Sign in Buddha’s palm 223 ไฟลับในมือหมิงโยว
“เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ได้เยี่ยงไร?”
ขณะนี้ความอัศจรรย์ใจท่วมท้นอยู่ในความรู้สึกของนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถี
เขาคิดว่าตนเองประเมินซูฉินสูงพอแล้ว คาดเดาไปว่าควรจะเป็นตัวตนในระดับผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด
ถึงแม้จะเป็นผู้เยี่ยมยุทธขั้นสูงสุด เมื่อเผชิญกับทักษะก้นหีบที่ใช้เฉพาะยามสิ้นหวังของหมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวน รวมถึงผู้อาวุโสนิกายใหญ่ทั้งสองคนเช่นนี้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะได้ในพริบตา อย่างน้อยก็ต้องใช้ชั้นเชิงบางอย่างเข้าช่วย
ในความเห็นของนักพรตเฒ่า ซูฉินไม่จําเป็นต้องต่อสู้กับพวกหมิงโยวอย่างเต็มกําลัง เพียงแต่ต้องลากถ่วงการต่อสู้ออกไปให้นานที่สุด จนกว่าพลังของคู่ต่อสู้จะหมดลง ก็สามารถเข้าจัดการได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม นักพรตเฒ่าไม่ได้คาดหวังว่าหมิงโยวและผู้อาวุโสนิกายใหญ่อีกสองคน เมื่ออยู่ต่อหน้าซูฉินจะอ่อนแอราวกับกระดาษ แม้จะใช้ทักษะลับต้องห้ามจนหมดก็ยังไม่สามารถต่อกรได้เลยแม้แต่น้อย
“เขาแข็งแกร่งมาก ทําไมเขาไม่ลงมือตั้งแต่แรก? อยากจะรอดูพวกเราบุกเข้ามาในเกาะงั้นหรือ?”
ฝ่ามือฝ่าเท้าของนักพรตเฒ่าเย็นเยียบ ร่องรอยของความพิศวงงงงวยสาดวาบเข้ามาในใจ เพราะหลังจากค่ายกลฉีกขาด มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามมา พวกเขาจึงตรงเข้ามาถึงที่นี่
นักพรตเฒ่าไม่ทราบว่าซูฉินอยู่ในช่วงปิดด่านฝึกตนก่อนหน้านี้ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดถูกดึงกลับเข้าไปภายในร่าง ในเวลาต่อมาหลังจากชิงชิวเฉียนเฉียนแจ้งว่ามีผู้บุกรุกเข้ามา ซูฉินจึงปล่อยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปตรวจสอบ และเมื่อรู้ว่าผู้รุกเป็นพวกเขา ซูฉินก็ไม่ได้สนใจจะลงมือในทันที แต่เลือกสัมผัสประสบการณ์ ทําความคุ้นชินกับรายละเอียดต่างๆของระดับนภาชั้นที่แปดแทน
สําหรับซูฉิน ไม่ว่าจะเป็นหมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนหรือคนอื่นอีกสองสามคน พวกเขาก็ไม่ต่างไปจากมดแมลง สามารถเหยียบย่ําจนตายเมื่อไหร่ก็ได้ มันจะเทียบกับการสัมผัสความรู้สึกหลังพัฒนาขั้นได้อย่างไร?
