ชิงหลานหมุนร่างช้าๆ นางรู้สึกเสียวสันหลังนิดๆ...ไม่ผิด! สายพระเนตรขององค์ชายสิบห้าดูกำลังคาดโทษนางกลายๆ
“ถวายบังคมองค์ชายเพคะ” นางเอ่ยขึ้นพร้อมกับการยอบกายของคนสตรีทั้งสามแห่งสกุลชิง
“จังฮูหยิน ไม่คิดว่าจะพบท่านที่นี่” องค์ชายทรงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเพียงนิดเดียวก่อนจะเปลี่ยนเป็นหน้าตึง
“ทูลองค์ชาย วันนี้หม่อมฉันได้รับเกียรติจากคุณชายน้อยจั๋วเลี้ยงอาหารทั้งครอบครัวจึงได้ออกจากจวนมาที่เหลานี้เพคะ”
จั๋วเหรินหาวเกรงว่าองค์ชายจะกริ้วที่ชิงหลานลางานจึงหวังจะช่วยนาง สักหน่อย “บัดนี้หลานเอ๋อร์เป็นศิษย์น้องของหม่อมฉันแล้วพะยะค่ะ วันนี้อาจารย์ลู่เพิ่งรับนางไว้ หม่อมฉันจึงพานางและครอบครัวมาเลี้ยงฉลองที่นี่”
หมิงเฉิงอวี่ทรงเลิกพระขนงข้างหนึ่งเอียงพระวรกายไปทางชิงหลาน “เจ้าลางานข้าไปกราบจอมยุทธ์ลู่เป็นอาจารย์นี่เอง! ข้าได้ยินว่าคนผู้นี้ไม่ยอมรับผู้ใดเป็นศิษย์โดยง่าย...เจ้าร่างกายเช่นนี้เหตุใดคนผู้นั้นจึงยินยอมรับเจ้าเล่า?”
เผยมู่ซีรู้สึกว่าองค์ชายจงใจเสียดสีตน นางจึงเงยหน้าขึ้นสบสายพระเนตรอย่างไม่ยอมแพ้ “บางทีท่านอาจารย์อาจจะมองเห็นหม่อมฉันเป็นดอกเหมยที่โดดเด่นท่ามกลางหิมะก็ได้นะเพคะ”
ใบหน้าเล็กๆ นั้นเชิดเล็กน้อยอย่างถือดี ดวงตาของนางแข็งกร้าว หมิงเฉิงอวี่รู้สึกว่ากับพระองค์แล้วนางไม่เคยยอมลดราวาศอกสักน้อย จึงหันไปหาตัวต้นเหตุ
“คุณชายจั๋ว เจ้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของจอมยุทธ์ลู่มิใช่หรือ? บอกข้าทีว่าเขามีเหตุใดผลใดจึงรับ...จิตรกรของข้า...ไปเป็นศิษย์?” น้ำเสียงในยามเอ่ยคำว่า ‘จิตรกรของข้า’ ทั้งย้ำหนักแน่นแฝงความไม่พอใจจนทุกคนรู้สึกได้
“องค์ชายมิเห็นว่านี่เป็นเรื่องดีหรือพะยะค่ะ ในเมื่อจิตรกรชิงของพระองค์ร่างกายอ่อนแอวาดภาพได้ไม่เต็มวันก็เหน็ดเหนื่อย หากว่านางได้เรียนวรยุทธ์แล้วต่อไปย่อมจะวาดภาพได้เร็วขึ้นและวาดได้นานขึ้น ยิ่งจะทำให้งานขององค์ชายเสร็จเร็วขึ้นนะพะยะค่ะ”
หมิงเฉิงอวี่ปรายหางพระเนตรไปทางชิงหลานที่ปล่อยให้จั๋วเหรินหาวพูดจาเข้าข้างเป็นวรรคเป็นเวร “ศิษย์พี่ของเจ้าพูดเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? จิตรกรชิง!”
