เหงื่อกาฬซัดออกเต็มดวงหน้า นางดูซีดเซียวจนน่าใจหาย มือนั้นกำหมัดแน่นจนแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ นางหอบหายใจจนตัวโยน หมิงเฉิงอวี่รู้สึกถึงความผิดปกติในทันทีทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปเขย่าร่างบางตรงหน้า
“เจ้าลืมตาสิ! ลืมตา!”
“มะ ไม่! ข้าไม่ลืมตาเด็ดขาด! พาข้าลงไปเดี๋ยวนี้” นางร้องตะโกนออกมา น้ำเสียงนั้นผสานระหว่างความโมโหและความหวาดกลัวสุดขีด นางกลัวจนมิได้สนใจจะถ้อยคำสุภาพกับองค์ชายอีกต่อไป ใบหน้าจากซีดเซียวเริ่มเขียวขึ้น องค์ชายสิบห้าตกพระทัยจนรีบอุ้มนางลงจากรถม้า ร่างของนางเกร็งอยู่ในอ้อมกอดของพระองค์
“ข้าพาเจ้าลงมาแล้ว! ลืมตาสิ!”
เมื่อได้ยินว่าตนเองหลุดออกจากรถม้าแล้ว ลมหายใจที่ดูรุนแรงจนฟืดฟาดของนางก็ค่อยกลับคืนสู่ภาวะปกติ มือที่กำหมัดแน่นค่อยคลายออก ใบหน้าค่อยๆ ซับสีขึ้นมา องค์ชายสิบห้าถอนพระปัสสาสะด้วยความโล่งพระทัย...
‘นี่ข้าคงเข้าใจผิดไปว่านางโอหังไม่ยอมขึ้นรถม้า ที่แท้นางก็หวาดกลัวการนั่งรถม้านี่เอง’
ครู่หนึ่งชิงหลานจึงค่อยๆ ลืมตา เมื่อมองเห็นท้องฟ้านางจึงผงกศีรษะได้สติว่ายามนี้ตนเองอยู่ในอ้อมแขนขององค์ชายสิบห้า ปลายจมูกโด่งของคนที่อุ้มนางอยู่ใกล้จนแทบจะชนใบหน้าของนาง
“ปล่อยหม่อมฉันได้แล้วเพคะ”
คราวนี้หมิงเฉิงอวี่ยอมปล่อยนางลงแต่โดยดี ร่างผอมบางโงนเงนเล็กน้อย เสี่ยวลิ่งรีบเข้าไปประคองเอาไว้
“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” ความจริงแล้วเสี่ยวลิ่งอยากจะหวีดร้องตั้งแต่ได้ยินเสียงคุณหนูตะโกนตอนที่อยู่ในรถม้า ทว่านี่คือองค์ชายสิบห้า หากนางเอะอะโวยวายไปก็เกรงจะถูกตัดหัวเสียง่ายๆ หนำซ้ำยังอาจจะทำให้คุณหนูและ ฮูหยินพลอยเดือดร้อน ครั้นเห็นว่าองค์ชายยินยอมอุ้มคุณหนูของนางลงจากรถ เสี่ยวลิ่งจึงค่อยรู้สึกผ่อนคลายสักหน่อย
“คุณหนูของเจ้านั่งรถม้ามิได้อย่างนั้นหรือ?” องค์ชายปรายพระเนตรมาถามเสี่ยวลิ่ง
“เพคะ! เป็นมาตั้งแต่ป่วยคราวก่อนตอนที่กลับจากเมืองหลวง” สาวใช้ตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง แม้จะดูสุภาพแต่น้ำเสียงกลับแฝงความโกรธเอาไว้
หมิงเฉิงอวี่รู้สึกตนว่าทำเกินไปจึงพระพักตร์เจื่อนลงเล็กน้อย
“เอาเถิด เช่นนั้นข้าจะเดินไปพร้อมกับพวกเจ้า”
กังเฉินหันไปสั่งรถขับรถม้าให้ตามไปด้านหลังเพราะถึงอย่างไรขากลับ องค์ชายก็ต้องนั่งรถม้ากลับอยู่ดี หมิงเฉิงอวี่ยืนรอกระทั่งชิงหลานสีหน้าดีขึ้นจึงผาย พระหัตถ์ให้นางเดินเคียงคู่กันไป เผยมู่ซีนึกเคืองยิ่งขึ้นกว่าเดิม
‘คิดว่าตนเองเป็นองค์ชาย อยากจะบังคับผู้ใดก็ได้งั้นหรือ? น่าชังเกินไปแล้ว ดีที่ข้าตายจากเจ้ามา ไม่เช่นนั้นเห็นทีข้าต้องโมโหตายเป็นแน่!’
องค์ชายสิบห้ารู้สึกเหมือนเด็กหญิงที่เดินข้างๆ ขยับตัวออกห่างไม่ยอมเดินใกล้กับตนเองก็รู้สึกหงุดหงิดแต่ไม่กล้าพูดจาใด เท่าที่ตนทำให้นางกลัวจนออกอาการแทบจะขาดใจตายเมื่อสักครู่ก็ดูเหมือนเป็นการทำผิดครั้งใหญ่แล้ว จึงได้แต่อดทนเสด็จไปเงียบๆ กระทั่งถึงจวนสกุลชิง
เหล่าลู่ได้รับคำสั่งจากฮูหยินให้ยืนรอรับเสด็จองค์ชายที่หน้าประตู เมื่อเห็นคุณหนูเดินคู่กับองค์ชายมาใกล้จะถึงก็รีบวิ่งเข้าไปรายงานให้จังฮูหยินได้ทราบ ในฐานะเจ้าของบ้านโดยมารยาทเมื่อผู้มีฐานะสูงกว่ามาเยือนนางจะต้องออกมาต้อนรับที่หน้าประตู นี่เป็นครั้งแรกที่มีแขกคนสำคัญมาเยือนทั้งยังเป็นบุคคลในราชวงศ์เสียด้วย จังฮูหยินเองรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย
“เชิญเสด็จเพคะ” นางเผยมือเชื้อเชิญให้องค์ชายสิบห้าเข้าไปนั่งยังห้องโถง
“ต่อไปให้ถือว่าข้าคือคนที่พวกเจ้ารู้จัก นับเป็นคนกันเองก็แล้วกัน” องค์ชายสิบห้าทรงมิได้ใช้คำแทนตัวว่า ‘เปิ่นหวาง’ กับชิงหลานมาได้หลายวันแล้ว ทรงอยากจะรู้ว่าเหตุใดเด็กหญิงผู้นี้จึงจงเกลียดจงชังตนนัก?...หากว่าพระองค์ทำตัวสนิทสนมกับครอบครัวของนางแล้ว นางจะเลิกทำท่าทางเช่นนี้หรือไม่?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดอีกคราเป็นชายาตัวร้าย(มีEbook)