ไม่ต้องสงสัย
นี่เป็นเพราะความแข็งแกร่งของกลุ่มหมิงโยวนั้นอ่อนแอเกินไป หากเป็นกลุ่มตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ด ชั้นที่แปด หรือระดับนภาชั้นที่เก้าฝ่าเข้ามา ซูฉินจะไม่ทําตัวใหญ่โตเช่นนี้แน่นอน
“แต่เดิมข้าก็คิดจะให้เจ้ารออีกสักหน่อย”
ดวงตาอันสงบนิ่งของซูฉินมองไปที่หมิงโยว
ที่จริงแล้วนอกจากหมิงโยวที่ยังคงยืนอยู่ได้ ผู้อาวุโสเฉว่ยวี่จากตําหนักเทพเจ้าหิมะ นักดาบจากพรรคหมื่นดาบต่างล้วนลงไปนอนกองอยู่กับพื้น บาดเจ็บรุนแรงและกําลังจะตาย
“พลังของเจ้าช่างน่ากลัวนัก น่าจะเหนือกว่าระดับผู้เยี่ยมยุทธไปแล้ว…”
หมิงโยวแห่งนิกายเฮยหยวนสงบใจลง ยิ่งเขาเข้าใกล้ความเป็นความตายมากเท่าไหร่ เขายิ่งสงบขึ้นมากเท่านั้น เพราะหมิงโยวรู้แก่ใจว่ามีเพียงต้องทําเช่นนี้เท่านั้นจึงจะรอดชีวิตไปได้
“ข้ามาจากนิกายเฮยหยวนในดินแดนโพ้นทะเล เจ้าคงจะเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้าง” หมิงโยวประมวลผลในสมอง และเปิดปากพูดออกมาอย่างรวดเร็ว
“ตราบใดที่เจ้าปล่อยข้าไป นิกายเฮยหยวนของข้า ขอให้คําสัตย์สัญญาว่า หากเจ้าต้องการสั่งการสิ่งใดในอนาคต นิกายของข้าจะปฏิบัติตามที่เจ้าต้องการ”
เหงื่อเย็นซึมออกมาตามหน้าผากของหมิงโยว
เขารู้ดีว่าชายผู้แข็งแกร่งเช่นซูฉิน การข่มขู่นั้นย่อมไม่ได้ผล รังแต่จะทําให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจ
แน่นอนว่าย่อมมีบรรพชนในนิกายเฮยหยวนที่เหนือกว่าระดับผู้เยี่ยมยุทธ แต่แล้วอย่างไรเล่า? บรรพชนเฒ่าเหล่านั้น เลือดเนื้อและปราณฉีถดถอยไปนานแล้ว ใกล้สิ้นอายุขัยเต็มทน เว้นแต่นิกายเฮยหยวนจะประสบภัยพิบัติ หากไม่ใช่เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตื่นจากหลับใหล ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่จะมาคุกคามซูฉินเลย
“สัญญา?”
“เจ้าคู่ควรที่จะทําสัญญากับข้าด้วยหรือ?”
ซูฉินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะใช้ความคิดสั่งการ ทันใดนั้นอากาศในรัศมีหลายพันจ้างก็เริ่มรวมตัวเข้ามา กลายเป็นเหมือนกับกรงขัง
แกรัก
แกรัก
ภายในช่วงเวลานี้ ร่างของผู้อาวุโสเฉว่ยวี่แห่งตําหนักเทพเจ้าหิมะและนักดาบจากพรรคหมื่นดาบก็สลายกลายเป็นผุยผงในทันที และแม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจรอดพ้นไป
“อ๊ากกก!”
“เป็นเจ้าที่บังคับข้า!!”
