเต๋าคิดอย่างรวดเร็วก่อนจะตอบด้วยความเคารพ
“ฉลาดใช้ได้” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน “จงมากับข้า”
แม้ว่าซูฉินจะไว้ชีวิตนักพรตเต๋าด้วยเหตุผลนี้ แต่ที่มากกว่านั้นคือนักพรตเต๋าเป็นเพียงคนเดียวในที่แห่งนี้ที่ไม่มีเจตนาฆ่า
แม้ว่าจะมีการประมือกับหร่วนชิง เขาก็เพียงแค่ทดลองฝีมือกันเท่านั้น และหร่วนซิงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไร
ไม่ช้า
หลังจากที่ซูฉินพูดคุยกับจักรพรรดิถังสองสามคํา เขาก็พาหร่วนซิง นักพรตเต๋า รวมถึงคนอื่นๆกลับไปยังพระราชวัง
จักรพรรดิถังประจําตําแหน่งเรียกระดมกําลังพลเพื่อเข้าแก้ไขความวุ่นวายที่เกิดจากตํานานยุทธทั้งหก
ภายในพระราชวังตะวันออก ซูฉินมองไปทางนักพรตเต๋าด้วยท่าทางน่าเกรงขาม กล่าวออกอย่างสบายๆ “บอกทุกสิ่งที่เจ้ารู้มา”
“ขอรับ”
นักพรตเต๋าโค้งคารวะก่อนจะกล่าวออกมา “ข้ามีนามว่า เหยียนไฟ และมาจากสํานักเอกะวิถีในต่างดินแดน”
“สํานักเอกะวิถี” ใบหน้าของหร่วนชิงที่อยู่ด้านข้างเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เจ้ารู้จัก สํานักเอกะวิถี” หรือ?” ซูฉินเหลือบมองไปที่หร่วนชิงพร้อมกับเอ่ยถามเบาๆ
“นายท่าน สํานักเอกะวิถีมีชื่อเสียงมากในยุทธภพต่างแดน ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร?” หร่วนชิงกล่าวด้วยความเคารพ “แม้แต่ในหมู่นิกายใหญ่จํานวนมากในต่างแดน สํานักเอกะวิถีก็นับได้ว่าติดหนึ่งในห้าอันดับแรก”
“นักพรตแต่ละรุ่นของสํานักเอกะวิถี ต่างก็ทรงพลัง สามารถปราบปรามตํานานยุทธมากมายในต่างดินแดนได้”
“และได้ยินมาว่า เมื่อสามพันปีก่อน สํานักเอกะวิถีถึงกับให้กําเนิดเซียนเทพปฐพีออกมาด้วยซ้ําไป”
หร่วนชิงอธิบายทุกสิ่งที่ตนรู้เกี่ยวกับ สํานักเอกะวิถี” อย่างรวดเร็ว
“เซียนเทพปฐพี่?”
“ดูเหมือนว่าสํานักเอกะวิถีนี่ค่อนข้างแข็งแกร่งทีเดียว?”
ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าฉายแววครุ่นคิด
ในระดับของซูฉิน เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้ดีว่าการเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีนั้นยากเย็นเพียงใด
เมื่อหร่วนชิงได้ฟังความเห็นของซูฉินเกี่ยวกับสํานักเอกะวิถี หนังศีรษะของเขาก็ชาวาบ ในฐานะที่สํานักเอกะวิถีเป็นนิกายใหญ่ในต่างแดน ข้ามผ่านเวลามานานหลายหมื่นปี ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งกี่คนต่อกี่คนก้าวออกมาจากสํานักแห่งนี้ แต่ซูฉินกลับกล่าวว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง?
ยิ่งไปกว่านั้นหร่วนชิงยังสังเกตเห็นได้รางๆ ว่า ยามที่ซูฉินประเมินด้วยคําว่า “ค่อนข้างแข็งแกร่ง” ซูฉินเหมือนจะแสดงความคิดเห็นต่อเซียนเทพปฐพีแห่งสํานักเอกะวิถีเมื่อสามพันปีก่อน
ส่วนสํานักเอกะวิถี
ไม่รู้ว่าตนเองคิดมากไปเองรึเปล่า แต่หร่วนชิงแอบสังเกตเห็นว่าซูฉินไม่ได้สนใจนิกายใหญ่ในต่างแดนแห่งนี้เลย
นักพรตเต๋าเหยียนไห่ยิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่ได้คิดมากอย่างที่หร่วนซิงคิด แต่ในตอนนี้ เหยียนไห่รู้ดีว่าชีวิตความเป็นความตายของตนขึ้นอยู่กับความคิดวูบเดียวของซูฉินเท่านั้น ไม่ว่าสํานักเอกะวิถีจะแข็งแกร่งเพียงใดมันก็ไร้ประโยชน์
“เล่าต่อไป”
ซูฉินเพียงถอนหายใจแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
สําหรับซูฉินแล้ว ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่เป็นเพียงเรื่องของเวลา ไม่มีอะไรต้องกังวล
“ข้ามายังทวีปนี้พร้อมกับเทพธิดายุคปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะ ศิษย์สายตรงของนิกายเฮยหยวนและคนอื่นๆ ได้มายังทวีปนี้ตามคําสั่งของครูบาอาจารย์เพื่อเข้าสํารวจพื้นที่จุดตัดที่มีการฟื้นฟูกระแสปราณฉีครั้งใหญ่”
เหยียนไห่กล่าวทุกสิ่งอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงจุดประสงค์ของตนเองและคนอื่นๆ เขาไม่กล้าหมกเม็ดสักเรื่องเดียว
เพราะเหยียนไห่รู้แก่ใจว่าต่อหน้าซูฉินผู้แข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าผู้อาวุโสระดับสูง การกระทําการใดๆ เพราะคิดว่าตนฉลาดพอนั้นเท่ากับการแสวงหาความตาย
ท่าทีของซูฉินไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก แต่การแสดงออกของหร่วนชิงกลับเปลี่ยนไปมากเมื่อได้ฟัง
โดยเฉพาะหลังจากได้ยินว่าหญิงสาวในชุดขาวเป็นถึงเทพธิดายุคปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะ ใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวยิ่งขึ้น
“นายท่าน นายท่านเจอปัญหาร้ายแรงแล้ว…” หร่วนชิงพูดไปขนหัวก็ลุกพรึบ
เดิมที เขาคิดว่าคนที่มาที่นี่ในครั้งนี้ล้วนแต่เป็นศิษย์ธรรมดาของนิกายใหญ่ต่างดินแดน อย่างมากที่สุดก็คงเป็นศิษย์หลัก
หร่วนชิงไม่ได้คาดคิดว่าเหยียนไห่และคนอื่นๆ ต่างก็เป็นศิษย์สายตรงที่น่าภาคภูมิใจในยุคสมัยนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]