เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] นิยาย บท 234

Sign in Buddha’s palm 234 สั่นไหว

สําหรับซูฉิน การได้พบกับเฉียนขู่ที่นี่ เป็นความสุขที่มาโดยไม่คาดคิด เหตุผลที่ทําเป็นไม่รู้จักก็เพราะอยากจะเห็นว่าเฉียนขู่เติบโตขึ้นมากเท่าไหร่ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา

ด้วยขอบเขตของซูฉินในตอนนี้ เป็นเรื่องปกติที่สามารถมองผ่านระดับพลังของเฉียนขู่ได้อย่างง่ายดาย

แต่ระดับก็อยู่ส่วนระดับ ส่วนความสามารถในการต่อสู้ ก็ต้องลองดูอีกสักหน่อย จะเป็นการดีที่สุดถ้าได้เห็นผ่านการต่อสู้จริง

“จริงแท้”

“คนเหล่านี้เป็นคนเลวจริงๆ ร่วมมือกันรังแกคนคนหนึ่ง มองอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นคนดีไปได้”

หลีหว่านกําหมัดแน่นและพูดออกมาอย่างโกรธเคือง

“การต่อสู้ของเหล่าจอมยุทธนะ เพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอด เป็นเรื่องปกติที่จะพึ่งพาความแข็งแกร่งของผู้อื่นเพื่อรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า” ซูฉินเหลือบมองหลีหว่านและกล่าวออกมาเบาๆ

“เข้าใจแล้ว ลุงสาม…” หลีหว่านลดหัวของตนลง

และในตอนนั้น

ไม่ใช่แค่หลีหว่านเท่านั้นที่อยากรู้อยากเห็นถึงการต่อสู้ระหว่างสงฆ์จากวัดเส้าหลินกับสี่มารร้าย จอมยุทธทั้งหลายไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ทุกคนที่เฝ้าดูการต่อสู้ต่างคาดเดากันอย่างลับๆ

ที่ชั้นสองของโรงเตี้ยม

ในมุมหนึ่งที่ไม่ได้โดดเด่นนัก เจ้าของโรงเตี้ยมเอามือไพล่หลัง มองไปยังพื้นที่ต่อสู้ด้านนอกอย่างสบายๆ

“พวกเจ้าลองบอกมาหน่อย ภิกษุเฉียนขู่หรือจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่ใครจะเป็นผู้ชนะ?”

เจ้าของโรงเตี้ยมที่มีรูปร่างอ้วนท้วนกล่าวถามอย่างสนอกสนใจ

หากมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนอื่นหันมาสังเกตมุมนี้ พวกเขาจะต้องตกใจเมื่อพบว่าทุกคําที่เจ้าของโรงเตี้ยมกล่าวออกมา สามารถฟังได้เพียงในระยะสามเมตรเท่านั้น และเมื่อเสียงห่างไปไกลกว่านี้ก็เหมือนตัดขาด เงียบสนิท

นี่เป็นวิธีการใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์รูปแบบหนึ่ง เจ้าของโรงเตี้ยมผู้อ้วนท้วนผู้นี้ไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็เป็นถึงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่สามารถกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้

“คุณชาย แม้ว่าจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่จะมีพลังและกลเม็ดมากมาย แต่เฉียนขู่ก็เป็นถึงสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ วิชาสายพุทธทําให้มีกําลังภายในที่แข็งแกร่งอย่างมาก มีความสามารถในการยับยั้งพลังของจอมยุทธฝ่ายอธรรมโดยเฉพาะ

บัณฑิตผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างก็คิดไปสักพัก ก่อนจะพูดตอบออกไปว่า “ตามการคาดเดาของข้า แม้จอมยุทธฝ่ายอธรรมจะได้เปรียบในการประมือกับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่ แต่ท้ายที่สุดผู้ชนะย่อมเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่”

“ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปในบัดดล “แต่ในเมื่อขนาดเจ้ายังมองเห็นสิ่งนี้ได้ ทําไมจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่ถึงยังลงมืออยู่อีกเล่า?”

ตามวิสัยของจอมยุทธฝ่ายอธรรม หากพวกมันรู้ว่าไม่สามารถเอาชนะได้ เหตุใดยังลงมือต่อสู้อีก?

แม้แต่คนนอกอย่างบัณฑิตยังสามารถเข้าใจสถานการณ์ในการต่อสู้ได้ จอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่ที่ทั้งถูกพัวพันทั้งหลบหนี สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่มาเป็นเวลาหลายเดือน ผ่านระยะทางหลายหมื่นลี้ พวกมันจะไม่ทราบช่องว่างฝีมือระหว่างตนเองกับเฉียนขู่หรือ?

หากสามารถร่วมมือกันกําจัดสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขู่ได้ จะถูกบังคับให้ต้องหนีมานับหมื่นลี้ได้อย่างไร?