เมื่อเห็นฉากนี้ หมิงโยวจากนิกายเฮยหยวนก็รู้ว่าซูฉินไม่ได้วางแผนจะปล่อยเขาไป จึงคํารามออกมา
เห็นปราณปีศาจสีดําจํานวนนับไม่ถ้วนเข้าคลุมร่างของหมิงโยว และปราณปีศาจเหล่านั้นก็แทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย ค่อยเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นร่างกายของหมิงโยวก็ค่อยๆเลือนรางลงเรื่อยๆ ราวกับหายไปจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง
ในขณะนี้ แม้ว่าหมิงโยวจะยืนอยู่ตรงจุดนั้น สวมชุดคลุมสีดําเหมือนเดิม แต่ก็ไม่มีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขา
หากจะบอกว่าสภาพก่อนหน้านี้ของเขาเป็นกึ่งร่างลวงตาถึงความเป็นจริง ในตอนนี้มันได้แปรเปลี่ยนเป็นร่างลวงตาอย่างสมบูรณ์
“เคล็ดวิชาต้องห้ามอย่างสุดท้ายของนิกายเฮยหยวน ร่างปีศาจลวงตา สละเนื้อหนังบวงสรวงต่อร่างลวงตา ละทิ้งกายหยาบแล้วกลายเป็นร่างลวงตาตลอดไป”
เมื่อนักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีเห็นฉากนี้ที่ไกลๆ ร่องรอยความขมขื่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ร่างปีศาจลวงตาของนิกายเฮยหยวน สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองไปมาระหว่างความเป็นจริง และร่างลวงตาเป็นผลให้สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีส่วนใหญ่ในโลกหล้านี้
อาจกล่าวได้ว่าในหมู่ศิษย์นิกายเฮยหยวนผู้ที่ควบคุมร่างปีศาจลวงตาได้นั้น ยากเย็นอย่างยิ่งที่จะสังหารให้สิ้น โดยเฉพาะหมิงโยวที่ฝึกฝนร่างปีศาจลวงตาจนถึงขอบเขตความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ แม้ว่าจะเป็นระดับผู้เยี่ยมยุทธลงมือเองก็ตาม ก็ไม่อาจจะทําอะไรได้
แน่นอน ไม่ว่าร่างปีศาจลวงตาจะพิสดารสักแค่ไหน แต่อย่างไรมันก็ยังมีความเป็นจริงซ่อนอยู่ ไม่ว่าศิษย์นิกายเฮยหยวนจะกลายร่างเป็นร่างลวงตามากเท่าไหร่ พวกเขาย่อมต้องเก็บบางส่วนที่เป็นความจริงเอาไว้ เพื่อที่จะเปลี่ยนจากร่างลวงตาให้กลับเป็นร่างจริงได้อีกครั้ง
แต่ตอนนี้หมิงโยวได้ละทิ้งเศษเสี้ยวของความเป็นจริงไปหมดสิ้นแล้ว หลังจากวันนี้ แม้ว่าหมิงโยวจะมีชีวิตรอดไปได้ เขาก็จะไม่มีปราณชีวิต ไม่มีเลือดเนื้อ หรือร่างกายที่สมบูรณ์อีกต่อไป แม้แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ถูกหลอมรวมเข้าไปด้วย จากนี้ความแข็งแกร่งของเขาจะหยุดนิ่ง ทุกสิ่งจะจมอยู่ในภาพลวงตาตลอดไป
ศิษย์นิกายเฮยหยวนบางคน แม้จะต้องเสียชีวิตจากการต่อสู้ ก็ไม่เต็มใจจะเลือกสิ่งนี้ เป็นคนที่ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิง
และแน่นอน
หมิงโยวเลือกที่เปลี่ยนเป็นร่างลวงตาอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าเขาจะต้องจ่ายด้วยราคามหาศาลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แต่ในทางกลับกัน สภาวะของหมิงโยวตอนนี้ สามารถเพิกเฉยต่อการโจมตีใดๆก็ตามเกือบทั้งหมดบนโลกนี้
เว้นแต่จะเป็นมหาอํานาจผู้ไร้เปรียบที่สามารถควบแน่น อาณาเขตขนาดเล็ก ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเหล่าตํานานยุทธ ไม่เช่นนั้นแม้จะเป็นเหล่าบรรพชน ก็ไม่มีทางทําอะไรเขาได้
“แม้แต่หมิงโยวยังต้องถูกบังคับให้เอาตัวรอดด้วยวิธีนี้ ข้าควรทําเช่นไรดี?” นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีถอนหายใจออกมาเบาๆ
แม้ว่าเขาจะอยู่ไกลออกมาจากซูฉิน แต่เขาก็ยังอยู่ในเกาะหยิงโจว
“สหายเต้าหมิงโยวช่างกล้าหาญ”
นักพรตเฒ่าสายหัวเล็กน้อย ในความเห็นของเขา หมิงโยวน่าจะรอดชีวิตแน่แล้ว ไม่ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็คงทําอะไรหมิงโยวที่อยู่ในสภาวะลวงตาอย่างสมบูรณ์ไม่ได้
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
“เจ้าไม่ได้พยายามจะสังหารข้าหรอกหรือ?”
“มาสิ มาสังหารข้าสิ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]