เหล่าลู่กับเสี่ยวลิ่งพาคุณหนูมายังป่านอกอำเภอ ด้านหน้ามีต้นไผ่เรียงรายจำนวนมากทว่าด้านในกลับเป็นป่ารกทึบ
“คุณหนูขอรับ! ท่านต้องรออยู่ที่ศาลาแห่งนี้เพียงผู้เดียวประมาณหนึ่งเค่อหลังจากที่จุดพลุขึ้นฟ้า จอมยุทธ์ลู่ผู้นั้นจึงจะปรากฏตัว”
“อ๊ะ! เดี๋ยวนะ จอมยุทธ์ผู้นั้นแซ่ลู่หรือ?”
“ขอรับ! มิใช่ว่าเป็นผู้เดียวกับจอมยุทธ์ลู่ผู้ลือลั่นที่สามารถออกแบบอาวุธพิสดารได้สารพัดชนิดหรือไม่? ข้าเคยอ่านเจอในบันทึกตำนานรวมเรื่องพิสดารในยุทธภาพที่เขียนไว้โดยมารใหญ่มี่อี้”
เหล่าลู่ได้ยินเช่นนั้นก็อมยิ้ม “ไม่น่าจะใช่นะขอรับ! เท่าที่ข้าน้อยสืบมา จอมยุทธ์ลู่ผู้นี้ไม่เคยประดิษฐ์อาวุธแต่อย่างใด? มีเพียงวิทยายุทธ์ที่ล้ำเลิศเท่านั้น คล้ายกับปลีกวิเวกจากยุทธภพ ผู้ที่เคยพบเจอล้วนเรียกขานว่า...จอมยุทธ์หน้าดำ”
เสี่ยวลิ่งกับเผยมู่ซีทำหน้ายุ่งขึ้นมาทันที “เหตุใดจึงเรียกเช่นนั้น?”
เหล่าลู่หัวเราะออกมาเมื่อเห็นสองนายบ่าวถามออกมาพร้อมกันราวกับนัดหมาย “เอาไว้คุณหนูได้พบท่านจอมยุทธ์แล้วก็คงจะเข้าใจเองล่ะขอรับ”
“ว่าแต่เจ้าให้ข้ารอที่นี่ปลอดภัยไว้ใจได้หรือ?” เผยมู่ซีถือกระบี่ที่เหล่าลู่นำไปขัดเอาสนิมออกจนคมกริบ ปลอกกระบี่ที่มันวาวดูงดงามยิ่งนัก แม้จะสู้กระบี่ที่นางมีในจวนสกุลเผยมิได้แต่ก็ยังพอแก้ขัด
เหล่าลู่มองไปรอบๆ ก่อนจะสบตาสองนายบ่าว “ละแวกนี้เป็นพื้นที่ของจอมยุทธ์ลู่ คุณหนูปลอดภัยแน่นอนขอรับ ประเดี๋ยวข้าน้อยจะจุดพลุเชิญท่านจอมยุทธ์ แล้วจะมีศิษย์ของท่านออกมารับคุณหนูเข้าไปข้างใน หลังศาลานี้ไปล้วนเป็นค่ายกล คนธรรมดาไม่อาจจะหากระท่อมของจอมยุทธ์ลู่พบได้ ส่วนการรับเป็นศิษย์นั้นล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของท่านจอมยุทธ์ หลายคนที่มาขอพบใช่ว่าจะได้กราบท่านเป็นอาจารย์นะขอรับ!”
เมื่อตกลงกันเสร็จสรรพ ชิงหลานที่แต่งตัวทะมัดทะแมงพร้อมกระบี่ก็นั่งรอที่ศาลา เหล่าลู่ได้บอกไว้ว่าเมื่อท่านจอมยุทธ์พบคุณหนูแล้วไม่ว่าจะรับเป็นศิษย์หรือไม่จะมีรถม้ากลับมาส่งถึงประตูทางเข้าอำเภออย่างปลอดภัยภายในหนึ่งชั่วยาม
“ข้าน้อยกับเสี่ยวลิ่งจะออกไปรอรับคุณหนูที่ประตูหน้าอำเภอนะขอรับ!”
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
พลุไฟสามดอกถูกจุดขึ้นในตอนกลางวัน เหล่าลู่กับเสี่ยวลิ่งโบกมือลาคุณหนูเพื่อจะกลับไปออกไปรอที่จวนสกุลชิง เผยมู่ซีนั่งรออยู่หนึ่งเค่อก็ปรากฎบุรุษผู้หนึ่งถือกระบี่ยืนอยู่หน้าศาลา รูปลักษณ์ของคนผู้นั้นดูเป็นบัณฑิตหนุ่มน้อยหน้าขาวใสอย่างที่นางมักจะเจออยู่แถวเค่อเฉิงสถาบันผลิตบัณฑิตแห่งเมืองหลวง นางมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสนใจ
“ชิงหลานใช่หรือไม่?”
“เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?”
“เอ๋? ป่วยไม่กี่ปีเจ้าความจำเสื่อมด้วยหรือนี่? แม้แต่เพื่อนร่วมชั้นเรียนก็ยังจำไม่ได้ ท่าทางเจ้าจะอาการหนักอยู่นะ” ใบหน้าบัณฑิตหนุ่มดูยียวนจนนางต้องรีบหลับตาค้นหาความทรงจำของชิงหลาน และแล้ว...ก็พบว่า...
“จั๋วเหรินหาว เจ้านี่เอง! แต่ก่อนชอบแกล้งข้านัก!” เจ้าหนุ่มหน้าใสตรงหน้าก็คือบุตรชายคนเล็กของนายอำเภอจั๋วหยางเพราะอ่านเขียนไม่คล่องจึงได้รั้งอยู่ชั้นเรียนเดียวกับนาง ท่าทางที่เหมือนบัณฑิตอ้อนแอ้นช่างไม่สอดคล้องกับนิสัยนักเลงโต “ผ่านมาหลายปีเจ้าเลิกนิสัยอันธพาลบ้างหรือไม่?”
คุณชายน้อยจั๋วยิ้มยั่ว ทั้งที่ประกายตาดูปิติยินดี “ทำไมล่ะ? คนร่างกายอ่อนแออย่างเจ้าคิดจะสู้กับข้าหรือไร?”
เผยมู่ซีโบกมือไปมา มองดูท่าทางของคุณชายน้อยตรงหน้าที่แปลกไปกว่าในความทรงจำของชิงหลานมาก ห้าปีแล้วเด็กหนุ่มผู้นี้ก็คงจะรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรแล้วกระมัง?
“ข้าไม่ได้ออกเรือนเสียนาน เอาไว้ข้าได้ฝึกวิชาเสียก่อนจะท้าเจ้าประลองเป็นแน่!” ในช่วงที่พวกเขายังเรียนคัดอักษร เขียนอ่านที่บ้านอาจารย์เหยียนด้วยกัน จั๋วเหรินหาวมักจะแกล้งเอาเครื่องเขียนของชิงหลานไปซ่อนอยู่บ่อยๆ ในความทรงจำสุดท้ายของชิงหลานที่ต่อคุณชายน้อยผู้นี้คือภาพด้านหลังของจั๋วเหรินหาวที่วิ่งไปใน พงหญ้า
“ที่เจ้ามานั่งรอที่นี่มิใช่คิดจะมากราบอาจารย์ข้าเพื่อหวังเป็นศิษย์หรอกหรือ?” คำถามของจั๋วเหรินหาวทำให้ความทรงจำของชิงหลานสะดุดลง
“ไอหยา! จอมยุทธ์ลู่คืออาจารย์เจ้าหรือ?”
“ใช่! ในอำเภอเฉินข้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของท่านอาจารย์”
“เช่นนั้น เจ้าก็คือคนที่เหล่าลู่บอกว่ามาคอยรับข้างั้นสิ!”
“ก็ใช่อีกนั่นแหละ อย่าพิรี้พิไรอยู่เลย เจ้ารีบเดินตามข้ามาเถอะ” จั๋วเหรินหาวเดินนำหน้าเข้าไปตามทางเล็กในป่าไผ่ด้านหลังศาลา
เผยมู่ซีก็รีบเดินตามไป “เจ้าฝึกยุทธ์กับอาจารย์ลู่ได้กี่ปีแล้ว?”
“นับตั้งแต่เจ้าล้มป่วย ข้าก็มากราบอาจารย์และฝึกวรยุทธ์มาตลอด” ดวงตาของจั๋วเหรินหาวทอแสงหม่นวูบ...เหตุการณ์ครั้งนั้นยังทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอยู่ไม่วาย!
“เจ้าได้เป็นขุนนางหรือยัง?” โดยทั่วไปหากบิดาเป็นถึงนายอำเภอ คุณชายน้อยจั๋วก็น่าจะสอบซิ่วไฉ่หรือไม่ก็เข้าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่กรมมหาดไทยทำงานอยู่ ที่ว่าการอำเภอเหมือนบิดา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดอีกคราเป็นชายาตัวร้าย(มีEbook)