เมื่อบัณฑิตได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองไปที่เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนแล้วกระซิบถาม “คุณชาย ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

“จอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่นั้นเป็นเพียงแค่เหยื่อล่อ”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนสายศีรษะแล้วพูดว่า “เฉียนขู่ก่อความแค้นเอาไว้มาก กว่าสิบกว่าปีแล้วที่เขาได้สังหารปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมไปเกือบสิบคน ลงมือหลายต่อหลายครั้ง ทําลายโอกาสอันดีของเหล่ามารเฒ่า”

เมื่อเจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนกล่าวเช่นนี้ เขาก็หยุดครู่หนึ่ง ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะวัดเส้าหลินให้กําเนิดผู้ทรงสมณศักดิ์ขึ้นมา เกรงว่ามารเฒ่าคงจะโจมตีเฉียนขู่ไปตั้งนานแล้ว

“ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าวัดเส้าหลินมีผู้ทรงสมณศักดิ์อยู่ ทําไมจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสี่จึงยังออกมาเป็นเหยื่อล่ออีก?” บัณฑิตกล่าวด้วยความสงสัย

“เป็นเรื่องปกติ เพราะผู้คนได้ค้นพบแล้วว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ไม่ได้อยู่ภายในวัดเส้าหลินอีกต่อไปแล้ว” เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนโพล่งออกมา “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะตํานานยุทธหรืออรหันต์ พวกเขาทั้งหมดล้วนเดินทางข้ามน้ําข้ามทะเลออกไปทั้งนั้น”

“ตั้งแต่ที่ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์จากไป ก็คงไม่ได้กลับมาเลยในช่วงยี่สิบปีมานี้ ฉะนั้นมันแสดงให้เห็นว่าเรื่องราวก็คงไม่ต่างไปจากเดิม”

“ดังนั้นเหล่ามารเฒ่าคงอดใจต่อไปไม่ไหว”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนมีแววเยาะเย้ยในน้ําเสียง “มารเฒ่าเหล่านั้นคงไม่กล้าทําอะไรหากมีผู้ทรงสมณศักดิ์อยู่ภายในวัดเส้าหลิน”

“แต่ตอนนี้ท่านจากไปแล้ว…”

เมื่อเจ้าของโรงเตี้ยมพูดมาจนถึงจุดนี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อนั้นชัดเจนยิ่ง

“แน่นอน แม้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์จะจากไป ก็ไม่มีมารเฒ่าตนใด กล้าโจมตีวัดเส้าหลิน”

“ใครจะรู้บ้างว่าภายในวัดเส้าหลินจะมีสิ่งที่ผู้ทรงสมณศักดิ์ทิ้งไว้ เบื้องหลังกอย่าง”

“ถึงจะไม่กล้าโจมตีวัดเส้าหลิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเฉียนขู่ จะสามารถไล่ล่าสังหารจอมยุทธฝ่ายอธรรมเช่นนี้ได้”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนค่อยๆ พูดขึ้นว่า “เท่าที่ข้ารู้ จักรพรรดิมารร้ายที่บิดด่านฝึกตนไปเมื่อเจ็ดสิบปีก่อนได้ออกจากด่านฝึกตนแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ ครั้งหนึ่งข้าเคยพบเจอมันจากที่ไกลๆ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของจักรพรรดิมารร้ายน่าจะอยู่ในระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์แล้ว”

“จักรพรรดิมารร้าย…”

บัณฑิตผู้นั้นถอนหายใจออกมา

เจ็ดสิบปีที่แล้ว จักรพรรดิมารร้ายได้กวาดล้างโลกด้วยความโหดเหี้ยม แม้แต่ผู้นําอาณาจักรต่างๆก็ยังต้องหวาดกลัว

แม้ว่ากองทัพของอาณาจักรต่างๆ จะสามารถเข้าปราบปรามได้ แต่สําหรับตัวตนที่แข็งแกร่งอย่างจักรพรรดิมารร้ายนั้นมันมีความยุ่งยากเป็นอย่างมาก ตราบใดที่จักรพรรดิมารร้ายระมัดระวังสักนิด กองทัพก็ไม่มีทางล้อมกรอบปราบปรามได้ และเมื่อใดที่ไปก่อกวนจักรพรรดิมารร้ายเข้า มันก็สามารถเปลี่ยนไปเป็นนักฆ่าที่แสนน่ากลัวที่สุดและลอบสังหารราชวงศ์ของอาณาจักรต่างๆในเวลานั้นได้

หากไม่ใช่เพราะในเวลาเดียวกัน มีจอมมารที่ทรงพลังแข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นในพรรคมาร เกิดเป็นการคานอํานาจกันกับจักรพรรดิมารร้าย เกรงว่าโลกนี้คงตกอยู่ในความวุ่นวายไปนานแล้ว

น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิมารร้ายหรือจอมมาร ไม่นานหลังจากนั้นพวกมันต่างปลีกตัวปิดด่านฝึกตนเพื่อไล่ตามไปยังขอบเขตที่สูงขึ้น

“คุณชาย เมื่อจักรพรรดิมารลงมือ เราจะรั้งรออยู่นี่เพื่อที่ขัดขวางใช่หรือไม่?”

“ขัดขวาง?”

“ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิมารร้าย แม้อยากจะขัดขวางก็ขวางไม่ได้”

เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนส่ายศีรษะ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]