“น่าจะเป็นเช่นนั้นเพคะ ร่างกายของหม่อมฉันเพิ่งฟื้นจากการป่วยถึงห้าปี หากจะให้แข็งแรงในเวลาอันสั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่การฝึกวิทยายุทธ์น่าจะเป็นหนทางฟื้นกำลังได้เร็วขึ้น หม่อมฉันจึงได้เสี่ยงชะตาไปขอกราบจอมยุทธ์ลู่เป็นอาจารย์ ไม่คาดคิดว่าท่านอาจารย์จะยินยอมรับหม่อมฉันเพคะ”
“ในเมื่อศิษย์พี่ของเจ้าก็เลี้ยงอาหารไปแล้ว เช่นนั้นให้ข้าในฐานะนายจ้างเลี้ยงแสดงความยินดีกับครอบครัวพวกเจ้าด้วยดีหรือไม่? ดื่มสุราร่วมกันสักหน่อยค่อยกลับเถิด...ดีหรือไม่ฮูหยิน?” ท้ายประโยคองค์ชายกลับหันไปโยนให้จังฮูหยินเป็นผู้ตัดสินใจเสียดื้อๆ
จังฮูหยินเกรงพระทัยองค์ชายที่เป็นผู้จ้างงานบุตรสาวตนจึงตกปากรับคำ ทุกคนจึงต้องเดินตามองค์ชายไปยังโต๊ะริมระเบียง เสี่ยวลิ่งกับเหล่าลู่แยกไปนั่งโต๊ะเดียวกันกับองครักษ์จงและองครักษ์กัง
“พวกท่านดื่มสุรานี่สิ...รสชาติดียิ่งนัก องค์ชายมาทีไรก็สั่งทุกที” จงเหยียนรีบรินสุราเอาใจเหล่าลู่กับเสี่ยวลิ่ง เขากำลังคิดหาวิธีที่จะได้พูดคุยกับนางสองต่อสองแต่คืนนี้คงจะยากเย็นนัก เอาไว้วันพรุ่งนี้ค่อยอาสาองค์ชายออกไปตรวจความเรียบร้อยแต่เช้าจะดีกว่า คิดได้เช่นนั้นจงเหยียนก็เผลอยิ้มกับถ้วยสุราจนคนทั้งสามโต๊ะรู้สึกแปลกใจ เสี่ยวลิ่งลอบมองใบหน้าจงเหยียนแล้วไม่กล้ามองซ้ำเกรงเหล่าลู่กับองครักษ์กังจะสังเกตเห็น
“เจ้ายิ้มอันใดหรือจงเหยียน?” กังเฉินมองสหายด้วยความคลางแคลง
“ข้าแค่คิดว่าพรุ่งนี้คงแต่ตื่นแต่เช้าไปตรวจสอบเส้นทางสักหน่อย ส่วนเจ้าก็คอยดูแลองค์ชายก็แล้วกัน”
จั๋วเหรินหาวเห็นว่าชิงหลานดูเหมือนไม่ค่อยพูดนักก็คิดว่านางคงจะกลัว องค์ชายสิบห้า เขาหันไปสั่งเสี่ยวเอ้อให้นำสุรารสไม่แรงมาสำหรับชิงหลานที่ยังอายุน้อยให้ดื่มพอร่างกายอบอุ่น แล้วหันไปรินสุราให้กับจังฮูหยินและหันมารินให้องค์ชาย
“ฮูหยินอย่าได้เกรงใจ คราวก่อนข้าก็ไปกินอาหารที่จวนท่าน ครั้งนี้แค่เลี้ยงสุราเล็กน้อย โปรดดื่มให้เกียรติข้าเถิด”
“องค์ชายเพคะ หม่อมฉันมิค่อยได้ออกจากจวนทั้งนานทีจึงจะได้ดื่มสุรา คงจะดื่มได้ไม่มากนักเพคะ” แม้จะออกตัวเช่นนั้นแต่ทุกครั้งที่คุณชายจั๋วรินสุราให้นางก็ยกขึ้นดื่มด้วยความเกรงใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดอีกคราเป็นชายาตัวร้าย(มีEbook)