SPIN-OFF บทที่ 55
แคลอฮันเป็นคนเงียบๆ และพูดน้อยมาตั้งแต่เด็กแล้ว
แต่กระนั้นก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยมืดมน
เป็นคนที่อ่อนไหว เพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้เขาหัวเราะหรือร้องไห้ได้ง่ายๆ
ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่เด็กคนนั้นเริ่มทำสีหน้าแบบนี้ตรงหน้าเขา
รูลลักคิดขณะมองใบหน้าไร้อารมณ์ของบุตรชายคนเล็ก
แต่เขาไม่สามารถหาคำตอบให้กับคำถามของตัวเองได้ เขาพลาดไปแล้ว
ในฐานะบิดา เขาพลาดอะไรไปมากมาย
รู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงภรรยาผู้ล่วงลับดุด่าด้วยความโกรธดังขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่ง
“เจ้ากำลังทำสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ แคลอฮัน”
รูลลักรู้สึกโกรธเมื่อได้ยินคำพูดของแคลอฮันไปชั่วครู่ แต่ก็กลับมาเยือกเย็นได้ทันที
“เจ้าจะใช้ชีวิตอย่างไม่อับอายได้ยังไง ในเมื่อเจ้าพาคนเร่ร่อนเข้ามาในบ้านให้ชื่อของลอมบาร์เดียต้องด่างพร้อย”
“ทะ ท่านพ่อจะบอกว่าการมีอยู่ของชาห์นเป็นความด่างพร้อยงั้นเหรอครับ”
“แล้วไม่ใช่หรือไง?”
แคลอฮันรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับกำแพง
เขาไม่พบแววดูแคลนหรือการเย้ยหยันเหมือนอย่างที่เบเจอร์ทำ
ใบหน้าของบิดาที่บอกว่าชาห์นเป็นความด่างพร้อยนั้น เหมือนกับคนที่มองท้องฟ้าแจ่มใสแล้วพูดออกมาว่ามันเป็นสีฟ้า
“ในฐานะที่เจ้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของลอมบาร์เดีย เจ้าน่าจะได้เรียนรู้มาพอสมควรแท้ๆ ว่าคนที่เราจะทุ่มเทหัวใจให้กับคนที่โอบกอดเพราะคิดว่าน่ารักมันต่างกัน”
“เฮ้อ”
แคลอฮันถอนหายใจออกมาอย่างหมดกำลังใจ
ดูเหมือนว่าเขาจะคาดหวังในตัวท่านพ่อมากไปโดยไม่รู้ตัว
คาดหวังลมๆ แล้งๆ ว่าบางทีท่านพ่ออาจจะเข้าใจเขาขึ้นมาสักครั้งก็ได้
กระเป๋าสัมภาระพลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา ความใหญ่โตของคฤหาสน์หลังนี้ที่เขาใช้ชีวิตอยู่มาทั้งชีวิต ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเหมือนกับกำลังสวมเสื้อผ้าที่ไม่พอดีตัวจนแทบทนไม่ไหว รู้สึกเหมือนสิ่งที่เขาเคยเสพสุขในฐานะลอมบาร์เดียกำลังบีบบังคับให้เขาเดินจากไป แคลอฮันจับที่จับกระเป๋าที่เปื้อนเหงื่อให้แน่นขึ้น ก่อนจะโค้งลา “…ดูแลสุขภาพนะครับ” นั่นคือคำพูดทั้งหมดที่เขาทิ้งไว้ให้ในฐานะลูก “เจ้าจะต้องเสียใจ” รูลลักกล่าว “ไม่ครับ ข้าอาจจะคิดถึงมันบ้าง แต่ข้าจะไม่มีวันเสียใจครับ” แผ่นหลังของแคลอฮันที่กล่าวเช่นนั้นก่อนออกไปดูปลอดโปร่งมากจริงๆ ผงะ มือของรูลลักขยับออกไปราวกับจะคว้าแคลอฮันไว้ได้ทุกเมื่อ แต่ก็แค่นั้น
สุดท้ายรูลลักก็ไม่ได้คว้าแคลอฮันเอาไว้
***
เมื่อได้ยินแคลอฮันบอกให้ไปส่งแค่ด้านนอกคฤหาสน์ แม้สารถีจะมีสีหน้างงงันแต่ก็ยังพยักหน้าลง
“วันนี้ให้ไปรอรับที่เดิมอีกไหมขอรับ ท่านแคลอฮัน?”
