Sign in Buddha’s palm 92 นั่งมองท้องฟ้าจากก้นบ่อ
แสงแห่งองค์ยูไลสาดส่องไปทุกหนแห่ง
ในขณะที่นักพรตจางรู้สึกว่าตนเป็นเพียงมดตัวน้อยที่แหงนหน้ามองเทพเจ้าที่สูงส่งคับฟ้า
ยิ่งใหญ่
ยอดเยี่ยม
มิอาจเทียบ
ผึบ…
สติของนักพรตจางตกอยู่ในความมืดมิด และร่างทั้งร่างก็ล้มพับลงไปกับพื้นพร้อมกับเสียงดัง ‘ผึบ‘
“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”
“ขอบคุณที่ท่านลงมือ”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักแทบไม่สามารถตอบสนองใดๆ และหลังจากหายจากอาการตกตะลึงก็โค้งคำนับด้วยความซาบซึ้งไปทางภูเขาด้านหลัง
จากนั้นไม่นานภาพทั้งหมดก็ค่อยๆ เลือนหายไป
“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ยิ่งมายิ่งแข็งแกร่งขึ้นทุกวี่วัน…” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจเบาๆ และกล่าวคำพูดที่เต็มไปด้วยอารมณ์
จนถึงทุกวันนี้ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินได้เห็นซูฉินลงมือถึงสองครั้งสองคราแล้ว
ครั้งหนึ่งเพื่อสังหารจอมมาร และอีกครั้งก็คือวันนี้ ยามที่นักพรตจางร้องขอเข้าพบ
ถ้าจะกล่าวถึงครั้งแรกที่ซูฉินลงมือ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรู้สึกเหมือนพลังแห่งฟ้าดินอันยิ่งใหญ่กวาดทำลายทุกสิ่ง
ส่วนตอนนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นพลังที่ไร้ที่เปรียบ ไร้ที่สิ้นสุด และครอบคลุมทุกสิ่งอย่าง
แม้โลกใบนี้จะกว้างใหญ่แต่ก็มีจุดสิ้นสุด แต่กับความว่างเปล่านั้นมันเป็นอนันต์ ไร้ที่สิ้นสุด
แน่นอนว่าซูฉินได้ลงมือมาแล้วมากกว่าสองครั้ง เช่น ตอนที่บุกเข้าไปในลานธรรมเพื่อช่วยเหลือเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจากอาการธาตุไฟเข้าแทรก และตอนที่ซ่อมแซมดวงใจพุทธะให้กับเฉียนขู่
ในสายตาเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่การลงมือที่แท้จริง
“เป็นเยี่ยงนั้นจริงๆ…”
เมื่อหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณใกล้เพียงได้ยินเข้า ก็พยักหน้าเห็นด้วย
วิธีของผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ นั้นน่าเหลือเชื่ออย่างมาก ผู้เยี่ยมยุทธทั่วๆ ไป หรือแม้กระทั่งยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเช่นนักพรตจาง พวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถรับมือกับศัตรูเรือนหมื่นได้แน่
แต่กับซูฉิน รัศมีแสงแห่งองค์ยูไลดั่งภาพนิมิตเมื่อครู่นั่นคือความสามารถของเหล่าทวยเทพตามตำนานโบราณ
“ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ พวกเราคงไม่สามารถเป็นได้แม้แต่คู่ต่อสู้ของนักพรตจาง…”
หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์กระซิบคำ
แม้ว่ารากฐานของวัดเส้าหลินจะสูงขึ้นมากแล้วในปัจจุบัน มีปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองถึงสองคน ไม่เท่านั้นยังมียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเช่นเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอยู่ด้วย
นอกจากนี้ยังมีศิษย์วัดเส้าหลินอีกหลายพันคน
แต่หากต้องการสกัดกั้นนักพรตจางด้วยรากฐานเหล่านี้ คงจะเป็นเรื่องยากจนแทบเป็นไปไม่ได้
ด้วยความแข็งแกร่งของนักพรตจาง เมื่อเขาลงมือเต็มกำลังแล้วละก็ พลังทำลายล้างจากแต่ละกระบวนท่าคงทำให้ทุกคนอยู่ไม่สุขเป็นแน่
สิ่งที่จุดสูงสุดของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเหนือกว่ายอดปรมาจารย์ทั่วไปคือเรื่องของความแข็งแกร่งล้วนๆ
ไม่เช่นนั้นแล้วทำไมจอมมารถึงกล้าขึ้นเขามาเมื่อหลายปีก่อน และขู่ว่าจะทำลายวัดเส้าหลิน
หัวหน้าตำหนักมองหน้าและรู้สึกซาบซึ้งในจิตใจ
ในขณะนี้หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์เหมือนจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “ท่านเจ้าอาวาส เราควรจะทำเยี่ยงไรกับนักพรตจางดี…”
หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์โพล่งออกมา
หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ รวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็พลันนึกได้และจ้องไปที่นักพรตจางที่ล้มพับอยู่กับพื้น
หัวหน้าลานธรรมทำใจแข็ง กลั้นใจเดินอย่างระมัดระวังเข้าไปตรวจสอบดู “เขายังไม่ตาย เพียงแต่หมดสติไปเท่านั้น”
หัวหน้าตำหนักต่างมองหน้ากัน ในใจรู้สึกว่านี่ค่อนข้างจะยุ่งยากเล็กน้อย
“ในเมื่อผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ได้ยั้งมือเอาไว้ พวกเราก็ส่งเขากลับไปเขาหวู่ตั้งเถอะ”
จากนั้นเจ้าอาวาสก็กล่าวคำอย่างช้าๆ
“ไม่เลว”
“ข้าเห็นด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนอื่นๆ ก็พูดสมทบพร้อมพยักหน้าเห็นด้วย
ในสายตาของพวกเขา ถ้าซูฉินมีเจตนาที่จะสังหารนักพรตจาง ชะตาชีวิตของเขาก็คงขาดไปแล้ว จะยังมาอยู่ในอาการสิ้นสติเช่นนี้ได้อย่างไร?
เนื่องจากนักพรตจางไม่ได้ตายไป นั่นหมายความว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ได้ยั้งมือเอาไว้ ในกรณีนี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักย่อมทำตามความประสงค์ของซูฉินเป็นธรรมดา
“ตกลงตามนี้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]