สารถีเอ่ยถามแคลอฮันที่ถือกระเป๋าสัมภาระเรียบๆ ลงจากรถม้า
“ไม่ละ ต่อไปนี้ไม่ต้องมาอีกแล้ว”
หลังจากตอบเช่นนั้น เขาก็ปิดประตูรถม้าอย่างไร้เยื่อใย
คนที่เดินอยู่แถวนั้นเหลียวมองชายหนุ่มที่เดินออกมาจากคฤหาสน์ลอมบาร์เดียด้วยความสนใจอยู่หลายครั้ง แต่พอแคลอฮันเดินปะปนเข้าไปในหมู่พวกเขา ความสนใจนั้นก็หายไปทันที
“แบบนี้กลับดีซะอีก”
แคลอฮันพึมพำอย่างปลอดโปร่ง
ต้องขอบคุณที่ท่านพ่อแสดงท่าทีเช่นนั้นออกมา เขาจึงไม่รู้สึกหนักใจที่ต้องจากไป
กลับรู้สึกมั่นใจขึ้นด้วยซ้ำว่าการที่ตนเองตัดสินใจออกมาจากตระกูลเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
ชาห์น กับชื่อของลอมบาร์เดีย
เขาไม่เสียใจในการตัดสินใจนั้น
“…ชาห์น”
ทันทีที่พึมพำชื่อนางกับตัวเองขึ้นมา ใบหน้าที่เย็นชาของแคลอฮันก็กลับมาอบอุ่นอีกครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้
ต้องรีบไปหาแล้วละ
ขณะที่แคลอฮันคิดเช่นนั้นและกำลังเร่งฝีเท้านั่นเอง
“…ชาห์น?”
ในคราวนี้เขาไม่ได้พูดกับตัวเอง
เขามองเห็นชาห์นยืนก้มหน้ามองปลายเท้าที่กำลังเตะพื้นตุ้บตุ้บคนเดียวอยู่ตรงหน้า
แคลอฮันรีบวิ่งไปหานางโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว
“…แคลอฮัน”
ชาห์นที่ก้มหน้าอยู่พลันเงยหน้าขึ้นมามองเขา
ทันทีที่สบตาสีเขียวคู่นั้น แคลอฮันก็ไม่สามารถเก็บซ่อนหัวใจที่สั่นไหวได้จนคลี่ยิ้มออกมา
“มาทำอะไรที่นี่กันครับ ‘คลื่นน้ำสีคราม’ อยู่ห่างจากที่นี่นี่นา หรือว่ากำลังรอใครอยู่หรือเปล่าครับ”
“แคลอฮันค่ะ”
“ครับ?”
“ข้ากำลังรอแคลอฮันอยู่ค่ะ”
รอข้าอยู่อย่างนั้นเหรอ?
แคลอฮันเอียงคอสงสัย
“ชาห์นรู้ว่าข้าจะผ่านถนนเส้นนี้เหรอครับ”
นางพยักหน้าให้กับคำถามของเขา
จากนั้นก็ลังเลครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยตอบ
“ในความฝันค่ะ”
“ครับ ในความฝันของชาห์น?”
“ข้าเห็นแคลอฮันค่ะ เห็นแคลอฮันถือกระเป๋าเดินอยู่บนถนนเส้นนี้คนเดียว แต่ว่าภาพนั้นดูว้าเหว่มากเหลือเกิน”
ความเงียบดำเนินผ่านไปครู่หนึ่ง
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยระหว่างทั้งสองคนที่มักจะพูดคุยเฮฮาเมื่อได้พบเจอกันเสมอ
ยิ่งแคลอฮันกะพริบตาโดยไม่กล่าววาจาใด ใบหน้าของชาห์นก็ยิ่งแข็งกระด้างด้วยความตึงเครียด
“คือ”
หลังจากความเงียบสงัดที่ราวกับชั่วนิรันดร์สำหรับนาง เขาก็เปิดปากพูดในที่สุด
“ชาห์นฝัน…ถึงข้าสินะครับ”
แคลอฮันยิ้มราวกับเด็กน้อย
จากนั้นเขาก็ ‘อะแฮ่ม’ ออกมา และพยายามปรับสีหน้าในภายหลัง แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจซ่อนริมฝีปากที่เอาแต่ยิ้มออกมาได้เลย
“สงสัยข้าจะอยากเจอชาห์นมากซะจนเข้าไปหาถึงในฝันเลยนะครับ”
แต่ชาห์นไม่ได้หัวเราะไปกับคำพูดหยอกล้อที่กล่าวต่อเหล่านั้น
นางมองกระเป๋าที่ถืออยู่ในมือของเขา ก่อนถามขึ้นอย่างระวัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]
น่าสนุก...